วันที่ 5 พฤษภาคม 1992 หรือวันนี้เมื่อ 33 ปีที่แล้ว เป็นวันวางจำหน่ายเกม Wolfenstein 3D บนเครื่อง PC ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ DOS ซึ่งเกมนี้เดิมทีถูกพัฒนาโดยสตูดิโอ id Software ที่มีผลงานโด่งดังอีกซีรีส์คือ DOOM กระทั่งภายหลังทาง id Software ถูกทาง ZeniMax (ที่เป็นบริษัทแม่ของ Bethesda) ซื้อกิจการไป ตัวเกมซีรีส์ Wolfenstein เลยถูกโยกไปให้ทางสตูดิโอ MachineGames ที่เป็นอีกค่ายในสังกัดของ ZeniMax ดูแลแทนนับแต่นั้น
(ล่าง) ปกกล่องเกมบนเวอร์ชั่น PC
เนื้อเรื่องของ Wolfenstein 3D ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น วิลเลียม บลาซโควิซ หรือ “บีเจ” สายลับหนุ่มจากฝ่ายพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ต้องแหกคุกของกองทัพนาซีระหว่างปฏิบัติภารกิจเข้าแทรกซึม โดยบีเจต้องลุยภายในอาคารของกองทัพแต่ละชั้น และฝ่าขึ้นไปจนชั้นสุดท้ายเพื่อกำจัดผู้บัญชาการที่เป็นบอสใหญ่ ซึ่งเมื่อบุกเข้าไปถึงชั้นลึก ๆ ก็จะเจอพวกทหารระดับสูงและฝีมือฉกาจรออยู่
หนึ่งในเอกลักษณ์ของเกมซีรีส์นี้ก็คือการตั้งชื่อให้กับบรรดาระดับความยากต่าง ๆ ครับ โดยในภาค 3D จะมีความยากทั้งหมด 4 ระดับ ได้แก่
- Can I play, Daddy? (ผมเล่นได้มั้ยครับพ่อ) = Very Easy
- Don’t hurt me. (อย่าทำร้ายผมเลย) = Easy
- Bring ’em on! (เข้ามาเลย!) = Normal
- I am Death incarnate! (ความตายมาเยือนแล้ว!) = Hard
ทั้งนี้ แต่ละระดับความยากจะมีภาพประกอบที่แอบจิกกัดคนที่เลือกเล่นโหมดง่ายสุดด้วยรูปของตัวเอกที่เหมือนเด็กน้อยดูดจุกนม แต่ถ้าเลือกระดับความยากสูงสุดจะเป็นหน้าตัวเอกที่พร้อมจะบวกพวกนาซีตลอดเวลา
ตัวเกมเป็นแนวชู้ตติ้งมุมมองบุคคลที่ 1 ที่รันกราฟิกของฉากในลักษณะ 3D เต็มรูปแบบ (ยกเว้นวัตถุและตัวศัตรูที่ยังเป็นสไปรต์แบบ 2D อยู่) ซึ่งถือว่าแปลกใหม่มากในยุคนั้น โดยอินเตอร์เฟซด้านล่างของจอจะมีแสดงคะแนน จำนวนชีวิต พลังชีวิต กระสุนที่เหลืออยู่ ชนิดของปืนที่กำลังใช้ และชั้นที่เรากำลังลุย พร้อมกับใบหน้าของบีเจที่สัมพันธ์กับพลังชีวิต หากถูกโจมตีจนเลือดเหลือน้อย ใบหน้าของบีเจจะค่อย ๆ ชุ่มไปด้วยเลือด ต้องบอกว่ายุคนั้นทำได้ขนาดนี้คือสมจริงมาก ๆ แล้ว
อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีที่ค่อนข้างจำกัดอยู่ตามยุคสมัย ทำให้ผู้เล่นไม่สามารถเลือกปรับองศาการเล็งเพื่อยิง Headshot ได้ การหันเล็งจึงมีแต่แพนกล้องตามระนาบเดียวทั้งเกม แค่หันตรงตัวศัตรูก็กดยิงได้เลย หรือจะเหลื่อม ๆ ไปโดนขอบตัวศัตรูก็ได้เหมือนกัน เพราะ Hitbox ของศัตรูในเกมนี้ค่อนข้างใหญ่อยู่
เวอร์ชั่นออริจินัลของเกม ซึ่งก็คือบน PC (ระบบปฏิบัติการ DOS) ผู้เล่นสามารถกดเซฟเกมได้ทุกเมื่อ หรือจะเซฟ ณ จุดใดก็ได้ แถมดีกว่าเวอร์ชั่นที่พอร์ตลงบางแพลตฟอร์มที่เซฟได้เฉพาะตอนเราลุยผ่านแต่ละชั้นเท่านั้น
นอกจากนั้นแล้ว เกมนี้ยังเคยมีขายเนื้อเรื่องเสริมที่ชื่อว่า Spear of Destiny ที่จำหน่ายเป็นแผ่นแยก โดยเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนเนื้อเรื่องในเกมหลักที่บีเจต้องไปชิงหอก Spear of Destiny (หรือหอกศักดิ์สิทธิ์ตามตำนานคริสตจักร ที่เล่าว่ามันเคยถูกนำไปใช้ทิ่มแทงร่างของพระเยซูตอนที่พระองค์ถูกตรึงกางเขน) ซึ่งหอกดังกล่าวถูกพวกนาซีขโมยไปจากพระราชวังแวร์ซายส์ในประเทศฝรั่งเศสครับ
Wolfenstein 3D ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีทั้งด้านยอดขายและคำวิจารณ์ โดยมีรายงานว่าเกมภาคนี้ทำยอดขายได้ประมาณ 250,000 ชุดภายใน 3 ปีแรกของการวางจำหน่าย และทำรายได้สูงถึง 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (นับเมื่อปี 1995) ถ้าแปลงตามอัตราเงินเฟ้อของปี 2025 จะคิดเป็นประมาณ 5.17 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 171 ล้านบาทเลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน Wolfenstein 3D ยังสร้างปรากฏการณ์ในวงการเกม จนถูกขนานนามให้เป็น Grandfather of 3D Shooters หรือบรรพบุรุษแห่งเกมชู้ตติ้ง 3 มิติ ด้วยเกมเพลย์ที่ฉับไว และกราฟิกที่ดูสดใหม่ของยุคนั้น อีกทั้งยังเคยถูกประเทศเยอรมนีสั่งแบนอยู่หลายปี เนื่องจากในเกมมีปรากฏภาพของสัญลักษณ์สวัสดิกะของกองทัพนาซี รวมถึงท่ายกแขนไปข้างหน้าเพื่อแสดงความเคารพ ที่สื่อถึงแนวคิดขวาจัดและสุดโต่ง ก่อนจะมาปลดแบนในภายหลัง
ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station