-
หน้าแรก
-
PC CONSOLE GAME
- Super Smash Bros. Brawl เกมตะลุมบอนสำหรับทุกเพศทุกวัย
Super Smash Bros. Brawl เกมตะลุมบอนสำหรับทุกเพศทุกวัย
[center][img=54492]//img.online-station.net/image_content/2020/03/default-image.jpg[/img][/center][color=red][p][b]MILKMAN: [/b]จริงๆ ก่อนที่ Super Smash Bros. Brawl จะออกขายนั้นบรรดาสาวกนินเทนโดก็เรียกว่าพากันประกาศถึงความยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่ของเกมนี้กันไปล่วงหน้าแล้ว และต่างก็ตั้งตารอจะเจอสารพัดมุกของนินเทนโดที่ขนมาเอาใจแฟนโดยไม่มีการมานั่งสงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าเกมจะออกมาไม่ดี แต่ถ้ามองในแง่คนที่ไม่ใช่สาวกนินเทนโดล่ะ? ถ้าพูดกันอย่างไม่มีอคติละก็ Brawl ถือเป็นวิวัฒนาการที่ดีของเกมที่โด่งดังซีรีส์นึงเลยล่ะครับ มีทั้งรูปเกมแบบแพลตฟอร์ม เดินลุยแบบเกมอาเขต และการอัดมั่วแบบมวยปล้ำปนซูโม่แต่เติมความเว่อร์แบบสุดๆ เข้าไป (ที่แต่ละคนต้องพยายามน็อคคู่แข่งให้กระเด็นตกเวทีไปก่อนที่ตัวเองจะโดนน็อค) เรียกได้ว่าเกมนี้เป็นเหมือนจดหมายรักที่นินเทนโดมอบให้กับแฟนๆ ของพวกเขาอะไรปานนั้นเลยเชียวครับ[p]แต่...ถ้าเกิดคุณไม่ได้เป็นแฟนหรือสนใจอะไรๆ ของนินเทนโดแต่โตมากับการเล่นเกมของ PlayStaion หรือ Xbox มากกว่าละก็ บางทีเกมนี้อาจจะไม่น่าดึงดูดใจสำหรับคุณเท่าไหร่นัก เพราะจะว่าไปในแง่ของระบบเกมและกราฟิกภาพ ตัวเกมภาคนี้ก็มีอะไรที่เปลี่ยนไปจากภาคที่แล้วที่ออกมาเมื่อ 7 ปีก่อนน้อยมาก สิ่งที่นินเทนโดทำภาคใหม่นี้ก็เป็นแค่การเพิ่มของที่เคยมีอยู่แล้วให้มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น...เข้าไปอีก เริ่มจากในส่วนของโหมดเล่นคนเดียวที่มีชื่อในภาคนี้ว่า Subspace Emissary ก็ได้รับการเพิ่มองค์ประกอบต่างๆ เข้าไปมากพอดู ซึ่งโหมดนี้ยังเป็นที่รู้จักในแง่ของ “เป็นโหมดเนื้อเรื่องที่เขียนบทโดยคุณ Kazushige Nojima ผู้เขียนบท Final Fantasy VII” อีกด้วยครับ แต่ในแง่ความเป็นสตอรี่โหมดของภาคนี้นั้นก็ยังดูเหมือนจะไม่มีพล็อตเรื่องชัดเจนอยู่ดี ออกไปทางมีไว้เพื่อแนะนำตัวละครต่างๆ ไปตามสเตจที่เน้นรูปแบบของเกมแนวแพลตฟอร์มและมีฉากคัทซีนที่ไม่มีบทสนทนาใดๆ เลยมาคั่นเป็นระยะ[p]แต่ในโหมด Subspace นี่ก็ยังมีอะไรๆ ที่น่าสนใจอยู่เยอะเหมือนกันนะครับเช่นเดียวกับในส่วนอื่นๆ ของเกมนี้ตั้งแต่โหมดแข่งในสนามไปจนถึง โหมดฝึกซ้อม หรือโหมดคลาสสิก (ที่ให้คุณได้สู้กับคู่แข่งในสไตล์เกมไฟท์ติ้ง) และก็มีอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ใส่เข้ามาที่เป็นเหมือนกับแฟนเซอร์วิส เอาใจแฟนๆ นินเทนโดกันเป็นระยะในรูปแบบของไอเทมถ้วยรางวัล ตัวละครลับที่ปลดล็อกได้ และเวอร์ชั่นพิเศษๆ ของตัวละครบางตัว (เช่น Samus ในชุด Zero Suit) คือ ถ้าคุณคิดว่าภาค Melee นั้นเต็มไปด้วยสารพัดของที่เป็นนินเทนโดจากในอดีตถึงปัจจุบันมากแล้วละก็ เตรียมตัวอึ้งทึ่งกับที่คุณจะได้เจอมากขึ้นในภาค Brawl นี่กันได้เลยครับ อย่างการปรากฏตัวของ Captain Olimar ที่มาคอยสั่งการเหล่า Pikmin ตัวเล็กก็ดูเป็นของตายที่เดาๆ กันได้อยู่แล้วใช่ไหมครับ แต่ที่แฟนๆ น่าจะแปลกใจได้เฮกันก็เห็นจะเป็นตัวละครลับที่มาจากเกมที่เคยวางขายแค่ในญี่ปุ่นอย่าง Sin and Punishment ของ N64 นี่แหละครับ (มีเกมนี้ให้โหลดเล่นผ่านทาง Virtual Console แล้ว!) แม้แต่เกมแปลกอย่าง Electroplankton (DS) ก็ยังมีแอบแฝงมาโผล่ในเกมนี้ด้วยและก็รวมไปถึงดารารับเชิญจากเกือบจะทุกๆ เกมของค่ายนินเทนโดเองที่ออกขายมาตั้งแต่ 7 ปีก่อน ทางผมเองยังไม่เจออะไรที่มาจากเกม Drill Dozer (เกมแนวแอ็กชั่นบน GBA) ในภาคนี้นะครับ แต่ถึงเจอทีหลังก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรละครับ[center][img=54191]//img.online-station.net/image_content/2020/03/default-image.jpg[/img][p][img=54190]//img.online-station.net/image_content/2020/03/default-image.jpg[/img][/center][p]ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ต้องย้อนมาพูดถึงในแง่ประเด็นแฟนเซอร์วิสอยู่ดีล่ะครับ ว่าผมควรจะคิดคะแนนเกมนี้ในความเป็นเกมเอาใจแฟนๆ ประจำค่ายแต่ก็เป็นเกมตะลุมบอนที่หยิบจับเล่นกันได้ง่ายสบายๆ สำหรับทุกคน (ซึ่งก็ลุ่มลึกมีชั้นเชิงพอสำหรับคอเกมที่ชอบการแข่งขันเหมือนกัน) แต่ก็ยังด้อยในความเป็นเกมต่อสู้ประลองกันแบบ Virtua Fighter หรือ Street Fighter รึเปล่า? คือ ถ้าเทียบกับแฟรนไชส์ที่เริ่มอ่อนล้าซ้ำเดิมอย่างเกม Dynasty Warriors 6 ก็คงจะคล้ายกันในแง่เป็นเกมที่จับประเด็นเด่นๆ มาเรื่องนึงบวกเข้ากับการตะลุมบอนรัวปุ่มแบบไม่ต้องคิดมาก เรียกว่าถ้าคุณไม่ได้อินกับเรื่องสามก๊กหรือเรื่องจีนๆ ก็คงจะมองเกมนั้นแค่ในแง่ของระบบการเล่นใช่ไหมครับ แต่สำหรับ Brawl เนี่ย ผม เอ่อ...ดันอยู่ในฝั่งแฟนตัวจริงของนินเทนโดด้วยน่ะสิครับ และเกมนี้ก็ทำมาสำหรับแฟนๆ ของนินเทนโดเสียด้วย ดังนั้นคำถามเดียวสำหรับผมตอนนี้ก็คือ “เกมนี้สนุกถูกใจผมไหม?” ก็ขอตอบอย่างหนักแน่นชัดเจนไม่ลังเลยเลยครับว่า สนุกมากๆ[/color][center][img=45123]//img.online-station.net/image_content/2020/03/default-image.jpg[/img][p][img=45122]//img.online-station.net/image_content/2020/03/default-image.jpg[/img][/center][color=green][p][b]SHANE: [/b]เกมรวมดาวมาสค็อตค่ายนินเทนโดเกมนี้ฮิตแพร่หลายพอที่จะทำให้เราไม่สนใจว่าการที่มาริโอมาไล่ตบตีพระเอกอย่าง Link นั้นเป็นเรื่องที่ผิดอะไร และการปรากฏตัวบน Wii ของภาคนี้ก็ถือเป็นภาคที่สามของแฟรนไชส์นี้เท่านั้น แต่หลังจากที่ได้เห็นพัฒนาการก้าวกระโดดจากภาคแรกบน N64 มาสู่ภาคสองบน GameCube ที่กลายเป็นเกมขายดีที่สุดประจำเครื่อง ความคาดหวังที่มีต่อภาคสามนี้จึงพุ่งสูงลิบลิ่วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คำถามคือ แล้วสรุปตัวเกมออกมาดีตามคาดไหม? ก็เอาเป็นว่าบรรดาแฟนพันธุ์แท้ของเกมนี้คงมีอะไรจะติน้อยมากๆ ล่ะครับ ระบบเกมเพลย์ก็ยังชวนติดหนึบเหมือนเคย ออพชั่นให้ปรับแต่งก็มีมาเพียบ และอีกมากมายหลายสิ่งที่ทำมาเพื่อเฉลิมฉลองความเป็นนินเทนโด แต่ถ้ามองในวิวัฒนาการใหม่ๆ ที่จะยกระดับเกมซีรีส์นี้จริงๆ บางคนอาจจะสงสัยเหมือนกันว่าทำไมผู้สร้างเกมถึงไม่เสี่ยงทำอะไรแปลกใหม่ลงไปบ้าง[p]ประโยคที่ว่า “อะไรที่ยังไม่พัง ก็ไม่ต้องไปปรับมัน” ใช้ได้ดีกับกรณีนี้ครับ เพราะแฟนๆ เกมนี้จะสนุกไปกับการตะลุมบอนของดาราค่ายนินเทนโดในภาคใหม่นี้ได้ตั้งแต่เริ่มจับจอยอย่างสบายๆ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรใช่ไหมครับ เพราะตัวเกมนี้มุ่งไปที่ความสนุกแบบอลหม่านของการตบตีแบบผู้เล่น 4 คนเป็นหลักอยู่แล้ว ระบบการต่อสู้พื้นฐานของ Smash Bros. ก็ยังคงอยู่ และยังเสริมความเร้าใจมาด้วยบรรดาตัวละครหน้าใหม่ๆ ซึ่งในกลุ่มหน้าใหม่นี้ที่โดดเด่นกว่าใครเพื่อนก็เห็นจะเป็น Pit, Sonic, Snake และโปเกม่อนเทรนเนอร์ล่ะครับที่ดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนตัวอื่นๆ โดยตัวละครรับเชิญจากค่ายอื่นอย่าง Sonic และ Solid Snake นั้นทำให้เรารู้สึกว่าตัวเกมน่าจะเจ๋งขึ้นแค่ไหนถ้ามีดารารับเชิญจากค่ายอี่นมากกว่านี้ จะมีน่าเสียดายบ้างก็ตรงที่ตัวละครใหม่ที่เหลืออื่นๆ ดูจะมีความซ้ำซ้อนในลักษณะการเล่นกันเองมากไปสักหน่อย[p]ถึงแม้ว่าแกนหลักของเกม Brawl นั้นคือความเป็นเกมสำหรับเฮฮาปาร์ตี้ แต่ทีมงานก็ใส่ความตั้งใจไปเพื่อคงความสนุกเวลาเล่นในโหมดเล่นคนเดียวด้วยเหมือนกันครับ แต่ก็แย่หน่อยที่สตอรี่โหมด Subspace Emissary นั้นไม่น่าประทับใจเท่าที่ควรเพราะศัตรูก็ซ้ำๆ การเล่าเรื่องก็แทบจะไม่มีเลย และการควบคุมเวลากระโดดก็ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย ในขณะเดียวกันในส่วนของการเล่นแบบออนไลน์ก็มีจุดให้พูดถึงเช่นกันครับ...เพราะการที่ทางนินเทนโดวางกฎการเข้าเล่นที่เข้มงวด (ไม่มีการแชทด้วยเสียง การใส่เฟรนด์โค้ดที่วุ่นวายน่ารำคาญ และไม่มีบอร์ดจัดอันดับผู้เล่น) ต่างก็ทำให้ฟีเจอร์ที่น่าจะยอดเยี่ยมนี้ด้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด จริงๆ นะ ผมว่าการได้แชทส่งเสียงคุยข่มกันระหว่างเล่นนี่มันเหมาะกับเกมแบบนี้มากๆ เลยนะครับ แล้วพอมาเป็นการแข่งออนไลน์แบบเงียบเชียบแบบนี้มันดูตกยุคยังไงชอบกลเหมือนกัน แต่ยังไงก็ตาม ถึงตัวเกมจะมีข้อเสียเหล่านี้บ้าง Brawl ก็ยังคงความเป็นสุดยอดเกมที่เหมาะสำหรับเอาไว้เล่นกันเวลาชวนเพื่อนมาสังสรรค์ปาร์ตี้กันที่บ้านอยู่ดีครับ[/color][center][img=54488]//img.online-station.net/image_content/2020/03/default-image.jpg[/img][p][img=54489]//img.online-station.net/image_content/2020/03/default-image.jpg[/img][/center][color=indigo][p][b]G. FORD: [/b]ก่อนอื่นนะครับ บรรดาแฟนบอยสาวกทั้งหลายที่อ่านมาถึงตรงนี้ ทันทีที่คุณได้เล่น Brawl นี่ ถือว่าพวกคุณหมดสิทธิ์ที่จะบ่นเรื่องใดๆ ก็ตามเกี่ยวกับวงการเกมไปตลอด 1 ปีและอีกหลายปีต่อจากนี้ไปแล้วนะครับ เพราะเกมนี้นั้นยกระดับการเซอร์วิสเอาใจแฟนๆ ไปสู่ระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์มากๆ กับสเตจจำนวนมหึมา ดนตรี ดารารับเชิญต่างๆ และอีกสารพัดองค์ประกอบที่คงความเป็นนินเทนโดไว้หมด และก็เหมือนกับที่ตา Milky (Milkman) เขาโดนไปครับ เกมนี้กระตุ้นต่อมความเป็นแฟนนินเทนโดของผมได้ดีและน่าประทับใจสมบูรณ์แบบมากๆ เอ๊ะ แต่จริงๆ ก็ยังไม่สมบูรณ์แบบครบถ้วนนะ เพราะผมว่าเกมนี้ยังขาดกล้องที่เอาไว้มองภาพเวลาเล่นเกมในแบบสามมิติสีแดงแสบตาของ Virtual Boy ไปอยู่น่ะสิครับ ถ้ามีให้ละก็ครบถ้วนของแท้เลยล่ะ[p]แน่นอนนะครับ ว่าทั้งหมดทั้งปวงนี้คงเป็นแค่บทเรียนศึกษาประวัติศาสตร์ของค่ายนินเทนโดไปเลยถ้าไม่มีเกมเพลย์ที่ดีผูกมาด้วย ซึ่ง Brawl นั้นก็มีเกมเพลย์ที่ดีมาให้ครับ ในแง่ความเป็นเกมแนวแพลตฟอร์มเดินลุยเกมนี้ก็ยังคงเล่นง่ายและสนุกเพลิดเพลินไม่แพ้เกมไหนๆ แน่นอนว่าไม่เสียชื่อเสียงค่ายที่ถนัดแนวนี้อยู่แล้ว จุดด้อยเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังมีนะครับในเกมนี้ อย่างการที่ตัวละครส่วนใหญ่นั้นจะใช้การโจมตีแบบยิงระยะไกลได้ก็ต่อเมื่อมีการต่อกับจอยที่มีก้านอนาล็อกไว้เท่านั้น ซึ่งทำให้ตัวเกมที่ต้องอาศัยการเคลื่อนที่ตลอดเวลาแบบนี้เกมนั้นสะดุดไปเหมือนกัน แต่ในภาพรวมก็ยังถือว่าระบบการเล่นทำออกมาตอบสนองได้ดี และเรียนรู้ได้ง่ายแล้วครับ[center][img=54491]//img.online-station.net/image_content/2020/03/default-image.jpg[/img][p][img=54490]//img.online-station.net/image_content/2020/03/default-image.jpg[/img][/center][p]และก็เช่นเคยที่โหมดการเล่นคนเดียวที่แม้จะได้รับการยกเครื่องในภาคนี้ แต่ก็มีแค่เอาไว้ให้ผมทนเล่นเพื่อปลดล็อกตัวละครมากกว่า ส่วนที่เป็นจุดเด่นหลักที่เจ๋งสะใจก็ยังคงเป็นโหมดมัลติเพลเยอร์ซึ่งเคยผลาญเวลาผมไปนับร้อยๆ ชั่วโมงกับโหมดนี้ของสองภาคแรกมาแล้วและผมก็คงได้ติดพันกันต่อในภาคนี้ ระบบการเล่นพื้นฐานยังคงเดิมนะครับ กับการทุบตีคู่แข่งที่มีรวมกันได้ถึง 4 คน (ได้ทั้งผู้เล่นด้วยกันและคอมพิวเตอร์บังคับ) เรียกว่าตีให้น่วมแล้วอัดออกไปให้ตกฉาก แล้วก็เก็บเหรียญเก็บถ้วยรางวัลเก็บจำนวน KO ไปพลาง ง่ายๆ แบบนี้ล่ะครับแต่สนุกมาก ไม่ต้องมาสนใจเรื่องเทคนิคขั้นสูงหรือการต่อคอมโบอะไรแบบพวกเกมไฟท์ติ้งจริงจัง เพราะ Brawl นั้นเป็นเรื่องของความโกลาหลที่มาจากทั้งกลุ่มตัวละครที่ไม่สมดุลกัน (ไม่เชื่อลองเอา Lucas ไปตีกับ Bowser ให้รอดละกันครับ โกงเห็นๆ) ฉากที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนรูปร่างไปมา (พิสูจน์ได้จากฉาก Pictochat) รวมไปถึงไอเทมที่เอาไว้พลิกเกม (โดยเฉพาะเจ้า Smash Ball ที่ใช้ทีไรคนโดนเตรียมตัวตายได้เลย) นอกจากนี้ภาคนี้ยังมีโหมดออนไลน์ให้เล่นกันแล้วด้วย แต่...ก็น่าเสียดายที่ผมกลับเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์แบบ Shane เขาไม่ได้ซะที ก็หวังว่าทางนินเทนโดจะแก้ปัญหาการเชื่อมต่อนี้ให้เรียบร้อยได้เมื่อถึงตอนที่คุณผู้อ่านได้อ่าน EGM เล่มนี้กันแล้วนะครับ ในส่วนของการปรับแต่งต่างๆ ก็เป็นจุดเด่นของภาคนี้ครับ เช่นจะสร้างแมตช์การแข่งที่มีแรงดึงดูดสูงปรี๊ดจนตัวละครเดินกันหอบเลยก็ได้ และทั้งหมดนี้ต่างก็เสริมให้กับความมันส์สะใจเวลาที่มาริโอปะทะกับเจ้า Diddy Kong หรือเวลาที่โปเกม่อนเทรนเนอร์สั่งให้เจ้า Squirtle ลุยกับ Captain Olimar และบรรดา Pikmin ของเค้านั่นเองครับ แน่นอนครับเกมนี้ดูยังไงก็มุ่งเติมฝันเอาใจสาวกนินเทนโด้เป็นหลัก แต่สำหรับเกมเมอร์อื่นๆ ทั่วไปก็น่าจะสนุกไปกับ Brawl ได้ไม่ยากด้วยเช่นกันครับ[/color][b]Kazushige Nojima คือใครกัน?[/b] [p]เขาคือผู้เขียนบทในส่วนของโหมดเนื้อเรื่องของ Brawl ที่ไม่มีทั้งบทสนทนา คำบรรยาย หรือพล็อตที่ชัดเจนอะไร โดยที่ในอดีตเขาเคยเป็นผู้ประพันธ์เรื่องราวที่น่าประทับใจของ Final Fantasy ภาคแรกๆ ของค่าย Square Enix มาแล้วโดยเฉพาะภาค VII, VIII, X และ X-2 รวมไปถึงเกมรวมดาวดิสนี่ย์อย่าง Kingdom Hearts ด้วยเช่นกัน ซึ่งประสบการณ์จาก Kingdom Hearts นั้นก็ถือเป็นการอุ่นเครื่องให้กับคุณ Nojima ก่อนที่จะต้องมาผูกเรื่องให้กับตัวละครจากสารพัดช่วงเวลาของเกมค่ายนินเทนโดให้ข้ามมิติเวลามาอยู่รวมกันนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้นครับ อดีตศิษย์เก่า Final Fantasy อีกคนก็คือคุณ Nobuo Uematsu ก็ยังมาร่วมประพันธ์ดนตรีประกอบให้เกมนี้อีกด้วย เรียกได้ว่าเกมนี้เป็นเหมือนการรวมตัวของสองตัวศิษย์เอกผู้สร้าง Final ก็ว่าได้ครับ[center][img=45123]//img.online-station.net/image_content/2020/03/default-image.jpg[/img][p][img=45122]//img.online-station.net/image_content/2020/03/default-image.jpg[/img][/center][b]ต่อเติมเสริมฉาก [/b][p]โหมดสร้างฉากเองของภาค Brawl นี่ทำออกมาได้เจ๋งเลยครับ เรียกว่าใช้เวลาไม่กี่นาทีกับเครื่องมือที่เพียบพร้อมคุณก็สร้างฉากที่เร้าใจในแบบตัวเองเอาไว้แชร์แบ่งปันกับคนอื่นผ่านทางการออนไลน์หรือทางเอสดีการ์ดกันได้แล้ว[p]แต่ในขณะที่เครื่องมือสร้างฉากของเกมนี้นั้นใช้งานได้ง่าย ทีมงานเรากลับเป็นห่วงเรื่องความหลากหลายครับ เพราะหลังจากที่เราได้ลองสร้างฉากไปสองสามฉากก็พบว่าได้ใช้เครื่องมือและไอเทมต่างๆ ที่ตัวเกมจัดไว้ให้ไปหมดเสียแล้ว เรียกว่าดูยังไงก็คงสร้างเองได้ไม่อลังการเทียบเท่ากับฉากที่นินเทนโดให้มาแน่ๆ (แต่ถ้ามีไอเทมให้ดาวน์โหลดเพิ่มทีหลังก็คงจะเยี่ยมมากๆ) ซึ่งการเพิ่มฟีเจอร์ที่ให้ผู้เล่นได้สร้างสรรค์อะไรเองก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ... ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับไอเดียสร้างสรรค์ของแต่ละคนกันแล้ว[center][img=45120]//img.online-station.net/image_content/2020/03/default-image.jpg[/img][p][img=45121]//img.online-station.net/image_content/2020/03/default-image.jpg[/img][/center][b]การให้คะแนน[/b][color=red][p][b]MILKMAN: [/b]Aยอดเยี่ยม[color=green][p][b]SHANE: [/b]A-ยอดเยี่ยม[color=indigo][p][b]G. FORD: [/b]A-ยอดเยี่ยม[/b][/color][b][color=red]ข้อดี: เกือบ...ทุกตัวละครของนินเทนโดเท่าที่เคยมีมาได้มารวมตัวกัน[/color][/b]ข้อเสีย: ระบบการเล่นและงานทางด้านภาพยังดูไม่ต่างจากสมัยภาค Melee นักR.O.B.: หุ่นเพื่อนใจที่ในที่สุดก็มีประโยชน์ให้ใช้กับเขาเสียทีWiiผู้จัดจำหน่าย: Nintendoผู้พัฒนา: HAL Laboratoryจำนวนผู้เล่น: 1-4 คนESRB: 13 ปีขึ้นไป