เช้าที่ผ่านมา (22 กันยายน 2564) ทาง Online Station ได้รับเชิญเข้าร่วมการสัมภาษณ์ออนไลน์ผ่านโปรแกรม Zoom ของทางเกม Diablo II Resurrected โดยผู้ที่จะมาตอบคำถามนั้นก็ได้แก่คุณ Michael Bukowski ตำแหน่ง Project Lead ของเกม และคุณ Rob Gallerani ตำแหน่ง Studio Design Director ซึ่งก็ถือว่าเป็นระดับตัวเป้งทั้งคู่ครับ
อย่างไรก็ตามงานนี้เป็นการสัมภาษณ์พร้อมกันทั่วโลก ดังนั้นจึงมีสื่อเข้าร่วมมากมาย คำถามที่ส่งไปก่อนหน้าจึงจะไม่ถูกตอบทั้งหมด เพราะบางคำถามก็มีการซ้ำกันบ้าง ดังนั้นผมจึงจะมาสรุปย่อยให้ง่ายๆ ว่าข้อมูลที่ทางทีมพัฒนาตอบคำถามนั้นมีอะไรบ้าง
ความคิดหลักๆ ในการนำงานคลาสสิคอย่าง Diablo II มาสู่งานยุคใหม่มันเป็นอย่างไร
- Diablo II เป็นเกมที่สำคัญมากสำหรับ Blizzard และอาจรวมถึงประวัติศาสตร์ของวงการเกมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแนว Action RPG มากว่า 20 ปี พอมาถึงในยุคนี้เราคิดว่าเรามีเทคโนโลยีที่สามารถกลับไปเติมเต็มวิสัยทัศน์ที่แท้จริงและสามารถทำมันออกมาให้เป็นเกม 3D พร้อมระบบแสงเงาและเอฟเฟ็กต์ที่ยอดเยี่ยมขึ้นกว่าเก่าได้ เราเลยอยากทำมันออกมาแบบนั้น
- ตัวเกมถูกรีบิลด์ใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะในแง่ของคุณภาพกราฟิกซึ่งจะมีทุกสิ่งที่คุณมองหาสำหรับเกมที่วางจำหน่ายในปี 2021 นอกจากนี้บทเพลงต่างๆ ยังจะถูกรีมาสเตอร์ขึ้นใหม่ เพื่มคุณภาพเสียงให้มากขึ้น ขณะที่ในเกมก็จะมีเสียงแอมเบี้ยนใหม่ๆ ถูกเติมเข้ามา เพื่อสร้างบรรยากาศของเกมให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น เช่นเสียงของการเปลี่ยนเกราะ หรือเสียงย่ำเท้าระหว่างเดิม
ถูกสร้างขึ้นเพื่อการเข้าถึงที่ง่ายขึ้น
- ทีมงานคิดว่าทุกวันนี้ Diablo มีผู้เล่นหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคนที่เคยเล่นภาคเก่ามาก่อน คนที่ไม่ได้สนใจมัน หรือคนที่เคยเล่นแต่ภาค 3 เพราะเกิดไม่ทัน อย่างไรก็ตามเป้าหมายของพวกเขาคือการทำให้ Resurrected ยังคงเป็น Diablo II อย่างที่มันเคยเป็น เพราะอยากจะรักษาความเฉพาะตัวอันยอดเยี่ยมของตัวเกมต้นฉบับไว้ ดังนั้นแล้วมันจะไม่มีอะไรที่ทำให้มันดูง่ายหรือแคชช่วลขึ้นแน่นอน พวกเขาแค่อยากให้มันเข้าถึงได้ง่ายขึ้นจึงนำเอามาทำใหม่ อย่างระบบ Cross-Progression ก็ตัดปัญหาการเลือกเล่นบนเครื่องใดเครื่องหนึ่งไปเพราะมันเชื่อมต่อถึงกันหมดกันหมด หยุดเล่นจากเครื่องหนึ่ง ก็แค่เซฟไว้ แล้วมาต่อกับอีกเครื่องได้ทันที หรืออย่างการมี Colorblind Mode การช่วยเอื้อให้กับผู้ที่เป็นตาบอดสี เป็นต้น จะเห็นได้ว่าพวกเขาต้องการให้มันเข้าถึงง่ายขึ้นจริงๆ
สิ่งที่ท้าทายและน่าตื่นเต้นในการทำงานนี้
- พวกเขาคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของคอนโทรลเลอร์ เพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นกับ Diablo II เกมต้นฉบับไม่ได้ทำออกมาให้เล่นกับคอนโทรลเลอร์ได้ การจะจัดการให้มันสมูธจึงทำงานกันหนักมากๆ (ซึ่งพวกเขาย้ำหลายทีมากในเซสชั่นสัมภาษณ์ก็คงหนักจริง ฮา) ซึ่งการใช้คอนโทรลเลอร์มันทำให้เกิดความแตกต่างในการเล่นเกมเนื่องจากปุ่มที่น้อยกว่าการเล่นด้วยคีย์บอร์ดกับเมาส์ และยิ่งตัวเกมมี Cross-Progression ก็ยิ่งทำให้งานยากขึ้น เพราะการออกแบบในเรื่องต่างๆ ต้องคำนึงถึงการบังคับทั้ง 2 แบบ ในขณะที่ก็ต้องพยายามคงสภาพเดิมของ Diablo II ให้ได้มากที่สุด
ส่วนที่ยากต่อการรีมาสเตอร์
- อย่างแรกคือการทำให้ฉากแบบ 2D กลายเป็น 3D เพราะมีหลายๆ เรื่องทางเทคนิคเข้ามาเกี่ยวข้อง ถัดมาคือเรื่องของระบบเชื่อมต่อที่ทีมงานอยากทำให้มันทันสมัยและเสถียรมากขึ้น แล้วก็มีเรื่องของ Cross-Progression ตามที่บอกไป อ้อ! อีกเรื่องที่ค่อนข้างท้าทายเลยก็คือการทำให้เกมเวิร์คกับทุกระดับเฟรมเรต เพราะเกมออริจินอลรองรับแค่ 25 เฟรม แต่เกมทุกวันนี้ต้องสามารถรองรับเฟรมเรตได้ตั้งแต่ 30 ยัน 200 เฟรมขึ้นอยู่กับสมรรถนะเครื่อง PC หรือคอนโซลที่ใช้เล่น
ความใหม่ในรีมาสเตอร์ที่ผู้เล่นจะได้รับ
- ที่เห็นได้ชัดคงเป็นเรื่องของวิช่วล แต่ก่อนกราฟิกเกมเป็น Sprite พอมาเป็น 3D หลายๆ อย่างน่าตื่นตาตื่นใจขึ้น เช่นคลาสเนโครแมนเซอร์ ซึ่งเป็นคลาสที่สามารถเสกโครงกระดูกได้แบบเยอะมากๆ ทีนี้ก็อยากให้ลองนึกภาพถ้าผู้เล่นมัลติเพลเยอร์เลือกเป็นเนโครแมนเซอร์กันหมด อะไรจะเกิดขึ้น? ก็กองทัพโครงกระดูกแบบเต็มจอยังไงล่ะ! แล้วด้วยเทคโนโลยีและคุณภาพกราฟิกที่พัฒนาขึ้นรวมไปถึงเฟรมเรตที่ลื่นไหล ผมบอกเลยว่านี่คือภาพที่คุณไม่เคยเห็นใน Diablo II มาก่อนแน่นอน ซึ่งการแทรกอะไรที่ผู้เล่นเก่าๆ อาจจะไม่เคยพบเจอเข้าไปบ้างนี่แหละ ผมรู้สึกว่ามันคือความแตกต่างล่ะ
การทำงานร่วมกับคอมมิวนิตี้ของแฟนๆ
- ในตอนบิลด์เวอร์ชั่นแรกๆ เรื่องหนึ่งที่พวกเขารู้สึกว่าสุดยอดมากๆ ก็คือฟีดแบ็คจากแฟนๆ นี่แหละ แน่นอนว่าพวกเขาต้องการความเห็นเพื่อนำไปพัฒนาและแก้ไขเกมต่อ แต่สิ่งที่ได้รับมามันเกินคาดไปมาก มันไม่ค่อยมีคอมเมนต์แบบ “โอเคเดี๋ยวพรุ่งนี้มาบอก หรือ สิ่งนี้ไม่น่าโอเคนะ” แต่ส่วนใหญ่จะมาแบบลงดีเทลหนักๆ ระดับเงาของไอคอนพร้อมฟันธงให้เสร็จสรรพว่า “แบบนี้มันไม่เวิร์คว่ะ” ซึ่งมันทำให้พวกเขาต้องแอคทิฟสู้อย่างมาก เหล่าแฟนๆ ชัดเจนในสิ่งที่ต้องการซึ่งช่วยพวกเขาได้มากมายจริงๆ และอีกสิ่งที่สอดคล้องกันก็คือฝั่งทีมพัฒนาเองก็ชัดเจนในสิ่งที่อยากจะทำเช่นกัน เพราะนี่คือการรีมาสเตอร์เกม พวกเขากำลังเก็บเอาชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์มาบูรณะใหม่ เพราะงั้นอะไรที่มันไม่ใช่จริงๆ ก็จะไม่ฝืนใส่ลงไป
ทำไมถึงตัดสินใจมาลงคอนโซล
- แม้ว่าพวกเขาจะต้องการคงความคลาสสิคไว้ขนาดไหน แต่ 20 ปีผ่านมาโลกก็เปลี่ยนไปเยอะ บางคนอยากเล่นเกมกับจอใหญ่ๆ บางคนอยากเล่นเกมขณะเดินทาง พวกเขาเองก็อยากให้เกมนี้สามารถเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น ดังนั้นจึงตัดสินใจนำเสนอมันบนคอนโซลด้วยพร้อมระบบ Cross-Progression ที่เชื่อมทุกแพลตฟอร์มเข้าถึงกัน แต่ถึงอย่างนั้นเป้าหมายหลักของพวกเขาก็ยังเป็นการทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเกมสามารถรันได้อย่างลื่นไหลในทุกๆ แพลตฟอร์มนั่นเอง
ความต่างระหว่างคอนโซลและ PC
- ผู้เล่น PC สามารถใช้การควบคุมทั้ง 2 แบบสลับไปมาได้ไม่ว่าจะคีย์บอร์ด + เมาส์ หรือคอนโทรลเลอร์ ในขณะที่ผู้เล่นคอนโซลจะใช้ได้เพียงแค่คอนโทรลเลอร์เท่านั้น นั่นทำให้ชาวคอนโซลอาจจะยากลำบากในการพิมพ์แชตหรือคอนแทคกับเพื่อนๆ ในปาร์ตี้สักหน่อย ดังนั้นในเวอร์ชั่นคอนโซลพวกเขาจึงเพิ่มระบบล็อบบี้เข้ามาเพื่อช่วยในจุดนั้น โดยในล็อบบี้ผู้เล่นจะเห็นแชตที่รันไปเรื่อยๆ และจะมีระบบช่วยต่างๆ เพื่อทำให้การหาเพื่อนมาร่วมกัน กระทำได้ง่ายยิ่งขึ้น
- ผู้เล่นคอนโซลสามารถสลับภาพแบบคลาสสิคกับแบบใหม่ได้เช่นกัน ดังนั้นถ้าคุณอยากลองเล่นเกมภาพ 2 มิติด้วยคอนโทรลเลอร์บนจอทีวียักษ์ขนาด 70 นิ้ว ก็ทำได้ไม่มีปัญหา
- บนคอนโซลยุคใหม่อย่าง PS5 และ Xbox Series X สามารถเลือกระหว่าง Performance Mode (60fps) และ Quality Mode (30 fps) ได้ ส่วน PC ก็ตามสถาพฮาร์ดแวร์ของเครื่องผู้เล่น
สำหรับเกม Diablo II Resurrected นั้นไม่มีการขายแบบกล่อง และจะขายแค่แบบดิจิทัลล้วนๆ ครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในช่วงท้ายทั้งคุณ Michael Bukowski และ Rob Gallerani ก็ได้ฝากขอบคุณแฟนๆ ที่คอยให้กำลังใขและเชื่อมั่นในพวกเขาในการนำเกมในตำนานกลับมาชุบชีวิตบนโลกยุคใหม่อีกครั้ง และพวกเขาก็หวังว่าทุกๆ คนจะสนุกไปกับมัน
Diablo II Resurrected มีกำหนดวางจำหน่ายวันที่ 23 กันยายนนี้บน PlayStation 4, PlayStation 5, Xbox One, Xbox Series X/S, Nintendo Switch และ PC
