รีวิวเกม Monster Hunter Rise: Sunbreak – ทัพนักล่าแย้สู่ดินแดนตะวันตก

เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วนะครับ นับตั้งแต่เกม Monster Hunter Rise บน Nintendo Switch วางจำหน่ายไปเมื่อเดือนมีนาคม 2021 ซึ่งว่ากันตามตรงก็ถึงเวลาตามธรรมเนียมแล้วที่ต้องออกคอนเทนต์ส่วนขยายหรือ Expansion ที่จะปรับเพิ่มระดับของนักล่าจาก Hi-Rank มาเป็น Master Rank กันเสียที

จุดเด่นของภาค Rise ที่ยังคงสืบทอดมายัง Sunbreak ก็คือนักล่าจะมีสกิลพิเศษที่เป็นระบบเกจคูลดาวน์ ส่งผลให้ท่าไม้ตายที่รุนแรงก็จะใช้เวลาคูลดาวน์นาน ทว่าพวกท่าหลบหลีกและเคลื่อนที่จะใช้เวลาคูลดาวน์ไม่มากนัก ขณะเดียวกันก็มีการนำเสนอสุนัข (Palamute) ที่นอกจากจะนำมาช่วยต่อสู้ได้แล้ว ยังสามารถนำมาใช้ขี่เพื่อเดินทางได้สะดวกขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะเป็นเกมบนเครื่องพกพาก็จริง แต่ในภาค Rise นี้ตัวเกมก็ไม่มีการแบ่งซอยฉากออกเป็นช่วง ๆ ด้วยเหตุนี้เวลาเราผจญภัยในฉากหนึ่งจะเห็นเป็นแมปขนาดใหญ่ต่อเนื่องกันหมด นั่นเลยทำให้การต่อสู้ของเกมมีความต่อเนื่องลื่นไหลทีเดียว

เรื่องราวของ Sunbreak จะเปลี่ยนโลเคชั่นจาก Kamura ที่มีกลิ่นอายในแบบญี่ปุ่นยุคโบราณ มาสู่ Elgado เมืองหลักแห่งใหม่ที่คราวนี้เป็นเรื่องราวในอาณาจักรสไตล์ยุโรป โดยเนื่อเรื่องจะเป็นช่วงหลังจากที่เราได้ทำการปกป้องนคร Kamura จากมหันตภัยไว้ได้ จากนั้นเราก็ได้รับคำขอร้องจากอัศวินหญิง Dame Fiorayne ให้เดินทางข้ามทะเลไปยังตะวันตกมายังเมือง Elgado ในเวลาต่อมา

ทางด้านแผนที่การล่าก็มีการเพิ่มมาใหม่อีก 2 แห่งด้วยกัน ได้แก่ Jungle เกาะเขตร้อนเหมือนในเกม Monster Hunter 2 ที่ถูกปรับใหม่เป็นฉากใหญ่รวดเดียวและไม่มีการตัดแบ่งฉาก และอีกแผนที่คือ Citadel ซึ่งเป็นพื้นที่อันกว้างใหญ่ที่ผสมผสานกันระหว่างฉากปราสาทร้าง ป่า และเทือกเขาหิมะ แม้ว่าฉากจะเพิ่มมาน้อยก็ตาม แต่ทั้งสองแผนที่ก็ทำให้ผู้เล่นสนุกสนานไปกับด้วยจุดสำรวจและความลับเล็ก ๆ น้อย ๆ จนเพลินได้อยู่

มอนสเตอร์ใหม่ล่าสุด 3 ตัวที่ถูกขนานนามว่า Three Lords นั้นมีการเปิดตัวได้น่าประทับใจ ดีไซน์ดูเหมือนผีร้ายในแบบตะวันตก เริ่มจาก Garangolm ลิงหินที่ให้ความรู้สึกของแฟรงเกนสไตน์ ตามมาด้วย Lunagaron ตัวแทนของมนุษย์หมาป่าที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และสุดท้ายคือ Malzeno ที่มีปีกเหมือนผ้าลุมแบบแวมไพร์และยังมีความสามารถในการดูดเลือดเพื่อเพิ่มพลังชีวิตให้ตัวเอง

ความยากของการล่าจะสูงขึ้นกว่าในเกมเดิมมาก นอกจากการมาของมอนสเตอร์ใหม่แล้วยังเพิ่มมอนสเตอร์ที่กลับมาจากภาคก่อนด้วยเช่นกัน ซึ่งมอนสเตอร์ใน Master Rank นั้นไม่เพียงแค่มีพลังเพิ่มอย่างเดียว หากแต่ยังมีคุณสมบัติและรูปแบบการเคลื่อนไหวใหม่ ๆ อันแพรวพราวเข้ามาอีก เพื่อให้ผู้เล่นที่เล่นบ่อยจนจำสเต็ปได้หมดแล้วจะรู้สึกว่าได้พบกับความท้าทายอีกครั้ง และก็เป็นเรื่องปกติที่คอนเทนต์เหล่านี้ล้วนเป็นวัฒนธรรมความสนุกจากภาคเสริมของ Monster Hunter ที่เราต้องล่าเหล่ามอนสเตอร์ที่อัปเกรดขึ้นเพื่อหาวัตถุดิบใหม่ ๆ มาสร้างและอัปเกรดอาวุธกับชุดเกราะอีกรอบนั่นเอง

ในการจะเริ่มเนื้อเรื่องของ Sunbreak ได้นั้น ผู้เล่นจำเป็นต้องผ่านเนื้อเรื่องของ Rise ให้ถึงช่วงเควสต์ระดับ 7 ดาวเสียก่อน ซึ่งสำหรับผู้เล่นหน้าใหม่อาจจะต้องใช้เวลากันพอสมควรเลย แต่ในทางกลับกันก็นับเป็นการทดลองและเรียนรู้ระบบของเกม รวมถึงหาเก็บอาวุธและสกิลเบื่องต้นที่จำเป็นด้วย เพราะถ้าเข้าสู่ Master Rank ใน Sunbreak แล้วเกมจะมีความยากเพิ่มขึ้นมาก อีกทั้งฝีมือของผู้เล่นและของสวมใส่ก็ต้องอยู่ในระดับที่ดีพอ ไม่เช่นนั้นก็ผ่านได้ยาก หรือถ้าเล่นออนไลน์ก็รังแต่จะกลายเป็นตัวถ่วงทีมเปล่าๆ (เว้นแต่ในกรณีที่มีเพื่อนที่มีทักษะการเล่นกับของสวมใส่ที่เทพอยู่แล้วคอยช่วยแบกก็อีกเรื่องครับ)

ผู้เล่นเก่าที่เล่นมานานหรือผู้เล่นใหม่ที่เข้าถึง Master Rank ใน Sunbreak แล้ว เซ็ตอัปอาวุธและชุดป้องกันที่เคยสะสมและพัฒนาไว้ก็จะเหมือนไร้ค่าไปเพราะเราจะต้องมาเริ่มเก็บของระดับสูงกันใหม่ ขณะเดียวกัน อาวุธและของสวมใส่ที่ได้จากมอนสเตอร์ในระดับ Master ส่วนมากจะมีตัว X ต่อท้ายชื่อ แม้ว่าหลายชิ้นจะมีหน้าตาคล้ายของเดิม แต่ในความเป็นจริงคุณสมบัติจะแตกต่างกันลิบลับ ซึ่งก็เป็นเหมือนธรรมเนียมปฏิบัติของคอนเทนต์เสริมทุกภาคที่เหล่านักล่าจะต้องมาล่ามอนสเตอร์ที่หน้าตาคล้ายเดิมแต่เก่งขึ้น เพื่อวนเก็บวัตถุดิบมาสร้างอาวุธและอุปกรณ์กันใหม่อีกรอบครับ

เป็นเรื่องที่ผิดความคาดหมายและแอบเสียดายอยู่บ้าง เนื่องจากเควสต์ Rampage ที่เป็นการตั้งป้อมรับมือระลอกการโจมตีของมอนสเตอร์ในลักษณะเกมแนว Tower Defense ที่เคยเปิดตัวใน Rise ดันถูกตัดทิ้งเสียแล้ว แทนที่จะถูกนำไปปรับปรุงต่อยอดอย่างที่แฟน ๆ คาดหวังกัน แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเควสต์ Follower Collab เข้ามาแทน ที่เมื่อเราเล่นไปถึงจุดหนึ่ง ชาวเมืองทั้งใน Elgado และ Kamura จะให้เควสต์แบบเล่นคนเดียวเท่านั้นกับเรา โดยเป็นการเข้าด่านไปต่อสู้ร่วมกับนักล่า NPC และเมื่อผ่านก็จะได้ของรางวัลตอบแทน เราสามารถและปรับแต่งสกิลของพวก NPC ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่ง NPC เหล่านี้ก็เป็น AI ที่มีความฉลาดพอตัวอยู่แล้ว หากเลือกสกิลให้เข้าทางกับสไตล์การเล่นของเราแล้ว พวกเขาก็จะมีประโยชน์และผ่านฉากได้ง่ายขึ้นมาก แม้ว่าเควสต์นี้จะไม่ได้มีความท้าทายอะไรมากนัก แต่มันทำให้รู้สึกสนุกกว่าภารกิจเล่นคนเดียวแบบเดิม ๆ ทว่าอย่างไรก็ตามการเล่นกับคนจริง ๆ ก็ยังสนุกกว่าอยู่ดี

ระบบใหม่ของเกมจะมีอยู่หลายอย่าง ส่วนที่โดดเด่นในด้านแอ๊กชั่นก็คือ Switch Skill Swap ซึ่งเป็นการเซ็ตสกิลให้ตัวละครได้ 2 เซ็ต เซ็ตละ 5 ท่า ซึ่งเราสามารถกด Swap เพื่อเปลี่ยนเซ็ตได้ตลอดเวลา ทำให้เรามีตัวเลือกของท่าโจมตีที่เหมาะสมกับสถานการณ์มากขึ้น และหลังจากที่เราทำหลังทำการ Swap แล้ว ก็ยังสามารถกดพุ่งตัวตัวหลบแบบพิเศษไปในทิศทางที่ต้องการได้อีก ระยะของการพุ่งตัวนี้ก็ค่อนข้างไกล จึงใช้ในการหลบหลีกจริงได้ผลดี อีกทั้งยังมีลูกเล่นเสริม เช่นสกิลที่ติดแล้วทำให้เรามีบัพความสามารถพิเศษหลังกด Swap ด้วย

ส่วนระบบอาวุธที่เพิ่มมานั้นคือ Rampage Skill แบบใหม่ ซึ่งในภาค Rise เดิมนั้นจะมีความสามารถหลายอันที่จะมีให้ใช้งานได้ในเควสต์ Rampage เท่านั้น แต่เมื่อเควสต์นี้ถูกถอดไปจึงต้องนำระบบใหม่มาทดแทน โดยจะเป็นเพชรสกิลที่ใช้ติดตั้งให้กับอาวุธ Rampage ระดับระดับมาสเตอร์ขึ้นไปเท่านั้น ทั้งนี้ สกิล Rampage จะมีความสามารถที่แตกต่างจากสกิลของเพชรทั่วไป ส่วนมากจะเป็นการเพิ่มความสามารถให้อาวุธเฉพาะตัว หรือเพิ่มพลังโจมตีศัตรูแบบเจาะจงเฉพาะเผ่าได้แรงขึ้น ดังนั้นจึงควรมีเก็บไว้หลากหลายชนิดเพื่อสลับใช้ให้เหมาะกับแต่ละด่าน เราจะปลดล็อกเพชรสกิลเหล่านี้ได้จากการกำจัดมอนสเตอร์บางตัวเท่านั้น และหลังจากที่เราปลดล็อกแล้วก็สามารถหลอมเพชรในโรงตีเหล็กโดยใช้วัตถุดิบอย่างเงินและแต้มได้ด้วย

สำหรับโหมดการเล่นแบบ co-op นั้นแน่นอนว่าเป็นจุดขายหลักของซีรีส์นี้เลย เพราะต่อให้ยิ่งมีผู้เล่นเยอะ มอนสเตอร์ก็จะยิ่งเก่งขึ้นก็จริง แต่ถ้าเล่นจนเข้าขากันแล้วก็จะสามารถกำจัดมอนสเตอร์ได้เร็วกว่าเล่นคนเดียวมาก ซึ่งภาคนี้ก็ยังคงรองรับการเล่นผ่านระบบออนไลน์ อีกทั้งยังหาปาร์ตี้แบบสุ่มได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องนัดเล่นกับคนรู้จักเท่านั้นก็ได้ เพียงแต่เราต้องไม่ลืมว่าเกมยังคงนำเสนอความยากแบบฮาร์ดคอร์ที่ทั้งทีมจะมีโอกาสให้เรา K.O. ให้แค่ 3 ครั้งเท่านั้น ถ้ารู้สึกว่าเล่นแล้วกลัวจะใช้โควต้าเยอะจนทีมแพ้บ่อย ๆ ก็ควรเน้นอัปของสวมใส่ให้แข็งแกร่งขึ้นก่อนจะได้ไม่รู้สึกกดดันมาก

เกม Monster Hunter Rise: Sunbreak ณ ปัจจุบันเป็นส่วนเสริมที่ไม่ได้หวือหวาอลังการอะไรมากนัก ในมุมมองผู้รีวิวรู้สึกว่าสิ่งที่เพิ่มมาถือว่าค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสมัยภาค World ตอนที่อัปเป็น Iceborne แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเกมก็ยังคงมีความสนุกอยู่ในตัว สมดุลของอาวุธในเกมถูกปรับใหม่ให้ลงตัวขึ้น ตลอดจนเควสต์ผู้เล่นคนเดียวแบบใหม่ที่ให้เราได้เล่นกับ NPC ที่มี AI ชาญฉลาดนั้นทำได้น่าประทับใจ แถมมอนสเตอร์ใหม่ทั้ง 3 ก็ออกแบบมาได้ดี ถึงราคาจะแพงไปหน่อยแต่ถ้าเป็นนักล่าพันธุ์แท้แล้วก็คงไม่ลังเลกันมากนัก แต่สำหรับนักเล่นหน้าใหม่หรือผู้ที่ไม่ได้เล่นจริงจังก็ต้องบอกกันตรง ๆ ว่าราคาค่อนข้างแพงเอาเรื่องอยู่ ส่วนทางด้านข่าวดีคือ เกมมีแผนจะออกอัปเดตเสริมให้ฟรีไปจนถึงปี 2023 ซึ่งเราก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้พบกับคอนเทนต์ใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นและคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปครับ

จุดเด่น

  • เหล่ามอนสเตอร์ใหม่ล้วนมีการดีไซน์รูปร่างและท่าต่าง ๆ ออกมาได้ดี
  • ระบบ Switch Skill Swap และสกิลใหม่ ๆ ช่วยทำให้เกมสนุกและเล่นได้หลากหลายกว่าเดิม
  • ระบบใหม่ของการดำเนินกิจกรรมในเมืองช่วยให้ชีวิตผู้เล่นง่ายขึ้น
  • NPC ในโหมดผู้เล่นคนเดียวมีความฉลาด พึ่งพาได้

จุดด้อย

  • ด้วยความที่เป็นเพียง Expansion ของเกม คอนเทนต์ในส่วนของเนื้อเรื่องและเนื้อหาช่วงหลังจบเกมจึงมีค่อนข้างน้อย
  • เควสต์ Rampage ที่ค้างคาอยู่ยังไม่ได้รับการต่อยอดใน Sunbreak

คะแนน 8.5


ติดตามข่าวสารอื่น ๆ ในเว็บไซต์ Online Station ได้ที่ https://www.online-station.net/

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้