รีวิวเกม TMNT: Shredder’s Revenge – เต่านินจาคัมแบ็ค วันวานยังหวานอยู่

หลังเว้นวรรคไปนานประมาณ 6 ปี ในที่สุดเกมขบวนการเต่านินจาที่เป็นสไตล์ลุยด่านและลงแพลตฟอร์มใหญ่ก็ได้โอกาสกลับมาอาละวาดอีกครั้งโดยคราวนี้มาแนวแอ๊กชั่นแบบคลาสสิกที่สามารถเล่นร่วมกันได้มากสุดถึง 6 คนเลยทีเดียว

ย้อนกลับไปราว 30 ปีก่อนที่เป็นยุครุ่งเรืองของตู้เกมอาเขต แม้แต่ในประเทศไทยก็จะมีตู้เกมอาเขตใหม่ ๆ ถูกนำเข้ามาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ไม่ล่าช้ากว่าประเทศอื่นนัก สำหรับเกมที่คนนิยมกันนอกจากเกมแนวต่อสู้ เกมแข่งรถ และเกมแนวชู้ตติ้งแล้วก็ยังมีเกมแอ๊กชั่นลุยด่านหรือที่ต่างประเทศเรียกแนวนี้กันว่า Beat ’em up ที่เล่นได้พร้อมกันครั้งละ 2-4 คน ซึ่งเกมที่โด่งดังมากก็คงไม่พ้น Final Fight รวมถึงอีกเกมที่สร้างมาจากการ์ตูนฝั่งสหรัฐอเมริกาที่เป็นที่นิยมไปทั่วโลกอย่างขบวนการเต่านินจา ซึ่งในบ้านเราก็มีฉายทางโทรทัศน์ฟรีทีวี และเด็กสมัยนั้นก็ติดกันงอมแงมทีเดียว

Teenage Mutant Ninja Turtles: Shredder’s Revenge เป็นเหมือนกับเวอร์ชั่นรีเมคของเกม Teenage Mutant Ninja Turtles ภาคแรกในปี 1989 ผสมกับภาค Turtles in Time ในปี 1991 โดยจุดสำคัญคือ เกมได้เพิ่มลูกเล่นการควบคุมให้ซับซ้อนแต่สนุกขึ้น มีระบบเลเวล เพิ่มตัวละครที่นำมาใช้ได้นอกจากนินจาเต่าทั้งสี่ และยังสามารถเล่นร่วมกันได้ 4 คนในแบบออฟไลน์ และมากถึง 6 คนในแบบออนไลน์เลยทีเดียว

ในเกมตู้อาเขตดั้งเดิมนั้น เต่าทั้งสี่จะมีแอ๊กชั่นของท่าโจมตีแค่การโจมตีต่อเนื่อง 3-5 คอมโบ พ่วงการโจมตีแรงโดยการกดสองปุ่ม และการกระโดดถีบแบบพุ่งลงเท่านั้น คือจะไม่มีลูกเล่นพลิกแพลงอะไรเลย แต่ท่าแอ๊กชั่นในการต่อสู้ของภาค Shredder’s Revenge จะถูกเพิ่มเติมเข้าไปมากกว่าและมันก็ช่วยทำให้เกมสนุกขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการกดปุ่มโจมตีค้างเพื่อเป็นท่าชาร์จพลังโจมตี การกดปุ่มเคลื่อนที่ไปข้างหน้าสองครั้งติดต่อกันเป็นท่าวิ่งโจมตี ท่าโจมตีคล้ายโชริวเคนที่ใช้รับมือกับศัตรูที่บินมา การกลิ้งกลบแล้วพุ่งโจมตี และสุดท้ายก็คือมีการสะสมเกจพลังไม้ตายไว้ใช้ท่าพิเศษได้หลายแบบด้วย

การเล่นหลายคนหรือมัลติเพลเยอร์จะมีลูกเล่นของการโจมตีประสานกัน และฟีเจอร์การช่วยเหลือเพื่อนที่พลังชีวิตหมดลง (K.O.) เพิ่มเข้ามา แต่ขณะเดียวกัน ฝั่งของศัตรูก็จะเพิ่มจำนวนขึ้น อีกทั้งยังเก่งขึ้นผันแปรตามจำนวนผู้เล่นด้วย ซึ่งสมัยเวอร์ชั่นดั้งเดิมนั้นเนื่องจากในเกมมีตัวละครให้เล่นอยู่แค่ 4 ตัว ด้วยเหตุนี้เกมจึงถูกออกแบบมาให้เล่นได้ 4 คนโดยเฉพาะ ดังนั้นมันก็เลยลงตัวในแบบของมันอยู่

ทว่าเมื่อเกมนี้ถูกดีไซน์มาให้รองรับผู้เล่นได้สูงสุด 6 คนในโหมดออนไลน์ จึงมีการเพิ่มตัวละครที่นำมาใช้ได้เข้ามาสมทบ อาทิ สปลินเตอร์ (Splinter) ปรมาจารย์ของเหล่าน้อนเต่า และ เอพริล โอนีล (April O’Neil) นักข่าวสาวเพื่อนคู่ใจของเหล่าเต่านินจา นอกจากนี้ก็ยังมีตัวละครลับยอดนิยมอย่าง เคซีย์ โจนส์ (Casey Jones) ที่จะนำมาใช้ได้หลังจบเกมไปแล้วรอบหนึ่ง ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวละครทั้ง 7 จะมีความแตกต่างกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเรื่องของระยะโจมตี พลังโจมตี และความเร็ว รวมทั้งแอ๊กชั่นท่าโจมตีต่าง ๆ ซึ่งแต่ละท่าจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป เช่นโจมตีโดนแล้วศัตรูกระเด็น ศัตรูโดนแล้วยืนจุก หรือศัตรูโดนแล้วล้ม ผู้เล่นสามารถนำท่าเหล่านี้มาพลิกแพลงเพื่อรับมือตามสถานการณ์ที่แตกต่างได้ ในส่วนดังกล่าวถือว่าผู้สร้างมีความใส่ใจที่จะทำให้เกิดความแตกต่างของแต่ละตัวละครให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เกมจะมีโหมดหลักอยู่ 2 โหมดด้วยกันคือ Arcade ที่ให้เราเล่นรวดเดียวจนจบเหมือนเรากำลังเล่นเวอร์ชั่นเกมตู้อาเขตอยู่นั่นเอง และโหมด Story ที่จะสามารถเซฟหลังผ่านด่านได้แถมยังเลือกเล่นด่านที่เคยผ่านมาแล้วได้ด้วย ซึ่งหลังผ่านฉากแล้วเราสามารถกดออกไปที่เมนูหลักเพื่อเปลี่ยนตัวละครได้ก่อนเริ่มฉากต่อไป แต่สิ่งที่พิเศษของโหมดนี้คือจะมีระบบเก็บเลเวลด้วย โดยถ้าเราใช้ตัวละครเดิมฆ่าศัตรูจนถึงระดับหนึ่งก็จะเลเวลอัปซึ่งจะมีผลทำให้เกจพลังชีวิตยาวขึ้น มีเกจท่าไม้ตายเพิ่มขึ้น และที่สำคัญสุดคือจะปลดล็อคท่าไม้ตายใหม่ ๆ ได้ด้วย โดยในตอนแรกนั้นตัวละครจะมีท่าเดียวคือโจมตีรอบตัว แต่เมื่อเลเวลอัปก็จะได้ท่าไม้ตายที่ใช้ตอนกระโดดที่จะมีพลังแรงกว่า และท่าไม้ตายที่ใช้ตอนกำลังกลิ้งที่จะโจมตีด้านหน้าแบบระยะไกล ดังนั้นแล้วในการเล่นตั้งแต่ด่านแรกจนจบ 1 รอบแบบไม่เปลี่ยนตัวละครกลางคันเลยจึงน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะจะได้เลเวลอัปจนปลดล็อคท่าต่าง ๆ ของ 1 ตัวละครได้ครบในการเล่นรอบหนึ่งพอดี

หากใครยังพอจะจำได้ พวกทหาร Foot Soldier นั้นจะมีอยู่หลายสี และแต่ละสีจะใช้อาวุธและมีรูปแบบการโจมตีที่ไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะตัว Foot Soldier สีเหลืองนั้นใครที่เคยเล่นภาคเก่า ๆ มาจะพอรู้ว่ามันเป็นศัตรูสุดน่ารำคาญที่ปาอาวุธโจมตีที่ย้อนไปกลับได้แบบบูมเมอแรง และแน่นอนว่าในภาค Shredder’s Revenge นี้ก็เช่นกัน ในตอนที่ผู้รีวิวได้กลับมาเห็นอีกครั้งแล้วชวนอึ้งจนเผลอคิดเลยว่า เฮ้ยไอ้ตัวนี้ เราจำมันได้! ซึ่งที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะผู้พัฒนาเกมมีความต้องการที่จะนำเอาความประทับใจในสมัยก่อนนำกลับมาให้แฟนได้ย้อนระลึกถึงกันให้มากที่สุด ช่วงที่เราได้เล่นภาค Shredder’s Revenge ครั้งแรกอาจจะทำให้รู้สึกว่ามันเป็นเกมใหม่ก็จริง เพราะเนื้อเรื่องมันเปลี่ยนไป วิธีการเล่นก็มีลูกเล่นพลิกแพลงขึ้นจากเดิมมาก ๆ แต่พอเล่นไปสักหน่อยก็จะรู้สึกว่า เอ…เราเคยเห็นโมเมนต์แบบนี้มาก่อนนี่หว่า ที่โจมตีหัวดับเพลิงให้น้ำกระเด็นใส่ศัตรู จังหวะที่เราพลาดตกท่อ หรือขี่เจ็ตบอร์ดสู้กับศัตรู เป็นต้น

บรรดาศัตรูในภาคนี้จะมีลูกเล่นการโจมตีที่ค่อนข้างฉลาดโดยจะออกท่าเป็นจังหวะที่มีเงื่อนไข เช่น Foot Soldier ที่เป็นสีม่วงจะใช้ท่าอัปเปอร์คัตต่อเมื่อผู้เล่นกระโดดอยู่เท่านั้น หรือศัตรูที่ยกการ์ดได้ก็จะสามารถตั้งการ์ดแล้วโจมตีสวนได้อย่างแม่นยำ ซึ่งทำให้ผู้เล่นต้องคิดหาทางล่อหลอกพวกมันให้มากขึ้นแทนที่จะพุ่งเข้าไปโจมตีกันทื่อ ๆ และก็เป็นความเหมาะเจาะของเกมนี้ที่เพิ่มระบบกลิ้งเข้าไป ผู้เล่นสามารถกลิ้งหลบการโจมตีแบบกระทันหันได้รวดเร็วกว่าการเดินหรือกระโดดหนี และแน่นอนว่าการกลิ้งก็ยังใช้อ้อมไปด้านหลังศัตรูที่กำลังตั้งการ์ดอยู่ได้ด้วย รวมทั้งใช้เป็นการโจมตีต่อเนื่องหลังจากการโจมตีธรรมดาด้วยการกดกลิ้งเข้าไปโจมตีต่อได้เช่นกัน

หลายฉากในเกมจะเหมือนกับการนำเอาช็อตจากในเวอร์ชั่นอาเขตแต่ละภาคมาผสมกัน ซึ่งแต่ละด่านก็มีเสน่ห์ในตัวของมันเอง ศัตรูระดับลิ่วล้ออย่าง Foot Soldier จะถูกปรับดีไซน์ให้ดูเป็นตัวการ์ตูนแนวตลกขึ้นเล็กน้อย ซึ่งจะเข้ากับมุกตลกที่ถูกสอดแทรกอยู่ตลอด บางครั้งเราจะเห็นพวกมันจะกำลังทำงานในออฟฟิศ เล่นฟิตเนส หรือกำลังขายซูชิ ก่อนที่พวกเต่านินจาจะบุกเข้ามาแล้วได้สู้กัน ส่วนพวกบอสเกือบทั้งหมดก็จะเป็นตัวที่โด่งดังจากการ์ตูนและเคยออกมาในเกมภาคอื่นมาแล้ว แต่ที่ถูกปรับปรุงคือมันดูฉลาดขึ้น พ่วงด้วยลูกล่อลูกชนที่แพรวพราว และมีท่าโจมตีที่ไม่ง๊องแง๊งแบบเมื่อก่อน ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเกมตู้ลุยด่านลักษณะนี้ศัตรูจะโจมตีได้แค่ซ้ายขวา ซึ่งถ้าเราเดินขึ้น-ลงเปลี่ยนไลน์หลบก็จะเข้าไปหาจังหวะโจมตีได้ง่าย แต่ในภาค Shredder’s Revenge นั้นผู้พัฒนาก็ตระหนักถึงจุดนี้จึงทำให้บอสและศัตรูหลายตัวมีท่าโจมตีวงกว้างที่สามารถโจมตีผู้เล่นที่เดินหลบอยู่คนละแนวได้

เกมนี้จะมีทั้งหมด 16 ด่านด้วยกัน ซึ่งเราจะใช้เวลาเล่นประมาณด่านละ 6-8 นาที ซึ่งถ้าคิดว่าเกมอาเขตที่หยอดเหรียญเดียวแล้วได้เล่น 1-2 ชั่วโมงมันก็นานอยู่ (กรณีที่เล่นแบบไม่ตายเลย) แต่พอมาเป็นเกมคอนโซลแล้วอาจจะดูสั้นไปสักหน่อย อย่างไรก็ดีเกมยังมีชาเลนจ์ในแต่ละด่านให้ทำ ซึ่งค่อนข้างยากอยู่หากคิดจะทำให้หมดในรอบเดียว เช่นชาเลนจ์บางด่านก็ห้ามโดนศัตรูโจมตีเลยแม้แต่ครั้งเดียว และก็ยังมีระบบเลเวลซึ่งแยกเป็นตัวละครไป การจะเก็บเลเวลให้ได้ท่าไม้ตายครบก็มีตัวละครหลักรวมตัวละครลับรวม 7 ตัวให้ปั้นกันเลยทีเดียว โดยรวมแล้วก็ยังวนเล่นได้คุ้มเงินอยู่สำหรับเกมราคาไม่ถึง 1,000 บาทครับ

หมายเหตุ – ทีมงาน Online Station รีวิวจากเกมเวอร์ชั่น PS4 ที่นำมาเล่นบนเครื่อง PS5 นะครับ


ข้อดี

  • งานกราฟิกสไตล์พิกเซลอาร์ตที่สวยงามในแบบคลาสสิก
  • มีการรักษาข้อดีของเกมเวอร์ชั่นดั้งเดิมไว้โดยที่เพิ่มเติมลูกเล่นเข้ามาหลายอย่างให้เหมาะกับยุคสมัย
  • เพลงประกอบที่ยอดเยี่ยมและมีกลิ่นอายเข้ากับแนวการ์ตูน Comic ยุค 90
  • เงื่อนไขชาเลนจ์ต่าง ๆ มีความท้าทายในระดับกำลังดี ไม่ง่ายจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้ยากแบบไร้เหตุผล

ข้อเสีย

  • แม้ว่าตัวเกมจะมีการเพิ่มฉากต่าง ๆ เข้ามาให้เล่นมากกว่าเวอร์ชั่นตู้เกมอาเขต แต่ความยาวของเกมก็ยังไม่มากนัก รู้สึกว่าเล่นจบได้เร็วไปหน่อย
  • การเล่นแบบมัลติเพลเยอร์ ยิ่งตอนมีผู้เล่นมากกว่า 4 คนจะออกไปทางมั่วอิรุงตุงนังจนเกินความพอดี
  • งานซาวด์ประกอบหลายช่วงยังทำได้ไม่ดีนัก เช่นตอนโจมตีถูกตัวศัตรูที่ไม่ค่อยให้ความรู้สึกถึงเสียงที่หนักหน่วง หรือเสียงระเบิดตูมตามก็ดูเบาบาง

คะแนน 8


ติดตามข่าวสารอื่น ๆ ในเว็บไซต์ Online Station ได้ที่ https://www.online-station.net/

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้