รีวิวเกม Death Stranding Director’s Cut – ภาคอัปเกรดเต็มประสิทธิภาพบน PS5

แนวเกม: แอ็กชั่น
ผู้พัฒนา: Kojima Production
แพลตฟอร์ม: PS5

การทำเกมเวอร์ชั่นอัปเดตที่เพิ่มคอนเทนต์แล้วเอาออกมาวางขายอีกครั้งเพื่อยกระดับราคาเกมที่จะลดลงเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่วางจำหน่าย ดูจะเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมในหมู่บริษัทเกมช่วงหลัง ๆ มานี้ไม่น้อย ไม่เว้นแม้แต่กับ Death Stranding ของ Kojima Productions ที่ก็เป็นอีกเกมซึ่งมีภาค Director’s Cut ออกมาหลังจากที่เกมภาคต้นฉบับวางจำหน่ายบน PS4 และ PC ไปเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้ว

เนื้อเรื่องหลักของ Death Stranding Director’s Cut จะยังคงเดิม ซึ่งมันถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างดีเยี่ยมผ่านทั้งเกมเพลย์ การกำกับ และการสวมบทบาทในแต่ละคัตซีนของนักแสดงมืออาชีพ โดยทีมงาน Online Station ของเราก็เคยรีวิวกันไปแล้วเมื่อครั้งเกมภาคต้นฉบับวางจำหน่ายไปก่อนหน้านี้ ส่วนรีวิวนี้จะวิจารณ์ถึงคอนเทนต์ใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในภาคนี้เท่านั้น

จริงอยู่ที่ภาค Director’s Cut จะมีภารกิจที่แทรกเนื้อเรื่องใหม่ในส่วนของ Ruined Factory หรือโรงงานร้างปริศนาช่วงต้นเกมเข้ามา แต่เนื้อหาและเกมเพลย์ของมันก็สั้นจนเราสามารถเล่นจนจบภารกิจทั้งหมดได้ในเวลารวมแค่หนึ่งถึงสองชั่วโมง หากแต่มันจะถูกแบ่งออกเป็นภารกิจหลายตอน ซึ่งแต่ละตอนก็จะค่อย ๆ ปลดล็อคออกมาระหว่างที่เราดำเนินเนื้อเรื่องหลักไปถึงจุดต่าง ๆ เหมือนกับคอนเทนต์ร่วมพิเศษของ Half-Life และ Cyberpunk 2077 ที่มีมาก่อนหน้านี้

แม้ว่าเนื้อหาของ Ruined Factory จะสั้นและไม่ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ต่อเนื้อเรื่องหลักของเกม แต่เกมเพลย์เชิงลอบเร้นของเกมภาคต้นฉบับกลับถูกนำมาประยุกต์ใช้กับฉากที่เป็นอาคารแบบปิดร่วมกับศัตรูที่เป็นมนุษย์ได้ค่อนข้างลงตัว และให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปจากการย่องผ่าน BT หรือคอยเลี่ยงแคมป์กลางแจ้งของพวก Mule หรือผู้ก่อการร้ายในเกม

และที่สำคัญก็คือมันเต็มไปด้วยกลิ่นอายและองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างจากหลาย ๆ ซีนที่ดูจงใจใส่เข้ามาเพื่อชวนให้คิดถึงเกมตระกูล Metal Gear Solid ที่แฟนเกมของ Kojima Productions ตั้งแต่ยุคที่พวกเขายังไม่แยกตัวออกมาเป็นนักพัฒนาเกมอิสระน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

พร้อมกันนี้ ตัวเกมยังถูกปรับปรุงเพื่ออำนวยความสะดวกในการเล่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบ Fast Travel ที่เลือกเป้าหมายได้ง่ายขึ้น เพิ่มลูกเล่นด้านการต่อสู้ หรือเลือกสู้กับบอสที่เคยผ่านมาเพื่อทำเวลาได้ แต่ที่ดูจะเป็นจุดเด่นที่สุดของภาคนี้ก็คือการเพิ่มอุปกรณ์ใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้เราสามารถเดินทางและขนส่งพัสดุได้สะดวก และมีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น อย่างเช่นเราจะใช้ Buddy Bot มาเป็นตัวช่วยถือของแล้วเดินไปด้วยกันได้ หรือใช้ Cargo Catapult ที่เป็นเหมือนปืนใหญ่สำหรับยิงพัสดุข้ามพื้นที่ที่อาจมีอุปสรรคซึ่งอาจเป็นเรื่องยากหากเราต้องแบกของข้ามไปด้วยตัวเอง

อุปกรณ์พวกนี้ส่วนใหญ่จะถูกแนะนำมาให้เราใช้งานทีละชิ้นหลังจากเข้าสู่เนื้อเรื่องใน Episode 5 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นจุดที่ผู้เล่นน่าจะได้เรียนรู้และทำความคุ้นเคยกับระบบและภาพรวมของเกมดีแล้ว และถึงแม้มันอาจจะทำให้เกมเล่นได้ง่ายขึ้นมาบ้าง แต่การเพิ่มเข้ามาของอุปกรณ์เหล่านี้ก็ไม่ได้ทำลายสมดุลทางภาพลักษณ์และเกมเพลย์จนเกินไป ทุกอย่างที่ถูกเพิ่มเข้ามาล้วนมีเหตุผลรองรับ และมีข้อจำกัดในการใช้งานของมันอยู่

อีกสิ่งที่เพิ่มเข้ามาตั้งแต่ช่วงต้นเกมก็คือ Firing Range หรือสนามฝึกอาวุธกับศัตรูประเภทต่าง ๆ ที่ถ้าใครเคยเล่น Metal Gear Solid มาตั้งแต่ภาคแรกบนเครื่อง PS1 ก็คงต้องคิดออกมาดัง ๆ ว่า “นี่มัน VR Mission” แน่นอน เพราะเหมือนตั้งแต่วิธีเล่นที่ต้องเก็บคะแนนทำเวลาตามประเภทของอาวุธ ไปยันท่าดีใจของ Sam เมื่อเคลียร์ด่านสำเร็จ แต่สิ่งที่ Firing Range มีมาให้มากกว่า VR Mission ก็คือเราจะสามารถแข่งกับผู้เล่นคนอื่นทำคะแนนใน Ranked Drill เพื่อของรางวัลเป็นวัตถุดิบสำหรับสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ได้ด้วย ซึ่งด่านและของรางวัลก็จะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา

แต่ถึงจะไม่เน้นการแข่งขัน การเพิ่มเข้ามาของ Firing Range ก็ช่วยให้เราเข้าใจรูปแบบและวิธีการใช้งานของอาวุธแต่ละชิ้นได้ง่ายขึ้นกว่าการฟังหรืออ่านคำอธิบายแล้วไปลองใช้ในสถานการณ์จริงว่ามันจะเหมาะกับสไตล์การเล่นของเราหรือเปล่าเป็นไหน ๆ

สิ่งที่เพิ่มเข้ามาเหมือนเอาสนุกมากกว่าให้สมเหตุสมผลก็คือสนามแข่งรถ ซึ่งถ้าใครเคยเล่นเกมภาคต้นฉบับมาก่อนก็คงทราบกันดีว่ายานพาหนะต่าง ๆ ของเกมนี้มันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อวิ่งแข่งเลยไม่ว่าจะด้วยสมรรถนะหรือการควบคุม ดังนั้นการเพิ่มเข้ามาของสนามแข่งหลังจบเกมไปแล้วหนึ่งรอบจึงดูจะเป็นของแถมเล่น ๆ มากกว่าเมื่อเทียบกับคอนเทนต์ใหม่หลาย ๆ อย่างที่ได้กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ และเช่นเดียวกับ Firing Range สนามแข่งรถนี้ก็จะมียานพหนะแต่ละประเภทมาให้ลองวิ่งทำสถิติของตัวเอง หรือแข่งทำเวลากับผู้เล่นคนอื่นเพื่อของรางวัลใน Ranked Race ก็ได้

ในด้านของประสิทธิภาพ ตัวเกมจะเลือกเล่นได้สองโหมด คือโหมดความละเอียด 4K และโหมดอัปสเกลแต่รันที่ 60 เฟรมต่อวินาที การโหลดต่าง ๆ ที่เคยกินเวลานานบน PS4 ก็ใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทีหรือแทบจะทันทีในบางโอกาส รวมถึงเรายังสามารถปรับการแสดงภาพให้เป็นอัตราส่วน 21:9 เหมือนบนจอ Ultrawide ของเวอร์ชั่น PC ได้ด้วย ส่วนฟีเจอร์เฉพาะของ PS5 อย่าง Adaptive Triggers ก็ช่วยให้เรารับรู้ถึงความหนักของสัมพาระเวลาต้องกด L2 และ R2 เพื่อทรงตัวได้ดี แต่สำหรับใครที่อาจรู้สึกว่ามันจะเป็นการลำบากออกแรงนิ้วมากเกินไป ข้อดีก็คือเกมจะมีตัวเลือกให้ปิดฟีเจอร์นี้ได้ ส่วนระบบสั่นแบบ Haptic Feedback ก็ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่และละเอียดกว่าเดิมเล็กน้อย แต่เกมก็ไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างในการเดินบนพื้นที่แต่ละแบบได้ดีเท่าที่ควร อย่างการสั่นเวลาเดินในลำธารกับในพื้นหิมะหนา ๆ ก็แทบไม่แตกต่างกันเลย

โดยรวมแล้วสิ่งต่าง ๆ ที่เพิ่มเข้ามาใน Death Stranding Director’s Cut นับว่าถูกนำเสนอออกมาได้ดี แต่ด้วยความที่สิ่งเหล่านี้แทบไม่มีผลกับเนื้อหาและรูปแบบของเกม มันจึงมีความเป็นภาคอัปเดตมากกว่าจะเรียกได้ว่าเป็นภาคเสริม หากใครที่เคยลองภาคต้นฉบับแล้วรู้สึกว่ายังไม่ถูกใจกับเกมแนวนี้ ภาค Director’s Cut นี้ก็คงจะยังเปลี่ยนความคิดคุณไม่ได้ แต่สำหรับใครที่เป็นเจ้าของเครื่อง PS5 ในตอนนี้แล้วอยากลอง ราคา 1,690 บาทซึ่งสูงกว่าภาคต้นฉบับของ PS4 ที่บน PlayStation Store มีให้เลือกซื้อแต่เวอร์ชั่น Digital Deluxe แค่ 100 บาทก็ดูจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่าไปโดยปริยาย ส่วนใครที่เคยเล่นบน PS4 แล้วอยากเอาเซฟมาเล่นต่อบน PS5 เมื่อเกมถึงกำหนดวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 กันยายนนี้ คุณจะสามารถซื้อเวอร์ชั่นอัปเกรดแยกได้ในราคา 300 บาท

คะแนน 8/10

รีวิวโดย อาร์ม Pirawits


เพื่อน ๆ คนไหนอ่านรีวิวแล้วสนใจอยากลองเล่นเกมนี้ดู สามารถหาซื้อแบบดิจิทัลดาวน์โหลดได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ

Standard Edition – https://store.playstation.com/en-th/product/HP9000-PPSA01971_00-DEATHSTRANDINGAS/

Digital Deluxe Edition – https://store.playstation.com/en-th/product/HP9000-PPSA01971_00-DEATHSTRADCDDE01/


ติดตามข่าวสารอื่น ๆ ในเว็บไซต์ Online Station ได้ที่ https://www.online-station.net/

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้