วันที่ 6 มิถุนายน 2002 หรือวันนี้เมื่อ 23 ปีที่แล้ว เป็นวันวางจำหน่ายของเกม Castlevania: Harmony of Dissonance บนเครื่อง Game Boy Advance ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยภาคนี้นับเป็นภาคลำดับที่ 2 ที่ลงให้กับแพลตฟอร์มดังกล่าว จากที่ก่อนหน้านั้นทาง Konami เคยปล่อยภาค Circle of the Moon มาแล้วในปี 2001 นั่นเอง อีกทั้งยังได้คุณโคจิ อิการาชิ (Koji Igarashi) โปรดิวเซอร์มือฉมังผู้ที่เคยพลิกโฉมเกม Castlevania: Symphony of the Night จนกลับมาได้รับความนิยมอย่างสูงอีกครั้งกลับมาคุมการผลิตให้ภาคนี้ด้วย
(ล่าง) รูปปกเกมเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา


ในส่วนของภาคนี้จะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1748 หรือประมาณ 15 ปีหลังจากเหตุการณ์ในเกม Castlevania 2: Simon's Quest โดยผู้เล่นจะได้รับบทเป็น จูสต์ เบลมอนต์ (Juste Belmont) หลานของไซม่อน เบลมอนต์ (Simon Belmont) วัย 16 ปี ที่ต้องออกเดินทางไปช่วยเพื่อนสาวนามว่า ลิดี้ เออร์แลนเจอร์ (Lydie Erlanger) ที่ถูกลักพาตัวไปยังปราสาทแดร็กคูล่า และภายในนั้นจูสต์ก็ได้พบกับแม็กซิม คิสชิน (Maxim Kischine) เพื่อนสนิทที่บาดเจ็บและความจำเสื่อมอยู่ แต่จูสต์สังเกตเห็นว่าแม็กซิมค่อย ๆ แสดงพฤติกรรมแปลก ๆ ให้เห็นเป็นระยะ จึงตั้งใจค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ของเรื่องราวทั้งหมด พร้อมทั้งชิงตัวลิดี้กลับมาให้ได้



การผจญภัยในภาคนี้ยังเป็นรูปแบบมุมมองด้านข้าง และลุยแบบ Metroidvania เหมือนภาค Symphony of the Night หรือ Circle of the Moon เช่นเคย โดยในปราสาทจะมีพวกไอเทมพิเศษนานาชนิดซ่อนอยู่ที่จะช่วยเพิ่มทักษะใหม่ ๆ ให้กับจูสต์ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการเข้าถึงบางพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าไปได้ในตอนแรก รวมถึงสกิลในการต่อสู้หรือหลบหลีกศัตรูอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนั้นแล้วใน Harmony of Dissonance ยังมีการนำระบบ 2 ปราสาทที่เคยมีมาก่อนในภาค Symphony of the Night มาใช้ด้วย ซึ่งจะแบ่งเลเยอร์ของปราสาทเป็น A กับ B ถ้าว่ากันตามโครงสร้างของปราสาท ห้องเดียวกันในปราสาท A กับ B จะมีชนิดศัตรูที่แตกต่างกัน ตลอดจนตำแหน่งที่ซ่อนไอเทมก็จะไม่เหมือนกันในอีกเลเยอร์ของปราสาทด้วย ทำให้เวลาเล่นเกมใน 1 รอบจะเหมือนให้ความรู้สึกว่าเราได้ผจญภัยในปราสาท 2 รอบที่มีบรรยากาศแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่าแผนที่ทั้ง 2 เลเยอร์จะมีความคล้ายกันแทบทั้งหมดก็ตาม



กระบวนการพัฒนาเกมภาค Harmony of Dissonance นำโดยทีมของ Konami ที่อยู่ในสำนักงานที่เมืองโกเบ จังหวัดเฮียวโกะ ซึ่งตอนแรกคุณอิการาชิวางคอนเซ็ปต์ของภาคนี้เอาไว้ว่าต้องการให้มีความคล้ายคลึงกับกลิ่นอายของภาค Symphony of the Night และดึงคุณอายามิ โคจิมะ (Ayami Kojima) ศิลปินนักออกแบบตัวละครจากภาค Symphony of the Night มาออกแบบตัวละครให้กับภาค Harmony of Dissonance ด้วย ส่วนฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของภาคนี้คือการฟิวชั่นเวทมนตร์ธาตุต่าง ๆ กับอาวุธเสริม เช่น มีด น้ำมนต์ ไม้กางเขน หรือขวาน ให้ออกมาเป็นการโจมตีรูปแบบใหม่ที่มีธาตุตามที่ผสม และผู้เล่นสามารถประยุกต์ระบบนี้ในการรับมือกับพวกศัตรูได้หลากหลายขึ้น



หลังจากที่เกมวางขายออกไป ปรากฏว่ายอดขายในฝั่งสหรัฐอเมริกาดีกว่าในญี่ปุ่นมากครับ โดยขายได้มากถึง 126,000 ชุดภายใน 3 เดือนแรกเท่านั้น ขณะที่ในประเทศบ้านเกิดอย่างญี่ปุ่นกลับทำยอดขายไม่ได้ตามเป้าที่คุณอิการาชิและ Konami คาดหวังเอาไว้ โดยเพื่อน ๆ ที่อยากจะลองหาภาคนี้มาเล่น ทาง Konami ก็เพิ่งจะนำมามัดรวมร่วมกับภาค Circle of the Moon, Aria of Sorrow และ Dracula X ขายในแพ็คที่มีชื่อเต็มว่า Castlevania Advance Collection ลงแพลตฟอร์ม PS4, Xbox One, Switch และ PC ไปเมื่อปี 2021 ที่ผ่านมานี้เอง



ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่นๆ ได้ที่ Online Station