รีวิวเกม Rise of the Ronin – ซามูไรไร้นายบู๊เดือดสะท้านเอโดะ

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเกมฟอร์มยักษ์รับต้นปีครับสำหรับ Rise of the Ronin เกมแนวแอคชั่นจากค่ายผู้คร่ำหวอดอย่าง Team Ninja เจ้าของงาน Ninja Gaiden และ Nioh ที่ได้จับเอาหนึ่งในซีเควนศ์สำคัญที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นกับความขัดแย้งและสงครามกลางเมืองที่นำมาสู่การล่มสลายของระบอบโชกุน ให้ผู้เล่นได้วิ่งเล่นและทำความรู้จักกับญี่ปุ่นในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง รวมถึงสงครามที่ผู้เล่นต้องสู้ฟันฝ่าแบบจุกๆ แทบไม่ได้พักตลอดทั้งเกม

และถ้าหากว่าต้นปี 2024 นี้คุณเห็นงานเกมจากค่ายญี่ปุ่นออกมายอดเยี่ยมเต็มไปหมด ผมก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะบอกว่า Rise of the Ronin ก็สามารถกระโดดเข้าร่วมขบวนผ้าป่า “เกมดีเกมเด่นจากแดนอาทิตย์อุทัย” ประจำต้นปีนี้ได้อย่างไม่เคอะเขินด้วยเช่นกัน ถึงแม้มันจะเป็นเกมที่เต็มไปด้วยรอยแผลยากเกินมองข้ามมากมาย แต่ก็บริบูรณ์ครบถ้วนในสิ่งที่ทีมพัฒนาต้องการนำเสนอ นี่คือหนึ่งในเกมที่หมกมุ่นกับฉากต่อสู้และแอคชั่นมากที่สุดเกมหนึ่งในรอบหลายปีมานี้ และผลลัพท์ที่ได้คือมันสนุกเอามากๆ

เนื้อเรื่อง

โลกทัศน์ของเกมจะอยู่ในช่วงสุดท้ายของยุคบาคุมัตสึกินยาวจนกระทั่งถึงตอนปฏิวัติเมจิ ญี่ปุ่นพบเจอปัญหามากมายไม่ว่าจะจากมหาอำนาจตะวันตกที่กดดันให้พวกเขาต้องเปิดประเทศ ปัญหาทางการเมืองจากความไร้สมรรถภาพของรัฐบาลโชกุนโตกุงาว่า กลุ่มต่อต้านต่างชาติที่ก่อความรุนแรงไปทั่วหัวระแหง รวมไปถึงโรคระบาดที่ไม่มียารักษาซึ่งกำลังคร่าชีวิตผู้คนอย่างช้าๆ ภายใต้กลียุคที่กลุ้มรุมฉีกทึ้งเกาะญี่ปุ่นอย่างสาหัสสากรรจ์ แต่ละแคว้นจึงเตรียมการก่อกบฎและเริ่มพัฒนาทางรอดของตัวเองขึ้นมา

หนึ่งในนั้นคืออาวุธมนุษย์ของแคว้นคุโรสุภายใต้ชื่อ “ดาบอำพราง” สุดยอดนักรบและมือสังหารที่มักจะมีกันอยู่เป็นคู่หรือที่มักถูกเรียกกันอย่างชินปากว่า “แฝดดาบ” เมื่อมีกันอยู่ 2 คนพวกเขาจะไร้เทียมทาน แต่ในกลียุคเช่นนี้อะไรก็คงไม่ง่ายดายขนาดนั้น

ผู้เล่นจะรับบทเป็นหนึ่งในแฝดดาบ “ดาบอำพราง” โดยเริ่มเกมจะต้องสร้างตัวละครขึ้นมา 2 ตัว ก่อนที่เมื่อถึงจุดหนึ่งผู้เล่นจะต้องเลือก 1 ในนั้นและเข้าสู่เนื้อหาหลักของเกมกับการตามหาแฝดดาบที่หายไปของตน ผ่าน 3 แผนที่ใหญ่ โยโกฮาม่า, เอโดะ (โตเกียว) และเกียวโต กับช่วงเวลาทศวรรษสุดท้ายของรัฐบาลโชกุน ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและปัญหาการเมืองมากมายในฐานะซามูไรไร้นายหรือ “โรนิน”

ก่อนอื่นเลย Rise of the Ronin เซอร์ไพรซ์ผมด้วยเนื้อหาที่ลึกและมีมิติเกินคาดสุดๆ ผ่านทั้งทางเนื้อเรื่องหลักและเนื้อเรื่องรอง รวมไปถึงเควสต์เสริมจากตัวละครมากมายที่คุณต้องพบพาน, สานสัมพันธ์ ซึ่งมันจะช่วยถักทอให้เห็นถึงภาพใหญ่ของญี่ปุ่นในเวลานั้น รวมไปถึงสิ่งที่แต่ละฝ่ายกำลังคิดและเผชิญ ถึงแม้เราจะพอรับรู้ว่าเหตุการณ์นี้มันจะจบลงอย่างไร แต่การได้เห็นมิติความคิดทางการเมืองและสังคมของแต่ละฝ่ายในเวลาดังกล่าวมันดึงอาารมณ์ร่วมได้ดีมากๆ ไม่มีขาวหรือดำในเกมนี้ ไม่มีคนเลวสุดขั้วหรือชั่วสุดขีด แต่ละฝ่ายล้วนทำเพื่อพยุงชาติของพวกเขาให้อยู่รอด แค่แตกต่างในสิ่งที่ตัดสินใจหรืออะไรก็ตามที่พวกเขายึดมั่นถือมั่น

ขณะที่ตัวละครเราเองแม้จะเป็นโรนิน แม้จะไม่มีสังกัด หลักลอยไปตามเรื่อง ทำงานได้กับทุกฝ่าย คำว่าภักดีไม่มีในพจนานุกรม อาจดูเป็นคนไม่เข้าท่าในยุคสมัยนั้น แต่มันก็ทำให้ได้เห็นโลกที่กว้าง เห็นมุมมองที่แตกต่าง อาจไม่มีใครที่เป็นมิตรแท้หรือศัตรูถาวร แต่ก็มีอิสระที่จะท่องโลกไปตามใจปรารถนาไม่ต้องกังวลกับเรื่องใดๆ ทั้งนี้ภายในเกมมักจะย้ำถึงการเปลี่ยนผ่านญี่ปุ่นสู่ยุคสมัยใหม่ นัยหนึ่งความเป็นโรนินที่ไม่ยึดติดใครและใช้ชีวิตตามใจอยากนี่แหละก็คือตัวแทนเค้าลางยุคสมัยที่พวกเขาอยากจะก้าวไปให้ถึงนั่นเอง

ดังนั้นแม้จะจะเป็นเกมแอคชั่นที่จัดมากๆ แต่การร้อยเรียงเนื้อหากลับแยบยลและน่าประทับใจเกินเบอร์ไปมาก แน่ล่ะว่ามันมีรายละเอียดบางจุดที่คิดว่าน่าจะเล่าได้เนียนหรือทำได้ดีกว่านี้อยู่บ้าง แต่ในภาพใหญ่แล้วหากใครสนใจในเนื้อหาอิงประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นในช่วงนี้ หรือหากใครที่ชอบผลงาน “ซามูไรพเนจร” แม้กระทั่งงานพาโรดี้ล้อไม่สนสถาบันอย่าง “กินทามะ” (ใช่ครับ ผมว่าความเป็นโรนินในเกมกับงานรับจ้างสารพัดของคุณกินแทบไม่ต่างกันเลย ฮ่า) Rise of the Ronin ก็มีเรื่องราวและตัวละครชื่อคุ้นระหว่างทางรอให้คุณได้พบพานและใจฟูมากๆ แน่นอน

เสียง

เมื่อเป็นเกมจากฝั่งญี่ปุ่น งานพากย์ย่อมพิถีพิถันเป็นสามัญ แถมการที่เกมมีตัวละครเยอะก็แทบจะขนนักพากย์กันมาทั้งวงการ โดยพวกตัวละครทั้งตัวหลักตัวรองหลายสิบตัว ก็เรียกได้ว่าฟูลวอยส์แทบทั้งสิ้น แม้บางคนอาจมีข้อติตรงที่พอปรับเป็นพากย์ญี่ปุ่นแล้วเห็นตัวละครฝรั่งหลายคนสปีคเจแปนนิสกันปร๋อ แต่สำหรับผมแล้วไม่ได้ติดใจอะไรเป็นพิเศษ แม้เกมจะอิงประวัติศาาสตร์แต่ก็มีการดัดแปลงและใส่ความเป็นแฟนตาซีเข้าไปไม่มากก็น้อย (ตัวละครบางตัวฟันคลื่นดาบได้ หรือกระทั่งสู่กับบอสตัวหนึ่งบินไปบินมาอย่างกับ Ironman) ดังนั้นแล้วผมหยวนได้ในเรื่องนี้ไม่ติดขัดอะไร

ขณะที่เสียงตอนสู้ก็ทำได้ดี อาวุธแต่ละชนิดมีเสียงที่ต่างกันชัดเจน แอมเบียนต์ต่างๆ ก็ไม่แย่ จะมีน้อยหน่อยก็ตรงเพลงประกอบ ที่จริงๆ แล้วเหมือนเกมเองก็ไม่ได้เน้นให้เพลงช่วยบิลต์อารมณ์อะไรขนาดนั้น มันจึงมีไม่มากและอาจธรรมดาเสียจนไม่ได้เป็นที่จัดจำสักเท่าไหร่

กราฟิกและเพอร์ฟอร์แมนซ์

นี่คือเรื่องที่ฉุดกราฟของ Rise of the Ronin ลงอย่างชัดเจนครับ มันเป็นจุดอ่อนและข้อด้อยที่ทีมพัฒนาอาจต้องเก็บไปเป็นการบ้านสำหรับผลงานชิ้นถัดไป ว่ากันตามตรงในเรื่องของโมเดลตัวละครเราและตัวละครหลักอื่นๆ ในเกมก็มีความละเอียดดี ชุดเกราะและอาวุธที่เปลี่ยนทั้งสกินและดีไซน์มากมายหลายร้อยรูปแบบก็น่าประทับใจเอามากๆ โลกโอเพ่นเวิร์ลป่าเขาลำเนาไพรก็ทำออกมาโอเคเลยสำหรับงานโอเพ่นเวิร์ลชิ้นแรกของค่าย

เทียบให้ชัดหน่อยก็อาจต้องยก Ghost of Tsushima ขึ้นมาเปรียบ ความงดงามของโลกทัศน์ผมรู้สึกว่าผมประทับใจ Ghost of Tsushima บน PS4 มากกว่า Rise of the Ronin บน PS5 แน่ล่ะว่ารายละเอียดตัวละครอาจไม่เท่าแต่ในภาพรวม Ghost of Tsushima นำเสนอญี่ปุ่นได้ชวนตะลึงงันมากกว่า แต่โอเคให้ความเป็นธรรมกับ Rise of the Ronin สักนิด เพราะเอาเข้าจริงทั้ง 2 เกมให้มู้ดแอนด์โทนที่ต่างกัน Rise of the Ronin จะมีบรรยากาศกึ่ง Realistic มากกว่าอีกเกมที่มีความฟุ้งไหวไหลไปทาง Mythical สักหน่อย

แต่นั่นก็ไม่ได้ปกปิดรอยแผลที่ไม่เรียบเนียนรวมถึงการแสดงผลในบางจุดที่ควรจะทำได้ดีกว่านี้ อย่างเช่นฉากในอาคารหรือตัวเมืองที่ราวกับหลุดมาจากคอนโซลเจนที่แล้ว มันทั้งหยาบและไร้ชีวิตชีวา สภาพในเมืองคือแห้งเอามากๆ แม้ตัวละคร NPC จะมีกิจวัตรที่น่าสนใจฝนตกก็มีหลบเข้าร่ม แต่จำนวนที่ปรากฎมันน้อยมากๆ เกินกว่าจะทำให้เราเชื่อว่ามันเป็นเมืองขนาดใหญ่ระดับท็อปของญี่ปุ่นในยุคนั้น ขณะที่การแสดงผลน้ำตามคลองหรือทะเลนี่คือแย่กว่าเกมจากคอนโซลเจนที่แล้วด้วยซ้ำไป มันนิ่งมาก ไม่มีไดนามิค ดูหลอกไปหมด

ถึงอย่างนั้นเกมก็ยังมีเฟรมที่ไม่นิ่งเลยแม้จะเล่นในโหมด Performance แล้วก็ตาม เหวี่ยงไปมาตลอดเกม และยิ่งหนักข้อขึ้นเมื่อคุณเข้าถ้ำมืดๆ แล้วมีตัวละครสักตัวใช้อาวุธติดไฟ จังหวะนั้นคือร่วงจนน่าใจหายมากๆ โอเคแหละว่าส่วนตัวเล่นได้ไม่ประสบปัญหากับมันเท่าไหร่ แต่ผมก็เข้าใจคนที่ซีเรียสเรื่องเฟรมมากๆ เพราะพอมันเป็นเกมที่เน้นแอคชั่น เฟรมที่เสียไปย่อมหมายถึงจังหวะผิดพลาดที่อาจตามมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นแล้วเรื่องเพอร์ฟอร์แมนซ์จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ทีมงานอาจต้องทำการแก้ไขเร่งด่วนและเก็บไว้เป็นบทเรียนสำหรับอนาคตภายภาคหน้า

เกมเพลย์

Rise of the Ronin เป็นเกมที่ผมอยากจะใช้คำว่า “หมกมุ่น” กับเรื่องแอคชั่นเอามากๆ ซึ่งมันเป็นทั้งเรื่องที่น่าชื่นชมกราบกราน และเป็นเรื่องที่อาจจะมันมือพวกเขาเกินไปสักหน่อยครับ โดยระบบต่อสู้ของเกมมีความท้าทายมากๆ อาจไม่โหดร้ายถึงขั้นเกม Souls แต่หากพลาดสักจังหวะหรือหลุดสมาธิก็โดนตบตายได้ง่ายๆ เหมือนกัน ตัวเกมมีระบบสตามิน่าที่ค่อนข้างเคร่งครัดทำให้ผู้เล่นไม่สามารถสแปมท่าฟันรัวๆ ได้ และต้องพยายามจัดสรรค์ความเหนื่อยล้านี้ให้ดี เพราะหากสตามิน่าหมดกลางคันตัวละครก็จะยืนนิ่งราวๆ 1-2 วินาที ซึ่งเกมนี้ถ้าหยุดนิ่งเมื่อไหร่โอกาสตายก็ 50-50 เลยครับ คอมโบชุดเดียวของบอสก็พาคุณวาร์ปกลับไปจุดเริ่มต้นมิชชั่นได้สบายๆ

แต่ความชิงไหวชิงพริบระหว่างสู้นี่แหละที่มันสนุกเอามากๆ แน่นอนว่าคุณสามารถทำให้งานเบาลงได้ด้วยการลอบสังหารตัวกี้ๆ รอบๆ บริเวณไปก่อนได้ แต่ที่สุดแล้วคุณก็จะต้องดวลกับบอสในพื้นที่นั้นๆ อยู่ดี ซึ่งมันเป็นจุดที่ทำให้เกมฉายแสงมากๆ นอกจากการออกคอมโบท่าฟัน และการเน้นจับจังหวะหลบหรือแพรี่ศัตรูแล้ว (เกมค่อนข้างเน้นแพรี่ระดับหนึ่ง) ความที่รูปแบบอาวุธมันเยอะมากๆ แถมแต่ละอาวุธก็มี “แสตนซ์” หรือ “เพลงอาวุธ” ที่ไม่เท่ากันทั้งยังแยกจากกันต่างหากอีก ทำให้เราได้เห็นว่าทีมพัฒนาใส่แอนิเมชั่นการต่อสู้เข้ามาเยอะสุดๆ ในระดับที่ผมเรียกว่าหมกมุ่นนั่นแหละ

กล่าวคืออาวุธแต่ละชนิดจะมีท่าทางที่ต่างกันระหว่างใช้ แสตนซ์ของแต่ละอาวุธก็จะออกท่าทางที่ไม่เหมือนกันซึ่งจะมีเรื่องของการแพ้-ชนะทางกันอีก แต่ละอาวุธก็จะมีอย่างน้อย 2-3 แสตนซ์ หรืออาจมากถึง 5-6 แสตนซ์ในบางชนิด และแต่ละแสตนซ์ก็ยังมีระดับการเรียนรู้ของมันอีก 4 ระดับ ยิ่งชำนาญก็ยิ่งออกท่าได้เยอะขึ้น ท่าไม้ตายเพิ่มขึ้น ที่นี้ก็หยิบมีมจูเลีย โรเบิร์ตขึ้นมาล้อกันได้เลย ยังไม่นับรวมท่าพิเศษของศัตรูหลายๆ ตัวที่เราใช้ไม่ได้อีกด้วย และผมบอกรึยังว่าอาวุธแต่ละชนิดยิ่งใช้มันจะยิ่งเพิ่มค่าความชำนาญทำให้บวกโบนัสมากขึ้นไปอีก คือคุณต้องมีไอเดียด้านนี้ขนาดไหนถึงผลิตงานแบบนี้ออกมาได้ นี่คือเรื่องที่ผมซูฮกให้กับ Rise of the Ronin มากๆ แม้ว่าปัญญาประดิษฐ์ของทั้งเพื่อนและศัตรูบางตัวจะดูงกๆ เงิ่นๆ ในหลายเวลา แต่หักลบกลบหนี้แล้วก็ขอยกประโยชน์ให้จำเลยไปเพราะเกมมันสนุกจริงๆ ให้ตายเถอะ

ในด้านระบบโอเพ่นเวิร์ลของเกมนี้มันอาจไม่ได้มีมินิเกมอะไรมากมาย แต่เกมมีวิธีกระตุ้นให้ผู้เล่นออกสำรวจเพื่อทำภารกิจย่อยๆ ในแต่ละเขตขัณฑ์ได้อย่างน่าสนใจ ด้วยค่าระดับความสัมพันธ์ซึ่งจะมีแบ่งแยกเป็น ความสัมพันธ์โรนิน, ความสัมพันธ์กับกลุ่มต่อต้านต่างชาติ, ความสัมพันธ์กับกลุ่มสนับสนุนโชกุน การจะเพิ่มค่านี้ ผู้เล่นต้องออกสำรวจแผนที่หรือทำภารกิจย่อยของแต่ละฝ่ายนับรวมไปถึงอีเวนต์สุ่มต่างๆ โดยค่าพวกนี้พอถึงระดับหนึ่งก็จะปลดล็อคเป็นของรางวัลพวกอาวุธหรือชุดเกราะต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะได้ใช้แน่ๆ เพราะเป็นของดีซึ่งค่าพลังไดนามิคตามเลเวลของเราในเกมช่วงนั้นๆ

และด้วยความที่เป็นเกมซึ่งถูกไดร์ฟด้วยเนื้อเรื่องในทางหนึ่ง ผู้เล่นจึงสามารถสานสัมพันธ์กับตัวละครหลายๆ ตัวได้ผ่านทางการให้ของขวัญ, ทำเควสต์ย่อยของตัวละครนั้นๆ, ตอบคำถาามเอาใจ, รวมไปถึงการพาพวกเขาบางคนไปร่วมออกภารกิจด้วย โดยความสัมพันธ์กับตัวละครเหล่านี้มีด้วยกัน 4 ระดับ แน่นอนว่าแต่ละระดับเมื่อปลดล็อคก็จะมีรางวัลให้ ซึ่งไม่ใช่แค่ไอเทม แต่หลายๆ ตัวละครจะมีแสตนซ์อาวุธใหม่มาให้ หรือช่วยอัปเกรดแสตนซ์เก่าที่มีอยู่แล้วให้ระดับสูงยิ่งขึ้นไปอีก อ้อ! แล้วก็มีตัวละครประมาณหนึ่งที่คุณจีบได้ด้วยนะ แม้อาจจะน่าเสียดายไปบ้างที่แค่มีฉากฟินๆ ให้ดูเพิ่มเติม ทว่าไม่ได้เอฟเฟกต์กับเนื้อเรื่องสักเท่าไหร่ แต่มีก็ย่อมดีกว่าไม่มีล่ะนะ!

จะเห็นได้ว่า Rise of the Ronin มีวิธีดึงดูดให้ผู้เล่นออกสำรวจโลกมากๆ ยิ่งใช้เวลากับมันก็ยิ่งอิน ยิ่งปลดล็อคก็ยิ่งเก่ง ยิ่งเก่งก็ยิ่งเล่นแอคชั่นได้สนุกมากขึ้น ทว่าความสนุกที่เกินพอดีก็นำมาซึ่งข้อด้อยที่น่าเสียดาย เพราะความเน้นแอคชั่นเน้นสู้เกินไปมากๆ ทำให้การออกแบบภารกิจเควสต์ของเกมนี้เข้าขั้นจำเจวนลูปแม้ว่าเนื้อเรื่องเสริมระหว่างนั้นจะน่าสนใจสักเพียงไร ยิ่งท้ายๆ เกมคือคุณเดาได้เลยว่าพวกเควสต์รองๆ หรือเควสต์สร้างความสัมพันธ์มันจะต้องเริ่มด้วยการสู้กับลูกน้องเป็นกระบุงโกยแล้วจบลงที่การต้องสู้กับบอสสักคนนั่นแหละ ไม่มีเล่นท่า ไม่มีพลิกแพลง ที่ผ่านมาจะสนุกแค่ไหนหรือเนื้อเรื่องจะน่าติดตามสักเพียงไรก็มีเอียนกันบ้างเป็นธรรมดาถ้าคุณอยู่ในเกมนี้มาแล้วกว่า 60 ชั่วโมง หากตัวเกมมีลูกเล่นในการนำเสนอเควสต์ย่อยมากกว่านี้ ผ่อนคลายหรือมีจังหวะน่าสนใจ รวมไปถึงการเติมความคิดสร้างสรรค์เข้าไปให้มากขึ้น Rise of the Ronin จะเป็นอีกหนึ่งเกมที่มีระบบโอเพ่นเวิร์ลระดับขึ้นหิ้งได้เลย

สรุป

Rise of the Ronin ถือเป็นเกมแอคชั่นฟอร์มดีมากๆ ของช่วงต้นปีนี้ แม้อาจจะมีปัญหาเรื่องเพอร์ฟอร์แมนซ์หรือกราฟิกบางประการ แต่เนื้อแท้และสิ่งที่ต้องการจะนำเสนอก็ไม่ได้ถูกตัดทอนหรือสูญสลายหายไป และในบางทางมันอาจจะล้นเกินไปสักนิดเสียด้วยซ้ำไป สำหรับผมแล้ว Rise of the Ronin อาจไม่ถึงขั้นเกมที่ดีที่สุดของปี แต่มันเป็นจะเป็นหนึ่งในเกมที่ผมรักที่สุดของปีแน่นอน เหมือนอย่างที่ทีมพัฒนาให้สัมภาษณ์กับผมไว้ว่าเขาทำเกมเอาความสนุกมาเป็นอันดับแรก ผมเชื่ออย่างสนิทใจเลย เพราะเมื่อเคมีความสนุกมันทะลักปรอท ที่เหลือก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรในความรู้สึกแล้วครับ อ้อ! เกมนี้รองรับซับไตเติ้ลภาษาไทยและแปลออกมาได้ดีเลย ใครที่อยากให้มีเกมซับไทยบ่อยๆ นี่คืออีกหนึ่งโอกาสสนับสนุนผลงานคุณภาพอย่างไม่ต้องสงสัยครับ

VERDICT
8/10

Rise of the Ronin มีกำหนดวางจำหน่ายวันที่ 22 มีนาคมนี้ บนเครื่อง PlayStation 5 ครับ


ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้