วางจำหน่ายแล้วเป็นที่เรียบร้อยกับเกมใหม่ในจักรวาล Outlast อย่าง The Outlast Trials เกมที่สร้างความสยองขวัญจนเป็นที่โจษจันมาแล้วถึงสองภาค แต่การกลับมาในครั้งนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา เพราะทางผู้พัฒนางัดไอเดียเด็ดด้วยการจัดเต็มความสยองขวัญแนวถนัดมาให้เล่นกันในรูปแบบ Co-op 4 คน ซึ่งถือเป็นความท้าทายพอสมควร ตัวเกมจะดูดีแค่ไหน คุ้มค่าคุ้มราคากับการซื้อมาเล่นหรือไม่ วันนี้พวกเรา Online Station จะมารีวิวให้ทุกคนได้ดูกันครับ
ถึงแม้ The Outlast Trials จะเป็นตัวเกมภาคใหม่ของจักรวาล Outlast แต่คุณไม่จำเป็นจะต้องรู้เรื่องราวของเนื้อเรื่องเกม 2 ภาคก่อนหน้ามาเลยก็ได้ เพราะเรื่องราวของภาค Multiplayer นี้ จะมีเส้นเรื่องเป็นของตัวเอง โดยมีจุดเชื่อมโยงทั้ง 3 ภาคเข้าไว้ด้วยกันคือบริษัท Murkoff ที่ทำการทดลองผิดกฏหมายมาตั้งแต่ตัวเกมภาคแรก ซึ่งภาคเราได้เล่นเป็นนักข่าวที่พยายามมาตามหาความจริงของโรงพยาบาลบ้า ส่วนภาคที่ 2 ก็เป็นตากล้องที่สืบสาวเรื่องราวการหายตัวไปของหญิงสาวคนหนึ่ง แต่ใน The Outlast Trials คุณเป็นเพียงแค่เหยื่อหนึ่งคน ที่ถูกจับมาฝังเครื่องมือที่หัวแบบไม่เต็มใจ ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว และบังคับให้เล่นเกมสุดอันตรายเพื่อการทดลองบางอย่างและอ้างว่านี่คือการบำบัด ดังนั้นแก่นของเนื้อเรื่อง จึงไม่ได้เป็นประเด็นหลักมากนักสำหรับตัวเกมภาคนี้ ถึงแม้ว่าภายในเกม จะมีเอกสารให้เก็บเพื่อปะติดปะต่อเรื่องราวอยู่เพียบก็ตาม
เกมเพลย์ที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของ Outlast
มาถึงเรื่องสำคัญอย่างเกมเพลย์กันบ้าง ก็ต้องบอกว่าตัวเกมนั้นยังคงความเป็น Outlast ด้วยมุมกล้องบุคคลที่ 1 และเล่นกับฉากแคบ ๆ ที่อัดแน่นไปด้วยความสยองทุกซอกทุกมุม และความเป็นเอกลักษณ์อย่างการเข้าไปเผชิญหน้ากับความมืด ด้วยกล้อง Night Vision ที่ภาคนี้ ตัวละครของเราถูกฝังอุปกรณ์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของศีรษะชนิดที่ว่าถอดออกไม่ได้กันเลยทีเดียว
วัตถุประสงค์หลัก ๆ ของเกมนั้นจะเป็นการถูกทดสอบตามชื่อภาค ตัวละครของเรานั้นจะต้องเข้าไปเผชิญหน้ากับภารกิจเสี่ยงตาย โดยเป็นสถานที่ต่าง ๆ ที่ถูกเซ็ตติ้งขึ้นมาใหม่ เช่น สถานีตำรวจ สวนสนุก หรือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เป็นต้น เหล่าผู้เล่นนั้นจะได้รับมอบหมายภารกิจที่แตกต่างกันไปในแต่ละฉาก และถึงแม้ว่าจะเข้าไปเล่นฉากเดิม แต่ภารกิจก็สามารถเปลี่ยนไปได้ด้วย ดังนั้นถึงแม้ว่าผู้เล่นจะจำแผนที่ได้อย่างละเอียด แต่ความจำเจมันก็ถูกลดทอนลงไปในจุดนี้ โดยแต่ละภารกิจนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างหลอนและปั่นประสาทเอาเรื่องครับ อย่างภารกิจแรกของตัวเกมนั้นจะให้เราเป็นผู้ที่ทำการพานักโทษคนหนึ่งไปประหารด้วยการช็อตไฟฟ้า ระหว่างทางนักโทษคนนั้นก็จะพูดร้องขอชีวิต ขอให้ปล่อยเขาไป จนถึงขั้นด่าทอตัวละครเรา แล้วก็บอกว่าการกระทำแบบนี้มันไม่เกิดประโยชน์ จัดการเขาจนตายไปพวกเราก็ไม่สามารถรอดไปจากที่นี่อยู่ดีอะไรแบบนั้น ซึ่งก็ต้องบอกว่า ถ้าหากใครฟังภาษาอังกฤษไม่ออก ก็แนะนำให้เปิด Subtitle ของบทพูด ก็จะช่วยให้บรรยากาศของเกมดีขึ้นมาก ๆ
ข้อเสียหลักของเกมเพลย์อีกข้อเลยก็คือ ความเป็น Co-op ครับ คือตัวเกมนั้นมีระบบไมค์ในเกมมาเพื่อให้ผู้เล่นทำการสื่อสารกัน ซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการพูดคุยกับเพื่อนใน Discord นั่นละครับ และสิ่งนี้มันก็เลยทำให้บรรยากาศความน่ากลัวของเกมถูกลดทอนลง อย่างผมเองลงไปเล่นกับผู้เล่นต่างชาติก็ฟังไม่รู้เรื่อง ใช่ครับ เพราะโซนบ้านเรานั้นโอกาสเจอผู้เล่นพูดภาษาจีนนั้นค่อนข้างสูง ที่สำคัญคือถ้าหากเราเจอผู้เล่นเกรียน ๆ มันก็จะกลายเป็นเกมตลกไปเสียอย่างนั้น ซึ่งส่วนตัวถึงผมจะชอบอารมณ์แบบนั้นก็ตาม แต่ยังไงมันก็นับเป็นข้อเสียอยู่ดี เนื่องจากผู้สร้างเกมนั้นมีวัตถุประสงค์ให้ผู้เล่นได้พบเจอกับความกดดัน ความสยองขวัญ ความตื่นเต้นระทึก ไม่ใช้ความฮาจากการเล่นปั่น ๆ กันระหว่างผู้เล่น
ภารกิจต่าง ๆ ในเกมนั้นจะมีความท้าทายพอสมควร ผู้เล่นจะต้องวิ่งไปวิ่งมาภายในฉาก เช่น ไปหากุญแจมาไขเพื่อหาทางไปต่อ ลงไปชั้นใต้ดินเพื่อทำให้เครื่องปั่นไฟทำงาน หรือปิดสวิชต์เพื่อให้เข็น Object ของเราไปต่อได้ ทุกอย่างภายในฉากนั้นถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี มีทางหนีทีไล่หลายจุด ผู้เล่นสามารถวางแผนได้อย่างอิสระ จะเข้าทางประตูหน้า หรือทางด้านหลังก็ทำได้ รวมไปถึงบรรดาไอเทมต่าง ๆ ที่ถูกซ่อนไว้หลากหลายจุด ที่บางครั้ง เราจะต้องมี Lock Pick สำหรับการไขเพื่อเปิดไอเทมด้วย
ผู้เล่นสามารถกระจายตัวกันหาทั้งไอเทมช่วยเหลือและ Key Item ได้ตามสถานการณ์ต่าง ๆ ของตัวเอง เพราะตัวเกมนั้นจะเหมือนบังคับกลาย ๆ ครับว่าแต่ละคนจะต้องแยกกันเพื่อทำภารกิจให้ผ่านไวที่สุด ถึงแม้ว่าจะสามารถเล่นคนเดียวได้ก็ตาม แต่เชื่อผมเถอะ เล่นหลายคนสนุกกว่า เนื่องจากจะมีศัตรูและอุปสรรคต่าง ๆ ทยอยออกมาก่อกวนผู้เล่นเรื่อย ๆ ยิ่งทำภารกิจช้า เกมยิ่งยากขึ้น เพราะมีทั้งบอสประจำฉาก คนจิตวิปริตที่คอยเดินจ้วงเราตลอดเวลา ตัวฉีดแก๊สที่ทำให้เราเกิดภาพหลอน กับดักตามฉาก รวมไปถึงศัตรูที่แอบอยู่ตามจุดซ่อนต่าง ๆ ที่จะออกมาทำร้ายเราด้วย ดังนั้นความสนุกของเกมจึงอยู่ที่การรับมือของผู้เล่นแต่ละคนว่าจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทีมสูงสุด
เมื่อเราเล่นไปสักระยะ ตัวเกมจะค่อย ๆ ปลดความสามารถของตัวละครมาให้ มองง่าย ๆ ก็เหมือน Class นั่นล่ะครับ โดยจะแบ่งออกเป็น 4 อย่าง ซึ่งก็จะมีความสามารถแตกต่างกันออกไป รวมไปถึงความสามารถยิบย่อยอื่นๆ เช่นการฟื้นฟู หรือวิ่งแล้วสไลด์ได้เป็นต้น และแต่ละรอบที่เราเล่นชนะมา ก็จะมีการตัดเกรดว่าผู้เล่นแต่ละคนนั้นทำภารกิจออกมาได้ดีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะตีออกมาเป็นค่า EXP และเงิน เพื่อให้ผู้เล่นนำไปแต่งห้อง ซื้อชุดให้ตัวละครใส่ต่อไป
กราฟิกที่ชวนสยอง สมจริงมาก ๆ
กราฟิกของเกมนี้ยังคงทำออกมาได้ดี แถมยังออกแบบทั้งฉากและตัวละครได้สยองขวัญไม่ใช่น้อย รวมไปถึงแสงเงาต่าง ๆ ทุกอย่างมันลงตัวไปหมด และที่ต้องชมเลยคือลูกเล่นของฉากหลอนต่าง ๆ นั้นทำออกมาได้ดีมาก ๆ มันดูสมจริง มันดูเหมือนว่าเราได้รับยาหลอนประสาทหรือมีอาการทางจิตจริง ๆ มันทำให้เราเห็นภาพได้ว่าเหล่าคนบ้าในเกมภาคก่อนหน้านั้นต้องพบเจอกับอะไรถึงกลายเป็นแบบนั้นได้เลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าหากใครมีอาการ Motion Sickness หรือมึนหัวปวดตากับแสงสีเสียงต่าง ๆ ได้ง่าย แถมยังต้องเปิด ๆ ปิด ๆ Nightvision บ่อย ๆ เกมนี้ก็คงไม่เหมาะเท่าไหร่ครับ เพราะผู้เล่นจะต้องพบเจอกับอะไรพวกนี้ตลอดเวลา แถมการเล่นในแต่ละรอบ ก็กินเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงโดยเฉลี่ย จึงถือว่าเป็นอะไรที่หนักมากถ้าหากใครไม่ชินกับภาพหรือ Visual แบบนี้
ระบบเสียงที่ทำให้รู้สึกขัดอารมณ์พอสมควร
ในเรื่องของเสียง Effect ต่าง ๆ นั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร ทุกอย่างสมจริงตามมาตรฐาน เสียงความแหวะต่าง ๆ มันสมจริง เข้าถึงอารมณ์ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ในเรื่องของจังหวะ ที่หลาย ๆ ครั้งนั้น เสียงเพลงซึ่ง Build บรรยากาศน่ากลัว ๆ ตื่นเต้น มันดันโผล่มาไม่ตรงกับเหตุการณ์ตรงหน้าในหลาย ๆ ครั้ง คือเพลงมันดังขึ้นมา ไอ้เราก็พยายามมองไปรอบ ๆ หาศัตรู แต่ก็ไม่เจออะไรเลยแบบนั้น มันเลยทำให้รู้สึกขัดอารมณ์พอสมควร แต่โดยรวมแล้วมันก็ไม่ได้ถึงขั้นทำให้เล่นไม่ได้นะครับ บรรยากาศโดยรวมยังคงสยองขวัญอยู่
บทสรุปส่งท้าย
The Outlast Trials นั้นเป็นเกมที่ต่อยอดความสยองของสองภาคแรกได้ดีเลยทีเดียว ความสนุกของ first Impression นั้นเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ แต่ถ้าหากเล่นไปซ้ำ ๆ และช่ำชองพอ ผู้เล่นก็จะจับทางได้และความน่ากลัวก็จะจางหายไป เหลือเพียงความยากและหัวร้อนแทน คือไม่ได้บอกว่าตัวเกมมันง่ายนะครับ มันยังมีระดับความยากที่ท้าทายมาก ๆ อยู่ แต่อย่างที่บอกว่า ความน่ากลัวของตัวเกมจะค่อย ๆ จางหายไปเนื่องจากเราต้องลงเล่นด่านเดิมซ้ำ ๆ เพื่อฟาร์มเงินและปลดล็อคภารกิจใหม่ ๆ ดังนั้นถ้าหากใครจะหาความสยองขวัญแบบอิ่มจุใจเหมือนสองภาคแรก ตัวเกมคงให้คุณไม่ได้ในจุดนี้ เนื่องจากการวางคัตซีนหรือจุดหลอนต่าง ๆ ของเกมมันไม่สามารถทำได้เหมือนเกม Single Player นั่นเอง ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ พวกเรา Online Station จึงขอมอบคะแนนเกมนี้ไปที่ 7.5 คะแนนครับ อย่าลืมว่าตัวเกมยังเป็น Early Acess อยู่ ดังนั้น Content จึงยังไม่ได้มีอะไรที่ชัดเจนมากในด้าน End Game Content ก็ต้องรออัพเดทกันต่อไป เมื่อเกมเต็มเสร็จเมื่อไหร่ อาจจะได้คะแนนสูงกว่านี้ก็เป็นไปได้ครับ
คะแนน 7.5/10
บทความโดยทีมงาน Online Station
รูปปกจาก
https://www.gamesoul.it
ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ Online Station