JoJo’s Bizarre Adventure หรือชื่อไทยว่า โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ ผลงานของอาจารย์ฮิโรฮิโกะ อารากิ หนึ่งในการ์ตูนดังที่มีประวัติยาวนานมากว่า 3 ทศวรรษ เป็นเรื่องราวการผจญภัยของเหล่าฮีโร่จากตระกูลโจสตาร์ที่สืบทอดหน้าที่กันมารุ่นต่อรุ่น โดยในยุคแรกนั้นจะเป็นเรื่องของผู้ฝึกวิชาคลื่นมนตราที่ใช้รับมือกับเหล่าผีดูดเลือด กระทั่งยุคต่อมาก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นผู้ใช้สแตนด์ที่เป็นเหมือนใช้ร่างแยกของตนออกมาต่อสู้ ตั้งแต่นั้นการ์ตูนเรื่องนี้ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นจนมีภาคต่อมากมาย อีกทั้งมีผู้ใช้สแตนด์ที่มีความสามารถซับซ้อนขึ้น จนสามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นตัวละครในเกมต่อสู้ได้เป็นอย่างดี และเกม JoJo’s Bizarre Adventure: All-Star Battle R นี้ก็เป็นเวอร์ชั่นอัปเกรดของภาคที่เคยวางจำหน่ายไปเมื่อปี 2013 แต่การเว้นว่างมานาน 9 ปีนี้ คุณภาพของเกมจะสมกับการรอคอยหรือไม่ ลองชมรีวิวนี้กันได้เลยครับ
แพลตฟอร์ม: PS5, PS4, Xbox Series X|S, Xbox One, Switch, PC (ทีมงานรีวิวจากเวอร์ชั่น PS5)
ผู้พัฒนา: CyberConnect2
แนวเกม: ไฟท์ติ้ง
วางจำหน่าย: 2 กันยายน 2022
ระบบการเล่นของเกมนี้จะเป็นแนวต่อสู้แบบ 2D คล้ายกับเกม Street Fighter ซึ่งวิธีการเล่นรวมทั้งลักษณะการทำคอมโบก็จะคล้ายกัน แต่จะเน้นไปที่ความเรียบง่าย ไม่ว่าจะเรื่องการทำคอมโบหรือใช้ท่าไม้ตายก็ทำออกมาเข้าใจง่าย โดยมีรูปแบบการต่อคอมโบกลางอากาศเล็กน้อยที่ไม่ถึงขนาดงัดลอยจนแทบไม่ตกพื้นแบบเกมตระกูล Marvel vs. Capcom หรือ Dragon Ball Fighter ดังนั้นผู้เล่นหน้าใหม่หรือผู้ที่ไม่ประสีประสากับเกมแนวไฟท์ติ้งจึงสามารถเริ่มเล่นได้โดยไม่ต้องฝึกฝนอะไรมากมายนัก เพียงแต่อาจจะต้องทำความเข้าใจความแตกต่างของเหล่าตัวละครไว้สักหน่อย เพราะภาคนี้มีการนำตัวละครมาจากการ์ตูนโจโจ้ถึง 8 ภาค ซึ่งตัวละครจะมีความสามารถแตกต่างกันและอิงตามต้นฉบับเป๊ะ ๆ
สำหรับเวอร์ชั่น R นี้จะมีการปรับปรุงระบบบางส่วน รวมถึงการทำคอมโบของตัวละครบางตัวก็จะเปลี่ยนไปบ้าง และมีการเพิ่มระบบ Assist หรือเลือกตัวละครอื่นมาเป็นผู้ช่วยสนับสนุน นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีตัวละครใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่า 10 ตัว ทำให้เกมนี้มีตัวละครจากซีรีส์โจโจ้ให้เลือกเล่นถึงประมาณ 50 ตัว และเพิ่มอีกหนึ่งตัวคือ Baoh ตัวเอกจากการ์ตูนเรื่องเก่าแก่ของอาจารย์อารากิก่อนที่จะมาวาดโจโจ้นั่นเอง
ตัวเกมถูกออกแบบมาโดยคำนึงถึงต้นฉบับการ์ตูนเป็นสำคัญ ด้วยเหตุนี้ถ้าเป็นแอ๊กชั่นการเคลื่อนไหว การกระโดด วิ่ง หรือท่ายืนเก๊ก ท่ายั่วยุต่าง ๆ หากต้นฉบับบนการ์ตูนเคยมีวาดไว้ก็จะนำเอาแอ๊กชั่นเหล่านั้นมาใช้ในเกมโดยตรง ส่วนบทพูดระหว่างการต่อสู้ก็จะใช้ตามต้นฉบับมาเพิ่มให้ตรงตามคอนเซ็ปต์ของตัวละคร เช่น โจเซฟ โจสตาร์ มักจะมีบทประจำตัวคือจะทายว่าคู่ต่อสู้กำลังจะพูดอะไรแล้วชิงพูดเองก่อน ซึ่งในเกมก็จะนำมาประยุกต์ใช้กับท่าเคาท์เตอร์ประจำตัวของเขา และในส่วนของตัวละครที่ไม่เคยสู้กับโจเซฟในการ์ตูนก็จะมีเพิ่มบทสนทนาในลักษณะตกใจหลังจากโดนเคาท์เตอร์มาให้ด้วยทุกคน ขณะที่ยังมีอีกหลายตัวละครที่มีท่าแอ๊กชั่นโต้ตอบระหว่างตัวละครแนวนี้ ทั้งหมดที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่าผู้สร้างตั้งใจทำเกมโดยคำนึงถึงต้นฉบับเป็นอย่างมาก
ตัวละครในเกมจะมีความสามารถที่ค่อนข้างแตกต่างกันแต่เกมจะแบ่งประเภทของตัวละครด้วยชนิดของทักษะ ซึ่งตัวละครประเภทใช้สแตนด์จะมีมากที่สุด นั่นก็เป็นเพราะว่าตัวละครผู้ใช้สแตนด์เริ่มมีตั้งแต่การ์ตูนภาค 3 เป็นต้นมา ตัวละครจะสามารถเลือกเปิด-ปิดการใช้งานสแตนด์ได้ตลอดเวลา รวมไปถึงการเปิด-ปิดจะทำให้ท่าโจมตีธรรมดาและท่าพิเศษจะสลับเป็นคนละชุดกันด้วย
ส่วนประเภทที่มีจำนวนรองมาคือ กลุ่มผู้ใช้พลังคลื่นมนตราที่ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายตัวเอกของการ์ตูนภาค 1-2 วิธีการเล่นค่อนข้างเรียบง่าย มีความสามารถใช้เกจพลังส่วนหนึ่งในการออกท่าพิเศษที่มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้น คล้ายวิธีเล่นตัวละครจากเกม Street Fighter ส่วนตัวละครประเภทอื่นที่เหลือก็เช่นมนุษย์เสาหิน (กลุ่มตัวร้ายในภาค 2) ที่จะเปิดโหมดเพิ่มความสามารถเฉพาะตัวได้ หรือเหล่านักขี่ม้าจากภาค 7 ที่จะเรียกม้าขึ้นขี่ได้ตลอดเวลา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเป็นตัวละครประเภทเดียวกันแต่ลึก ๆ แล้วก็ยังคงมีลักษณะเฉพาะตัวต่างกัน ถ้าใครคิดจะเล่นกันแบบจริงจังก็ควรต้องใช้เวลาในการศึกษาตัวละครบ้าง
ส่วนหนึ่งที่ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้โด่งดังอย่างมากก็คงต้องพูดถึงความสามารถพิเศษในเรื่องที่เกิดจากไอเดียสุดบรรเจิดของผู้แต่ง โดยเฉพาะความสามารถของเหล่าสแตนด์ที่หลายตัวมีความเฉพาะตัวและมีเงื่อนไขซับซ้อน แถมมีตัวละครที่มีระบบเฉพาะตัวเพื่อให้ใกล้เคียงกับการ์ตูน อย่างเช่น อากิระ โอโตอิชิ ที่ต้องคอยชาร์จไฟฟ้าในการต่อสู้อยู่เรื่อย ๆ ไม่เช่นนั้นแล้วสแตนด์ที่ทรงพลังของเขาก็แทบจะใช้การอะไรไม่ได้ หรือโรฮังที่ใช้สแตนด์ที่สามารถเขียนสั่งบงการชีวิตฝ่ายตรงข้ามก็ถูกทำมาเป็นแนวดีบัฟ เขียนสั่งให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถใช้งานระบบต่อสู้ต่าง ๆ ชั่วคราวได้ ฯลฯ
นอกจากการเล่นรูปแบบพื้นฐานแล้วก็ยังมีเทคนิคขั้นสูงในการต่อสู้เหมือนกับเกมไฟท์ติ้งยุคใหม่ เช่นการทำซูเปอร์แคนเซิลท่าไม้ตาย และระบบ Stylish Evade ซึ่งก็คือการป้องกันตัวในจังหวะเดียวกับที่ถูกโจมตีพอดี ตัวละครจะไม่ตั้งการ์ดรับแต่จะสไลด์หลบแบบสภาพเป็นอมตะชั่วครู่ไปด้านข้างแทน แม้ว่าจะกะจังหวะยากและเสี่ยงถูกโจมตีเต็ม ๆ ถ้ากดป้องกันช้าไปจะทำให้คู่ต่อสู้ได้โอกาสโจมตีสวนกลับมา นี่จึงเป็นเทคนิคที่ตัดสินผลแพ้ชนะได้เลย ส่วนเทคนิคที่เพิ่มขึ้นมาของเวอร์ชั่น R ก็มาจากตัวละครสนับสนุนครับ เพราะในเวอร์ชั่นดั้งเดิมนั้นจะไม่มีเทคนิคการสวนกลับในตอนที่เรากำลังป้องกันหรือโดนโจมตีอยู่ แต่เมื่อเพิ่มระบบตัวละครสนับสนุนเข้ามาแล้วก็จะทำให้สามารถกดปุ่มเพื่อเรียกเพื่อนออกมาช่วยใช้ท่า Reversal ในการขัดจังหวะการโจมตีของศัตรู ในทางกลับกันถ้าหากกดปุ่มในจังหวะที่กำลังเป็นฝ่ายโจมตีก็จะเรียกออกมาช่วย Assault คือช่วยโจมตีหรือช่วงสนับสนุน/วางกับดักต่างๆ ซึ่งการโจมตีจะแตกต่างกันไปตามแต่ละตัวละคร
น่าเสียดายที่โหมดของเกมภาคนี้จะมีไม่มากนัก โดยโหมดหลักคือ All-Star Battle ที่จะมีฉากให้เล่นแบ่งเป็นภาคต่าง ๆ ของซีรีส์ รวมแล้วมีทั้งหมด 104 ด่าน แต่ละด่านจะเป็นตัวละครที่เซ็ตไว้ให้แล้วว่าจะต้องใช้ตัวไหนสู้กับใคร ถ้าเราเล่นผ่านสัก 3-4 ด่านก็จะปลดล็อคให้เข้าไปสู้กับด่านบอสของแต่ละภาค แต่ถ้าจะเล่นให้ครบทั้ง 104 ด่านนั้นก็เกือบจะต้องใช้ตัวละครครบทุกตัวในเกม และบางด่านก็จะปลดล็อคเสื้อผ้าตัวหรือของตกแต่งตัวละครหลายอย่างด้วย นอกจากนี้ก็เป็นโหมดพื้นฐานของเกมต่อสู้ทั่วไป อาทิ Arcade ที่เป็นโหมดเล่นคนเดียวสู้กับตัวละครแบบสุ่มเรียงกัน 8 ตัว หรือโหมด Endless ที่จะมีศัตรูออกมาให้สู้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าพลังชีวิตของผู้เล่นจะหมด ส่วนโหมด Versus และ Online จะเป็นโหมดต่อสู้กับเพื่อนหรือ AI ซึ่งก็จะมีจำแนกแยกย่อยเป็นการต่อสู้แบบปกติ แบบทีมละสามคน หรือทัวร์นาเมนต์แพ้คัดออกครับ
ที่น่าเสียดายก็คือ เวลาเล่นคนเดียวนั้นบรรดา AI ของศัตรูจะไม่ค่อยทันเกมเรา แม้ว่าในระดับความยากสูงสุดจะเหมือนถูกตั้งมาให้พวกมันใช้เทคนิคอย่าง Stylish Evade ได้แม่น แต่โดยรวมแล้วก็จะแก้เกมเราไม่ได้ และจะออกท่ารูปแบบเดียว ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ถ้าเราเล่นตัวละครสายยิงพลัง แล้วสแปมท่ายิงพลังไปเรื่อย ๆ รัว ๆ ก็จะชนะ AI แบบยากสุดได้แบบสบาย ๆ ถ้าให้เทียบกับเกมต่อสู้อื่น ๆ ก็ต้องถือว่า AI เกมนี้ง่อยระดับท๊อปเลยก็ว่าได้
ทางด้าน Practice Mode หรือโหมดฝึกฝนมีการปรับเป้าซ้อมได้ในระดับมาตรฐาน สามารถตั้งเซ็ตการเคลื่อนไหวที่ต้องการเซฟแล้วให้ทำซ้ำเพื่อฝึกการรับมือได้ แต่น่าเสียดายที่ดันไม่มี Trial Mode ให้ฝึกเทคนิคของเกมหรือฝึกท่าคอมโบเฉพาะของตัวละครแต่ละตัว ทั้งที่ตัวละครแต่ละตัวมีเทคนิคการเล่นเฉพาะตัวและมีวิธีการทำคอมโบแปลก ๆ อยู่มากมายก็ตาม แม้ว่าในส่วนของ Help จะมีคำอธิบายระบบของเกมแต่ให้ตายยังไงก็ไม่สามารถทำให้ผู้เล่นเข้าใจเท่ากับเห็นภาพเคลื่อนไหวหรือการได้ลองทำเองอยู่ดี และก็ไม่มีอธิบายการใช้หรือวิธีการเล่นตัวละครแต่ละตัวในแบบปลีกย่อยด้วยเช่นกัน
เกมนี้จะมีการเก็บ Gold จากการเล่นโหมดต่าง ๆ เพื่อนำมาซื้อของใน Shop & Gallery ซึ่งก็จะมีเสื้อผ้าของตัวละคร สีชุดใหม่ ท่ายั่วยุ ท่าโพสต์เวลาชนะ ฯลฯ ที่นำมาใช้ตกแต่งตัวละครได้ โดยทั้งหมดจะไม่มีผลใด ๆ กับความสามารถในการต่อสู้ นอกจากนี้ก็ยังสามารถดูโมเดล 3D ของทุกตัวละคร ภาพอาร์ตเวิร์ค และอ่านข้อมูลเรื่องราวต่าง ๆ ของซีรีส์โจโจ้ได้ในโหมดนี้ด้วย
โดยรวมแล้วถ้าหากคุณเป็นแฟนการ์ตูนก็พอหาซื้อมาสะสมและเล่นให้อินกับบรรยากาศแบบโจโจ้ได้อยู่ แต่ถ้าจะเล่นคนเดียวนั้น ทีมงานมองว่าการสู้กับ AI คงไม่ได้ความท้าทายมากพอ มิหนำซ้ำโหมดต่าง ๆ ก็มีไม่มาก เล่นไม่นานก็มีโอกาสเบื่อสูง ทว่าถ้าเล่นกับเพื่อนหรือคิดจะออนไลน์ต่อสู้เป็นหลักก็ถือว่าระบบเกมค่อนข้างใช้ได้ ตัวละครมีความสมดุลระดับหนึ่งเลย
จุดเด่น
- เกมออกแบบโดยอิงตามต้นฉบับเกือบหมด เอาใจแฟนๆมาก
- เล่นง่าย มีระบบช่วยให้เล่นง่ายขึ้นเยอะ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เอาเปรียบกัน
- ตัวละครจากซีรี่ย์เยอะมาก แต่แทบไม่มีตัวซ้ำหรือตัวโคลนกันมา
จุดด้อย
- บางทีจะรู้สึกมีโคลสอัพซีนพูดคุยโต้ตอบมากไป เหมือนโดนขัดจังหวะการต่อสู้บ่อย
- โหมดการเล่นของเกมค่อนข้างน้อย
- AI ศัตรูไม่มีความฉลาด แก้ทางผู้เล่นแทบไม่ค่อยได้
คะแนน 7
ติดตามข่าวสารอื่น ๆ ภายในเว็บไซต์ Online Station ได้ที่ https://www.online-station.net