รีวิวเกม Lost Judgment – เมื่อปัญหาการบุลลี่ในโรงเรียนเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด

Lost Judgment เป็นผลงานเกมลำดับล่าสุดในสายสปินออฟของซีรีส์ Yakuza ที่เว้นช่วงห่างจาก Judgment ซึ่งเป็นเกมภาคแรกมาประมาณ 3 ปีเต็ม หากใครที่เคยเล่นเกมตระกูล Yakuza มาก่อนก็อาจจะพอทราบว่านอกจากเรื่องราวที่น่าติดตามทุกภาคแล้ว บรรดาไซด์เควสต์และมินิเกมทั้งหลายที่สอดแทรกอยู่ในเกมจำนวนมากมายก็เป็นอีกเหตุผลที่เกมสามารถทำให้ผู้เล่นหมดเวลาไปกับมันแบบนานลืมวันลืมคืนก็ว่าได้

แพลตฟอร์ม: PS5, PS4, Xbox Series X/S, Xbox One
ผู้พัฒนา: Ryu Ga Gotoku Studio
แนวเกม: แอ็กชั่น / ผจญภัย

เรื่องราวในภาคนี้ ทาคายูกิ ยางามิ ตัวเอกของเกมที่เป็นนักสืบเอกชนจะได้มีโอกาสมาสืบคดีเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเด็กมัธยมปลายรายหนึ่งที่ตกเป็นเหยื่อของการถูกคนในชั้นเรียนเดียวกันรุมบุลลี่ แต่เมื่อเขาไขคดีลึกลงไปเรื่อย ๆ ยางามิกลับพบว่าคดีนี้มีความเชื่อมโยงกับคดีฆาตกรรมอื่น ๆ ที่มีสเกลใหญ่ขึ้น รวมถึงมีผู้เกี่ยวพันกับเบื้องหลังของคดีอีกเพียบ

สิ่งแรกที่น่าสนใจคือทีมงานมีความกล้าที่จะหยิบจับเอาประเด็นละเอียดอ่อนที่ไม่ค่อยได้รับการใส่ใจเท่าที่ควรในหลาย ๆ ประเทศอย่างการบุลลี่ในสถานศึกษามาเป็นธีมหลัก แถมยังทำได้ดีในการสะท้อนให้เห็นถึงปัญหานี้ ขยี้ปมกับผลกระทบที่เกิดตามมาเป็นลูกโซ่ และนำเสนอวิธีการแก้ปัญหาการบุลลี่ในหลายเคสโดยใช้ศาสตร์ของจิตวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้รู้สึกว่าการเขียนบทของเกมไม่เพียงหวังเน้นแค่เน้นความบันเทิง หากแต่ผู้เล่นจะได้ข้อคิดและมุมมองใหม่ ๆ กับการรับมือปัญหาเหล่านี้ผ่านการกระทำของกลุ่มตัวเอกเช่นกัน

ทีนี้ ด้วยความที่แกนหลักของคดีคือการฆ่าตัวตายของเด็กนักเรียน ดังนั้นการสืบหาเบาะแสจึงต้องทำในโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่ แต่การจะเค้นเอาข้อมูลจากเด็กนักเรียนมาเฉย ๆ เลยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงต้องมีการสร้างความสัมพันธ์กับเด็ก ๆ ตามชมรมต่าง ๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและละลายพฤติกรรมกันก่อน ตัวเกมเลยมีเควสต์ย่อยและมินิเกมจำนวนมากมายให้ทำร่วมกับแต่ละชมรม อาทิ การสืบหาเรื่องลี้ลับในโรงเรียน เล่นมินิเกมเต้นในฐานะวิทยากรพิเศษของชมรมเต้นรำ หรือร่วมทัวร์นาเมนต์อีสปอร์ต เป็นต้น และยิ่งเรามีค่าพลังความสัมพันธ์มากขึ้น ก็จะยิ่งรู้ความลับบางอย่างของโรงเรียนที่ถูกเก็บงำมานานจนครบอีกด้วย

อนึ่ง ทางด้านโลเคชั่นของเกมได้มีการเพิ่มย่านอิจินโชของเมืองโยโกฮาม่าเข้ามา ซึ่งเป็นพื้นที่หลักเดียวกับที่เกม Yakuza: Like A Dragon เคยใช้มาก่อน และมีขนาดของพื้นที่ใหญ่กว่าคามุโรโจในโตเกียวมาก โดยเควสต์หลักและเควสต์ย่อยจะมีเป้าหมายภารกิจให้เราทำเหมือนกันทั้ง 2 สถานที่ ซึ่งตรงนี้ก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางนอกเหนือจากการใช้บริการรถแท็กซี่ นั่นก็คือสเก็ตบอร์ดที่เราจะได้มาใช้ในช่วงต้นของเกม แต่ก็จะมีข้อเสียอยู่เล็กน้อยก็ตรงที่มันไม่สามารถใช้บนฟุตพาธได้ ต้องนำไปวิ่งบนถนนหรือในสวนสาธารณะเท่านั้น

พูดถึงระบบต่อสู้กันบ้าง ในภาคแรกนั้นท่วงท่าหรือวิชาหมัดของยางามิจะมีแค่ 2 แบบ คือมวยพยัคฆ์ที่เน้นจู่โจมรายบุคคล และมวยนกกระเรียนที่เน้นโจมตีศัตรูที่มาเป็นกลุ่ม โดยภาคนี้จะเพิ่มวิชาหมัดเข้ามาอีก 1 รูปแบบคือมวยงู ที่โฟกัสไปยังเรื่องดักสวนการโจมตีของศัตรู รวมทั้งมีท่าไม้ตายที่สามารถปลดอาวุธที่ศัตรูถือได้ ตลอดจนท่าไม้ตายที่ทำให้ศัตรูยอมแพ้หรือเป็นลมล้มพับไปเลยก็มี ซึ่งคอนเซ็ปต์บางอย่างของมวยงูนี้คาดว่าน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากท่าเฉพาะตัวของทานิมูระ หนึ่งในตัวเอกของเกม Yakuza 4 นั่นเอง

นอกจากนั้นแล้ว มวยงูจะเป็นท่ากึ่งบังคับสำหรับการต่อสู้กับเด็กในโรงเรียนครับ เนื่องจากหลายกระบวนท่าของมวยงูจะไม่ค่อยเน้นให้เป้าหมายเลือดตกยางออกอยู่แล้ว เมื่อถึงเวลาต้องเผชิญหน้ากับเด็กที่มาหาเรื่อง เกมมักจะให้เราเริ่มสู้ด้วยมวยงูทันที และใส่เงื่อนไขเฉพาะทางในการเอาชนะเข้าไป ซึ่งผู้เล่นต้องอาศัยทักษะการอ่านภาษาอังกฤษที่เด้งเป็นป๊อปอัปอธิบายด้วย ไม่เช่นนั้นอาจติดแหงกเพราะไม่รู้วิธีเอาชนะเด็กที่ถูกต้องเสียที

โครงสร้างการพัฒนาตัวละครจะยังคงเป็นการเก็บสะสมค่า SP ที่ได้จากการต่อสู้และการทำเควสต์มาอัปสกิล ซึ่งสกิลโดยรวมที่มีให้อัปก็จะมีทั้งสกิลที่มีประโยชน์ในการต่อสู้ และสกิลที่มีประโยชน์กับการตะลอนในเมือง แต่สิ่งที่เพิ่มมาแบบรูปธรรมที่สุดคือพวกสกิลของมวยงูครับ ขณะที่สกิลอีกชนิดที่มีประโยชน์มากก็คือสกิลเพิ่มปริมาณ SP ที่ได้รับหลังการต่อสู้ที่จะทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นมาก ช่วยลดเวลาฟาร์ม SP ไปได้เยอะเลย

ในส่วนของการสืบคดีที่เป็นเควสต์ย่อย ผู้เล่นจะได้เจอคดีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นการสะกดรอยเพื่อดูพฤติกรรมเป้าหมาย ซึ่งอาจจะมีการตามเก็บภาพหลักฐานแบบคาหนังคาเขาเหมือนกับสมัยภาคแรก แต่ใน Lost Judgment จะมีเพิ่มช่วงของการปีนป่ายแบบปากัวร์เข้ามา เพราะการเข้าถึงบางสถานที่โดยตรงนั้นไม่อาจทำได้ โดยระหว่างที่เราปีนขึ้นที่สูงหรือคาอยู่ในท่าห้อยโหนก็จะมีเกจความอึดของเราปรากฏขึ้น ซึ่งเราต้องไปถึงที่หมายหรือหาจุดหยุดพักให้ได้ก่อนที่เกจจะหมดลง

อย่างไรก็ตาม การที่นำลูกเล่นใหม่ ๆ เข้ามาใส่ในระบบที่เคยมีอยู่แล้วในภาคแรกมันเพื่อให้ตัวละครของเราทำอะไรได้หลากหลายขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรครับ แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาในช่วงสืบสวนบางอย่างก็ไม่ได้ช่วยให้เกมสนุกกว่าเดิมมากนัก มิหนำซ้ำยังทำให้เกมขาดความต่อเนื่องโดยใช่เหตุด้วย ยกตัวอย่างเช่นเวลาเป้าหมายของเราเริ่มเอะใจว่าถูกสะกดรอย และพบตัวเราอยู่แถวนั้นพอดี เกมก็ใส่ระบบที่ให้เราตีเนียนทำเป็นคนกำลังเซลฟี่หรือหันมากดมือถือเพื่อหลอกความสนใจของเป้าหมาย ซึ่งในแง่ของทีมผู้พัฒนาอาจจะมองว่ามันดูสมจริงดี แต่คนเล่นอย่างเรา ๆ อาจจะมองว่ามันไม่เมคเซนส์ก็เป็นได้ เพราะในชีวิตจริงหากเป้าหมายเห็นคนสะกดรอยตามมา ต่อให้ตีเนียนยังไงก็คงไม่รอดอยู่ดี

จากที่เคยเกริ่นไปในย่อหน้าแรกว่าเกมจากซีรีส์นี้มักเน้นให้ผู้เล่นเพลิดเพลินกับเควสต์ย่อยและมินิเกมจำนวนมหาศาล แน่นอนครับว่า Lost Judgment ก็ยังเป็นแบบนั้นเหมือนเช่นเคย โดยผู้เล่นสามารถแวะฆ่าเวลาไปกับสิ่งเหล่านี้ได้นานกว่าเควสต์หลักถึงหลายสิบเท่า แถมภาคนี้ยังมีการนำเอาเกมต่าง ๆ จาก Master System เครื่องเกมรุ่น 8 บิตที่ SEGA เคยท้าชนกับ Famicom ในยุคนั้นมาให้เราได้เล่นกันในออฟฟิศของยางามิด้วย และพอนับรวมกับมินิเกมหน้าเก่าและหน้าใหม่ที่สอดแทรกอยู่ในเกม ถ้าคุณเป็นเกมเมอร์สายล่าโทรฟี่หรือ Achievement หรือมีใจรักในซีรีส์ Yakuza และ Judgment อยู่แล้ว ภาคนี้ก็ยังดูดเวลาคุณได้เกิน 100 ชั่วโมงเหมือนเดิมครับ

และก็เช่นกันสำหรับคนที่เป็นสายล่าโทรฟี่ก็จะปวดหัวหนักกับการเก็บ 100% ในเกมนี้ เพราะคุณยังต้องมาทนเล่นมินิเกมพื้นเมืองของเอเชียตะวันออก เช่น หมากรุกญี่ปุ่น หรือไพ่นกกระจอก ซึ่งคนไทยอย่างเรา ๆ ก็เข้าไม่ค่อยถึงวัฒนธรรมการละเล่นลักษณะนี้สักเท่าไหร่ ดังนั้นการเรียนรู้ ฝึกฝน เพื่อเล่นจนชำนาญพอจึงใช้เวลาค่อนข้างนาน และวัดใจกันไปเลยว่าจะเบนเข็มไปเก็บโทรฟี่กับเกมอื่น หรือจะกัดฟันสู้เพื่อพิชิตโทรฟี่เกมนี้ต่อไป

ผู้ที่เล่นเกมนี้บนแพลตฟอร์มคอนโซลเน็กซ์เจนอย่าง PS5 หรือ Xbox Series X และ Series S จะมีหัวข้อให้เลือกปรับได้ว่าจะเป็นโหมด Standard ที่รันเฟรมเรต 60 FPS นิ่ง ๆ สวย ๆ หรือจะเน้นที่ Resolution ให้คมชัดระดับ 4K แต่ดรอปเฟรมเรตลงมา ซึ่งเท่าที่ทีมงานลองเล่นบน PS5 ขอแนะนำเลยว่าควรยืนพื้นที่ Standard จะดีกว่า เพราะเฟรมเรตตอนเน้น Resolution จะตกค่อนข้างน่าเกลียด จากที่เคยวิ่งลื่น ๆ ใน Standard พอเปลี่ยนมาเป็นเน้น Resolution จะมีกระตุกและหน่วงให้เห็นเป็นระยะ มันจะชวนให้เสียอรรถรสและอารมณ์ขณะเล่นไปเสียเปล่า ๆ ลำพังแค่ Standard กราฟิกในเกมก็สวยงามตามคุณภาพของ Dragon Engine อยู่แล้ว

ท้ายที่สุดแล้ว Lost Judgment ก็ยังมีความกลมกล่อมในตัวตามสไตล์ของเกมจาก Ryu Ga Gotoku Studio โดยจุดขัดใจของเกมอาจจะมีให้เห็นบ้าง แต่ถึงกระนั้น จุดที่ไม่ควรมองข้ามเลยก็คือประเด็นปัญหาการบุลลี่ในโรงเรียนที่เกมนี้กล้าตีแผ่ออกมาให้เห็น กล้าที่จะเปิดอกสื่อสารกับผู้เล่นกันตรง ๆ ทั้ง ๆ ที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่พบปัญหาบุลลี่ในโรงเรียนเยอะเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกด้วยซ้ำไป เราจะเห็นได้ว่าในโลกความเป็นจริงยังมีสถานศึกษาหลายแห่งเลือกที่จะซุกปัญหาเหล่านี้ไว้ใต้พรมและปล่อยให้เด็กต้องเลือกจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายอยู่บ่อยครั้ง และนี่คือเสน่ห์ที่วิดีโอเกมสามารถนำเสนอออกมาได้อย่างมีชั้นเชิง

หากว่ากันในแง่ความบันเทิง มันคือเกมที่ดีเกมหนึ่ง แต่ถ้าพูดกันในแง่สารคดีหรือวรรณกรรมที่สะท้อนปัญหาสังคม เกมนี้น่าจะจี้จุดคนที่เคยถูกกระทำได้หนักเอาการอยู่ครับ

คะแนน 8 / 10


เพื่อน ๆ สามารถหาซื้อตัวเกมแบบดิจิทัลดาวน์โหลดได้ที่ช่องทางดังนี้

PS5 & PS4 (Standard Edition) – https://store.playstation.com/en-th/product/HP0177-PPSA03792_00-LOSTJUDGMENT0001/

PS5 & PS4 (Digital Deluxe Edition) – https://store.playstation.com/en-th/product/HP0177-PPSA03792_00-DIGITALDELUX0001/


ติดตามข่าวสารอื่น ๆ ในเว็บไซต์ Online Station ได้ที่ https://www.online-station.net/

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้