ผมอาจจะไม่ใช่แฟน Borderlands ตัวยงสักเท่าไหร่ แต่แฟรนไชส์นี้ก็เป็นเกมที่เห็นกันมาตั้งแต่วันที่ภาคแรกวางจำหน่าย จวบจนทำงานในวงการมากว่า 15 ปี ชื่อของ Borderlands ก็ยังคงวนเวียนไม่ไปไหน ถึงแม้ช่วงหลังๆ มานี้มันอาจจะเจือจางในความนึกคิดลงไปบ้างจากการแตะเบรคตัวเกมมากว่า 6 ปี แถมทั้งเวอร์ชั่นภาพยนตร์ก็ไม่ได้สร้างภาพจำที่ดีสักเท่าไหร่ แต่เชื่อเถอะว่าการกลับมาในรอบที่ 4 คราวนี้ตัวเกมแม้อาจดูเผินๆ จะไม่ต่างจากเดิมมากนัก แต่ภายในมันราวกับถูกอัดสเตียรอยด์มาเต็มพิกัด และแทบจะเปลี่ยนเกมเพลย์หลักๆ ไปอย่างสิ้นเชิง ผมบินไปลองมาแล้ว เพราะงั้นเลยอยากให้ลองมาฟังกันครับ

สู่เซี่ยงไฮ้เพื่อไถ Borderlands 4
ในปี 2025 นี้ต้องบอกว่าทาง 2K นั้นถือว่ารุกตลาดเกมหนักเอาเรื่องทีเดียวครับ เพราะนอกจาก Civilization VII เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ก็ยังได้มีการเชิญสื่อมวลชนจากโซน SEA เพื่อไปร่วมทดสอบเกมและพูดคุยสัมภาษณ์กับทีมพัฒนากันถึงเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนครับ โดยทาง 2K เองก็ดูจะสนใจตลาดในไทยเป็นพิเศษเชิญสื่อฯ ไทยไปถึง 3 เจ้าด้วยกัน (รวม Online Station เราด้วย) ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก เพราะว่าข่าวดีก็คือตัวเกม Borderlands 4 รองรับซับไตเติ้ลภาษาไทยด้วยนั่นเอง น่าเสียดายคือในเกมเวอร์ชั่นนี้เรายังไม่ได้เห็นภาษาไทยของจริงในเกม แต่ก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ เพราะว่าเกมก็ยังไม่ถึงขั้นเสร็จสมบูรณ์ครับ

บู๊มากขึ้น โหลดน้อยลง
ในการทดสอบเกมรอบนี้ทางทีมงานเซ็ตไว้ 2 ช่วงคือช่วงแรกจะเป็นการทดสอบเกมเพลย์แบบโอเพ่นเวิร์ล และช่วงที่ 2 จะเป็นเกมเพลย์ใน Vault Missions ช่วงท้ายเกมและได้ต่อสู้กับบอสครับ ซึ่งระหว่างเล่นก็จะมีเซสชั่นสัมภาษณ์ทีมพัฒนารวมถึง Randy Pitchford ประธานของ Gearbox มาแทรกเพื่อไม่ให้เสียเวลาครับ

ช่วงแรกของการทดสอบเราจะได้ลองเล่นในโหมดโอเพ่นเวิร์ลกันก่อนครับ พร้อมกับตัวละคร 2 ตัวให้เลือกเล่นคือ Vex ซึ่งเป็นคลาส Siren และ Rafa ที่เป็นคลาส Exo-Soldier โดยทั้ง 2 ตัวละครมีรูปแบบการเล่น และสกิลที่แตกต่างกันออกไป และจะมีเลเวลอยู่ที่ 5 เท่ากัน หากอยากเปลี่ยนตัวเล่นก็สามารถแจ้งทีมงานเพื่อออกมาหน้าเมนู แล้วเลือกตัวเล่นใหม่อีกครั้ง ไม่สามารถสลับสับเปลี่ยนได้แบบเรียลไทม์ครับ (อย่างไรก็ตามทีมงานให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าในเวอร์ชั่นขายจริงตัวเลือกเมนูจะแตกต่างออกไปเล็กน้อย และจะมีหน้าจอให้เลือกตัวละคร Vault Hunter ด้วยครับ)

เมื่อเข้ามาในเกมแล้วเราจะพบกับโลกที่กว้างใหญ่ ทางผู้พัฒนาได้บอกกับเราตั้งแต่แรกว่าภาคนี้จะให้ผู้เล่นได้บู๊ในโลกโอเพ่นเวิร์ลแบบต่อเนื่องมากขึ้น และจะมีการโหลดเข้าฉากที่น้อยลง เพื่อการเล่นที่ไร้รอยต่อมากกว่าเดิม อะไรก็ตามที่เห็นในแผนที่เราสามารถไปได้เกือบหมด โดยที่แทบไม่มีการโหลดเพิ่มเติม ซึ่งจากที่ลองมาก็เป็นแบบนั้นครับ คือหากไม่ใช่จุดที่ฉากเปลี่ยนรูปแบบไปโดยสิ้นเชิงก็จะไม่มีการโหลดเลย แม้กระทั่งการเข้าไปในอาคาร ก็แทบไม่มีการโหลดให้เห็น ถือว่าทำตัวได้สมกับเป็นเกมยุคปี 2025 ดีครับ

ขณะที่คุณภาพกราฟิก ก็ดูดีขึ้นมากพอสมควร มีความเป็นการตูนน้อยลง ปรับให้ดูเรียลลิสติคมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งลายเซ็นต์ของตัวเอง สังเกตได้ว่าตัวเกมลดภาพความเป็นเซลเฉดลง พวกเส้นตัดสีดำก็บางลง แต่ในภาพรวมเรายังรู้สึกได้ว่ามันเป็น Borderlands จุดนี้ก็ต้องชมความชัดเจนของซีรีส์ที่บิลด์ภาพจำตัวเองมาอย่างดีมีเอกลักษณ์ครับ

ตัวแรกที่ผมลองคือ Rafa ที่ไม่ใช่อดีตโค้ชทีมสีแดงแถวๆ เมอร์ซีย์ไซด์ แต่คือ Exo-Soldier ตัวละครทหารในชุดฮู้ดสุดเท่ที่เป็นใครก็อดใจไม่ไหวต้องขอลองสักหน่อย เขามาพร้อมกับสกิลที่ถูกใจสายบู๊อย่างการเปิดใบมีดพลังงานที่แขนทั้ง 2 ข้างในชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วเกมจะเปลี่ยนเป็นมุมมองบุคคลที่ 3 จากนั้นผู้เล่นก็จะได้เข้าไปจ้วงๆ ฟันๆ เน้นความพลิ้วเพื่อทำดาเมจศัตรูได้แบบสุดเท่ห์ สุดเบียว! ฟันธงได้เลยว่าหมอนี่น่าจะเป็นขวัญใจหลายๆ คนแน่นอนในตอนที่เกมวางจำหน่าย

แต่ก็มีข้อสังเกตของสกิลนี้อยู่บ้าง คือส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าโมชั่นของตัวละครตอนเปิดสกิลนี้มันเคลื่อนไหวแปลกๆ ดูตลกไปหน่อย อาจจะเป็นเรื่องของเอนจิ้นหรือเกมเพลย์เข้ามาเกี่ยว แต่ก็ต้องยอมรับว่าในยุคนี้เราได้เห็นเกมแอคชั่นมุมมองบุคคลที่ 3 ที่มีโมชั่นสวยๆ อยู่เยอะจนค่อนข้างชินตาไปแล้ว การได้เห็นอะไรแบบนี้ในเกม AAA มันเลยออกจะแปลกๆ อยู่สักหน่อย แต่ในช่วงเกมออกทีมงานอาจจะปรับมาดีขึ้นก็เป็นได้ครับ รอดูกันต่อไป

ขณะที่อีกสกิลคือการชักปืนพิเศษที่จะยิงก้อนพลังงานสีเขียวรุนแรงออกมาใช้ชั่วคราวครับ เหมือนเป็นอาวุธทีเด็ด ที่อาจจะดูแรงจริง แต่ก็มีเงื่อนไขการใช้ที่แอบยุ่งยากจนคิดว่าใช้ปืนธรรมดาน่าจะดีกว่ารึเปล่านะ ทว่าข้อดีคือเมื่อยิงจนหมด ปืนในส่วนนี้จะใช้การคูลดาวน์แทนการรีโหลดครับ นั่นหมายความว่าถึงจะไม่มีกระสุนให้เก็บ แค่รอเวลาสักหน่อย ปืนนี้ก็จะกลับมาใช้ได้เหมือนเดิมนั่นเอง

พอมาตัวที่ 2 เจ๊ Vex สาวอีโมสุดเท่ห์มาในคลาส Siren ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าเข้ามือกว่า Rafa หน่อยๆ เพราะไม่ต้องโดดเข้าโดดออก มีความเล่นง่ายกว่าเป็นมิตรกว่า เพราะวิธีต่อสู้ของ Vex ก็คือการซัมม่อนน้องเสือออกมาช่วยสู้หรือวิ่งป่วน ขณะที่อีกสกิลเป็นกดปาระเบิด ซึ่งผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าตัวสกิลทั้ง 2 อย่างสามารถปรับเปลี่ยนได้ขึ้นอยู่กับ Loot ที่ได้รับมาครับ
No loot, No life
ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่อง Loot ก็ต้องบอกว่าตัวเกม Borderlands 4 ยังคงเอกลักษณ์ที่แข็งแกร่งของตัวเองไว้อย่างเดิม กับ Loot จำนวนมหาศาล และปืนหลักล้านรูปแบบให้ได้ไล่เก็บกัน และดูเหมือนว่าภาคนี้ปืนจะมีรูปแบบและลูกเล่นแปลกๆ เยอะกว่าที่เคย แน่นอนว่าสเตตัสของปืนก็สร้างความแตกต่างได้แล้ว แต่เท่าที่ลองมาจะเห็นว่าปืนแต่ละชนิดมีรูปแบบเฉพาะตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะ Primary หรือ Secondary Fire อาจจะมีรูปแบบซ้ำๆ กันอยู่บ้าง แต่รู้สึกว่าลูกเล่นเพิ่มเติมเยอะขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

และไม่ว่าจะไปที่ไหน ทุกที่ล้วนมีศัตรู และทุกที่ที่มีศัตรูล้วนมี Loot ให้ได้เก็บ แม้ส่วนใหญ่ก็เป็นของดาดๆ แต่ทีมพัฒนาก็บอกว่าคุณลองหยิบไอ้ของดาดๆ มาลองใช้ดูก่อน เผื่อจะประทับใจกับเมคานิคมัน ซึ่งก็อาจสะท้อนได้ว่าทีมงานตั้งใจกับอาวุธเหล่านี้เป็นอย่างมาก ขณะที่ภาคนี้ก็จะมีอาวุธระดับ Legendary ให้ใช้ด้วย และมันจะ Legendary จริงๆ เพราะทีมงานก็พูดมาอีกว่ามันจะหายากสุดๆ ให้สมกับคำว่า "ในตำนาน" ของมัน

ตัวเกมยังมีพาหนะให้ได้ขับตะลุยแผนที่อย่างสนุกสนาน และผู้เล่นสามารถบู๊ขณะขับขี่ได้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามด้วยเวลาที่จำกัด ทำให้นอกจากการตะลุยทำภารกิจ เสาะหาเควสต์รอง, ถล่มค่ายศัตรู ตัวเกมจะมีกิจกรรมอย่างอื่นให้ได้ทำอีกไหมก็ยังไม่แน่ชัดนักครับ อาจต้องรอทางค่ายมานำเสนอข่าวสารอัปเดตก่อนวางจำหน่ายกันต่อไป เพราะพอตะลุยโลก Open World ได้สักพัก เราก็ต้องพักกับตรงนี้ไปลุยกับอีกโหมดกันแล้ว

ซึ่งเพื่อนๆ สามารถรอติดตามเรื่องราวการลุยบอสในเกมได้ในบทความตัวหน้าครับ กลับมาอ่านกันด้วยล่ะ
Borderlands 4 มีกำหนดวางจำหน่ายบน PC (ผ่าน Steam และ Epic Games Store), PlayStation 5, และ Xbox Series X|S ในวันที่ 12 กันยายน 2025 และจะวางจำหน่ายบน Nintendo Switch 2 ภายหลังภายในปี 2025 เช่นกัน
ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่นๆ ได้ที่ Online Station