[center][img]http://www.online-station.net/news/files/0504/1816_googhoo.jpg[/img][/center][p]โลกพัฒนาขึ้นทำให้ระบบธุรกิจเปลี่ยนอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ซื้อเร็วจ่ายเร็ว รวดเร็วทันใจเหมือนฝัน[p]เครื่องพิมพ์ดีด เครื่องแฟกซ์หมดความหมายแทบไม่มีเหลือ แม้แต่เครื่องโทรศัพท์ก็หวั่นไหวต้องเพิ่มเทคโนโลยีเข้าไปช่วย จะเรียกว่าเป็นทีวีเป็นคอมพิวเตอร์ฉบับพกพาก็ยังไหว เพราะมันจิ๋วกะทัดรัด ไม่ต้องใช้อ้อมแขนโอบ เพียงแค่ใช้นิ้วมือกำกับก็อุ่นใจเย็นใจแล้ว[p]ความกว้างขวางครอบจักรวาลของคอมพิวเตอร์ทำให้พวกสิ่งตีพิมพ์ถูกตีถอยร่น จะเรียกว่าถึงขนาดเสียกระบวนก็ยังได้ เวลานี้ที่สิ่งตีพิมพ์ทั้งหลายยังสู้อยู่ได้ก็เป็นเพราะเวลาและความสะดวก จะนั่งอ่านนั่งดูเวลาไหนก็สะดวกทุกเวลา เวลาเดียวกันบริษัทพวกอินเทอร์เน็ตทั้งหลายผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เพราะทำให้ไม่มีข่าวไหนที่คนไม่รู้ จะรู้ก็รู้พร้อมกัน จะได้หรือเสียก็พอๆ กัน ไม่มีฝ่ายไหนประเทศไหนเสียเปรียบมากกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นผมแดง ผมดำ ผมขาว หรือผมทอง ไม่เว้นแม้คนหัวล้าน [p]โลกข่าวสาร โลกธุรกิจเวลานี้จึงต้องพึ่งอินเทอร์เน็ต บริษัทพวกอีเมล์และอีเบย์จึงต้องแข่งขันกันทำงานทำเงินให้ได้มากที่สุด ก่อนที่โลกจะมีเทคโนฯ อะไรที่เร็วและไวกว่ามาขัดคอ [p][color=red]ยักษ์ใหญ่อินเทอร์เน็ต ยาฮู ออกมาประกาศชัยชนะสำหรับรอบไตรมาสสุดท้ายของปี 2004 อย่างหน้าชื่นตาบานว่า มีผลกำไรมากกว่ารอบเดียวกันของปี 2003 เป็น 5 เท่าคือกำไร 373 ล้านดอลลาร์ (กำไรไตรมาสที่ 4 ของปี 2003 คือ 75 ล้านดอลลาร์)[/color] ผมอ่านแล้วก็ตาโตตกใจตามประสาคนจนอิจฉาความเก่งของเขา ปกติธุรกิจจะทำเงินเพิ่ม 25-50 เปอร์เซ็นต์ต่อปีก็ถือว่าเก่งฉิบ...แล้ว แต่นี่พ่อฟาดไปปีละเท่าไร ฟังแล้วไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ทีแรกคิดว่าเราตาฟางเพราะอายุมากแล้วเกือบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะนัดหมอตาไปยิงเลเซอร์ใหม่ ดีที่ถามคนใกล้ชิดว่าอ่านถูกหรือผิดเสียก่อน[p]รายได้ทางอินเทอร์เน็ตส่วนมากได้จากการโฆษณา และการขายหุ้น เอาแค่รายได้ทางโฆษณาปี 2004 เป็นเงินถึง 8,400 ล้านดอลลาร์ มีการพยากรณ์ว่ารายได้จากการโฆษณาทางอินเทอร์เน็ตจะเพิ่มเป็น 13,800 ล้านดอลลาร์ในปี 2007 เทียบกับรายได้โฆษณาของสื่อตีพิมพ์เรียกว่าทิ้งกันไกล[p]ยาฮู และ กูเกิล น่าจะเป็นพี่น้องกันมากกว่าคู่แข่งขัน ถ้ากูเกิลทำกำไรมากขึ้นก็เป็นการส่งเสริมให้ยาฮูรวยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้เป็นเพราะยาฮูมีหุ้นในกูเกิลมากถึง 4.2 ล้านหุ้น อย่างนี้เขาเรียกยาฮูว่ารวยซ้ำรวย[p]รายได้ของยาฮูส่วนมากยังเป็นรายได้ที่มาจากต่างประเทศ เช่น ตัวเลขกำไรไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมา (373 ล้านดอลลาร์) เป็นกำไรในต่างประเทศ (เช่นบริษัท Kel Koo ที่ให้บริการเรื่องซื้อสินค้า และ 3721 network software Co. ในจีน) เป็นเงิน 302 ล้านดอลลาร์ ส่วนกำไรในมะกาทำได้ 71 ล้านดอลลาร์[p]จากรายได้และกำไรในต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ยาฮูจะเพิ่มเครือข่ายในต่างประเทศให้ใหญ่มากขึ้นในปี 2005 (คาดว่าจะเพิ่มเป็น 25 เปอร์เซ็นต์) รวมถึงปีต่อๆ ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อกิจการของคู่แข่งรายเล็กๆ หรือเพิ่มสาขา เพราะเห็นผลดีจากตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 22 เปอร์เซ็นต์ในปี 2004 คือเห็นกำไรเพิ่มแล้วทำให้ตาลุก[p]หันมาดูทางเศรษฐีหน้าใหม่ (คงไม่ใช่ใหม่ทำนอง เหล้าใหม่ในขวดเก่า) ยี่ห้อ Google บ้างเพราะรายนี้ยิ่งกว่าฮอต เนื่องด้วยผลกำไรในไตรมาส 4 ปี 2003 (กำไร 27 ล้านดอลลาร์) เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2004 มันเพิ่มมากเป็น 8 เท่า (204 ล้านดอลลาร์) โอ้โฮ อะไรมันจะขนาดนั้น[p]ในปี 2003 กูเกิล มีรายได้ประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์ เป็นกำไร 106 ล้านดอลลาร์ ปี 2004 มีรายได้เป็น 3,200 ล้านดอลลาร์ กำไร 399 ล้านดอลลาร์ กำไรที่เพิ่มขึ้นเป็นรายได้ของเว็บไซต์และโฆษณาครึ่งต่อครึ่ง[p]เมื่อเห็นตัวเลขผลกำไรของกูเกิลเพิ่มเป็น 8 เท่าและผลกำไรของยาฮูเพิ่มเป็น 4 เท่าเช่นนี้ทำให้เรารู้ซึ้งว่าสมัยนี้การโฆษณาสินค้าไม่ว่าจะทางอินเทอร์เน็ตหรือทางสื่อตีพิมพ์และวิทยุถือเป็นหัวใจของการทำธุรกิจ เห็นชัดว่าธุรกิจที่ไม่มีโฆษณาจะเจริญหรือไปไกลได้ยากยิ่ง[p]Mr.Eric Schmidt ซีอีโอกูเกิลคุยว่า รายได้ดังกล่าวถือเป็นตัวเลขที่ไม่นึกและคาดว่าจะได้มากขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายได้จากการโฆษณามันได้มากกว่าที่คาดเยอะเลย วงการอินเทอร์เน็ตรู้ว่า เมื่อรายได้ของกูเกิลเพิ่มมากขึ้นก็จะมีคู่แข่งมากขึ้น จะแข่งขันหารายได้แข่งกันมากขึ้น จะใช้นโยบายต่อสู้กันรุนแรงขึ้น เพิ่อชิงกันเป็นเจ้าพ่อใหญ่ในวงการนี้ ไม่ว่าจะเป็นยาฮู (ที่มีหุ้นอยู่ในกูเกิลกว่า 4 ล้านหุ้น) หรือคู่แข่งอื่นๆ เช่น AOL รวมทั้งเจ้าพ่อคอมพิวเตอร์คือ ไมโครซอฟท์ และบริษัทเล็กใหญ่อีกหลายสิบหลายร้อยบริษัท บริษัทเหล่านี้จะต้องหาทางลดเหลี่ยมลบหลู่กูเกิลให้มากขึ้น นี่ก็เป็นธรรมดาของธุรกิจๆ ที่ต้องหาทางล้มคู่แข่ง ต้องหาทางทุ่มเงินซื้อกิจการของคู่แข่ง หรือไม่ก็เปิดบริษัทขึ้นมาเป็นหัวหอกเพื่อโจมตีลดทอนยอดขายของคู่แข่งให้น้อยลงด้วยราคาขายที่ถูกกว่า ไม่ว่าจะต้องใช้เงินเท่าไรก็ต้องเอาให้ได้ (ดูตัวอย่าง พีแอนด์จี ทุ่มเงินก้อนมหึมาซื้อยิลเลตต์เป็นเงิน 57,000 ล้านดอลลาร์เมื่อเดือนสองเดือนที่ผ่านมา)[p]เจ้าพ่อใหญ่ไมโครซอฟท์ออกมาประกาศแล้วว่า จะทุ่มเงินก้อนใหญ่เพื่อโฆษณาต่อสู้กับคู่แข่ง (อินเทอร์เน็ต) ที่ทุ่มเงินก้อนใหญ่ไปกับรายการ ซูเปอร์ โบว์ (โฆษณาสปอตละประมาณ 2 ล้านดอลลาร์) นอกจากซูเปอร์โบว์แล้ว ไมโครซอฟท์ยังทุ่มโฆษณาในรายการชิงแชมป์บาสเกตบอลมหาวิทยาลัยเป็นเงินก้อนใหญ่อีกด้วย[p]Mr.Schmidt แห่งกูเกิลเห็นการทุ่มของไมโครซอฟท์แล้วก็ได้แต่สั่นหัวว่า เราคงไม่ทุ่มเงินมากมาย ขนาดนั้น เพราะทำอย่างไรก็เทียบกับไมโครซอฟท์ไม่ได้ เราจะหาทางต่อสู้วิธีอื่น เพราะตลาดย่อมรู้ดีว่าธุรกิจนี้มิได้มีอะไรแตกต่างกันมากนัก เทคโนโลยีต่างๆ มีคุณภาพพอๆ กัน วิธีดีที่สุดก็คือเราต้องเพิ่มบริการให้ลูกค้าพอใจมากขึ้น เราถือว่าบริการเป็นสิ่งสำคัญและเราก็ทำสำเร็จมาแล้ว ลูกค้าต่างพอใจไม่ว่าจะเป็นในมะกาและในต่างประเทศ ดูได้จากยอดขายและยอดกำไรที่เพิ่มมากกว่าปีก่อนหลายเท่า[p]การค้าขายทางอินเทอร์เน็ตได้ผลดี ทำให้ขายสินค้าได้มากขึ้นและทำผลกำไรเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวเนื่องด้วย นักธุรกิจจำนวนมากใช้บ้านเป็นสำนักงาน มีแค่เครื่องคอมพิวเตอร์ มีตัวเองเป็นผู้จัดการ มีผู้ช่วยไม่กี่คน การขนส่งก็ใช้บริการยูพีเอส ดีเอชแอลหรือเฟดเอกซ์ ฯลฯ ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้รวมอยู่ในสินค้าอยู่แล้ว[p]กูเกิลเป็นบริษัทหน้าใหม่ ผมเห็นเตะตาอยู่ในวงการประมาณ 5-6 ปีเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าจะดังระเบิดคับวงการอินเทอร์เน็ตได้ขนาดนี้ นับกันจริงๆ เจ้าอื่นๆ ก็ไม่ใช่เล่น มีอีกแยะไป