รีวิวเกม The Great Ace Attorney Chronicles - ปฐมบทของซีรีส์เกมทนาย by OS

ช่วงกลางปีนี้ เกม The Great Ace Attorney Chronicles ยังเป็นอีกไม้เด็ดที่ Capcom นำออกมาเอาใจผู้เล่นอีกระลอก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ปล่อยเกมฟอร์มยักษ์อย่าง Resident Evil Village และ Monster Hunter Rise ไปแล้ว ซึ่งเกมทนายก็เป็นอีกซีรีส์ที่มีแฟน ๆ ติดตามกันเหนียวแน่นอีกซีรีส์หนึ่งเลยก็ว่าได้ครับ

แพลตฟอร์ม: PS4 / Switch / PC (ทีมงานรีวิวจากเวอร์ชั่น PS4)
แนวเกม: Visual Novel
ผู้พัฒนา: Capcom
วางจำหน่าย: 27 กรกฎาคม 2021

เกมตระกูลทนายหรือ Ace Attorney ที่พัฒนาโดย Capcom นั้นเป็นซีรีส์ที่ถือกำเนิดมาได้ 20 ปีแล้ว ถ้าวัดกันตามความอาวุโสนี่ถือว่าเป็นรุ่นน้อง Resident Evil เพียง 5 ปีเท่านั้นเอง ซึ่งตลอดระยะเวลา 20 ปีนี้ตัวซีรีส์มีภาคต่าง ๆ ออกมามากมาย ทั้งภาคหลัก ภาคสปินออฟ และภาคที่ครอสโอเวอร์กับซีรีส์ Professor Layton ของค่าย Level-5 และในรีวิวที่เพื่อน ๆ กำลังจะชมต่อไปนี้มีชื่อเกมแบบเต็ม ๆ ว่า The Great Ace Attorney Chronicles ที่เป็นการมัดรวมเกม 2 ภาค ได้แก่ The Great Ace Attorney: Adventure และ The Great Ace Attorney 2: Resolve โดยมีการรีมาสเตอร์ เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เข้ามาเพียบ และจัดทำเสียงพากย์กับซับไตเติ้ลเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรก เนื่องจากตอนที่สองภาคนี้เคยลงให้กับเครื่อง Nintendo 3DS เมื่อปี 2015 และ 2017 ตัวเกมมีแต่เวอร์ชั่นญี่ปุ่นให้เล่นเท่านั้น

ในส่วนของ The Great Ace Attorney Chronicles ถ้าจะให้นิยามแบบเห็นภาพง่าย ๆ ก็คือเป็นภาค Prequel หรือจะเรียกว่าภาค 0 ของซีรีส์ก็ได้ครับ โดยภาค Adventure ก็คือภาค 0 พาร์ตแรก ขณะที่ Resolve ก็คือภาค 0 พาร์ทสอง ใครที่ไม่เคยเล่นเกมซีรีส์นี้มาก่อนจะเริ่มเล่นที่ภาคนี้เลยก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพียงแต่ตอนมูฟออนไปยังภาค 1-3 อาจจะขัดใจหน่อย เพราะระบบภาค 1-3 มันไม่ค่อยมีลูกเล่นอะไร เนื่องจาก Capcom เริ่มพัฒนาที่ภาค 1 ก่อนเป็นภาคแรก พอทำถึงภาค 6 ก็ค่อยย้อนมาทำภาค 0 นั่นเอง

พล็อตของ The Great Ace Attorney: Adventure จะเกริ่นถึงริวโนสึเกะ นารุโฮโดะ บรรพบุรุษของฟีนิกซ์ ไรท์ ตัวเอกหลักของซีรีส์ โดยริวโนสึเกะเป็นนักศึกษา เอกภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นช่วงสมัยเมจิ แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม และตนเองก็ต้องรับบทเป็นทนายแก้ต่างให้ตัวเองโดยที่มีความรู้เรื่องกฎหมายแทบเป็นศูนย์ แต่ด้วยพรสวรรค์ที่มีในตัว ก็ได้นำพาให้ชะตากรรมของริวโนสึเกะต้องพลิกผัน เปลี่ยนเส้นทางมาเรียนกฎหมายเพื่อเป็นทนายในที่สุด พร้อมกับได้สึซาโตะ ผู้ช่วยสาวที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและวรรณกรรมมาเป็นมือขวาให้กับริวโนสึเกะอีกแรงด้วย

ทางด้านเนื้อเรื่องของ The Great Ace Attorney 2: Resolve จะเป็นเหตุการณ์ 2 เดือนให้หลังจากภาค Adventure ที่ทั้งริวโนสึเกะกับสึซาโตะได้มาศึกษาระบบกฎหมายในอังกฤษมาสักพักใหญ่แล้ว โดยภาคนี้จะมีการคลายปมบางอย่างที่ทิ้งไว้มาตั้งแต่ภาคแรก และเผยตัวละครใหม่ ๆ ที่จะนำไปสู่ไคลแม็กซ์ของ The Great Ace Attorney ทั้งสองภาค ซึ่งการลำดับเรื่องราวเรียกว่ามีชั้นเชิง และชวนผู้เล่นลุ้นตามได้ตลอด แถมยังแฝงความรู้และข้อคิดดี ๆ จากการปะทะกันด้วยตัวบทกฎหมายในชั้นศาล ส่วนหนึ่งต้องให้เครดิตกับคุณชู ทาคุมิ ผู้ให้กำเนิดซีรีส์นี้ที่หวนกลับมาเขียนบทและกำกับสองภาคนี้ด้วยตนเองอีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายไปในภาค 5-6 ครับ

พูดถึงเกมเพลย์กันบ้าง รูปแบบเกมเพลย์ของทั้งภาค Adventure และภาค Resolve จะมีโครงสร้างแบบเกมวิชวลโนเวลคล้ายกับทุกภาคที่แล้วมา คือแบ่งเป็นช่วงสืบสวนหาหลักฐาน และช่วงพิจารณาคดีในศาล โดยช่วงสืบสวนนี้ผู้เล่นจะต้องเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในที่เกิดเหตุ รวมถึงพยานผู้เห็นเหตุการณ์หรือบุคคลที่มีความใกล้ชิดกับเหยื่อหรือลูกความของเรา นอกเหนือจากนั้นก็จะมีการสำรวจฉากเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งตอนสำรวจจะเป็นลักษณะ Point and Click ที่ผู้เล่นต้องเลื่อนเคอร์เซอร์ไปสำรวจแต่ละจุดในห้อง แต่ภาคนี้จะดีหน่อยตรงที่จุดไหนที่เราสำรวจแล้วจะขึ้นเครื่องหมายบอกชัดเจน ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาไปสำรวจซ้ำอีก

ขณะเดียวกัน เวลาเราพบเจอหลักฐานชิ้นหนึ่ง ผู้เล่นสามารถสำรวจหลักฐานชิ้นนั้นเพื่อหาเบาะแสที่ซ่อนอยู่เพิ่มเติมได้ โดยตอนที่เราพบจุดน่าสังเกตบนชิ้นหลักฐานจะขึ้นบทสนทนาระหว่างริวโนสึเกะกับสึซาโตะ ซึ่งเนื้อหาส่วนนี้จะมีสอดแทรกมุมมองของทั้งคู่ที่มีต่อหลักฐาน และบางครั้งก็จะมีการยิงมุกใส่กันด้วย ทำให้เราอินกับความสัมพันธ์ของทั้งสองในฐานะทนายกับผู้ช่วยไปตลอดทั้งเกม

เมื่อเล่นไปสักระยะ เราจะได้รู้จักกับตัวละครใหม่ที่ชื่อ เฮอร์ล็อค โชล์ม ที่มองจากดาวอังคารก็รู้ได้ในทันทีว่าผู้พัฒนาเกมจงใจล้อนักสืบชื่อดังอย่างเชอร์ล็อค โฮล์ม จากนวนิยายของสหราชอาณาจักรนั่นเอง โดยตัวละครนี้จะมีบทบาทในการสืบคดีด้วยวิธีเฉพาะที่เรียกว่า Deduction ซึ่งเป็นการจำลองสถานการณ์หาความเป็นไปได้ต่าง ๆ ที่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงที่เกิดเหตุอาชญากรรมหรือฆาตกรรม ทว่าผลจากการจำลองสถานการณ์ของเฮอร์ล็อค โชล์ม ส่วนใหญ่จะออกแนวคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงหรือมโนซะเยอะครับ แน่นอนว่าก็ร้อนถึงริวโนสึเกะที่ต้องปรับแก้ข้อผิดพลาดจากสมมติฐานของโชล์มด้วยวิธีที่เรียกว่า Correction โดยยกเอาหลักฐานที่มีมาอ้างอิงเพื่อให้ความจริงของรูปคดีกระจ่างเสียก่อนจะนำข้อมูลตรงนี้ไปใช้ตอนสู้กันในศาลอีกที

ระหว่างที่ดวลกันในศาล ไฮไลท์สำคัญจะเป็นการเบิกคำให้การจากพยาน ซึ่งเราในฐานะทนายจะมีโอกาสในการซักค้านว่าสิ่งที่พยานพูดมานั้นเป็นเรื่องโกหก มีพิรุธหรือช่องโหว่หรือไม่ ถ้าเราเห็นอะไรไม่เมคเซนส์และมีหลักฐานในมือที่บ่งบอกว่าพยานโกหก ก็สามารถโชว์ต่อศาลเพื่อพลิกโมเมนตัมให้ลูกความของเราได้ทันที หรือถ้าเราเห็นประโยคไหนของพยานไม่ชอบมาพากล ทว่าเรายังไม่มีหลักฐาน แต่ยังอยากถามจี้เพื่อให้พยานระบุเจาะจงมากขึ้น เกมก็มีตัวเลือกให้เราถามกดดัน (โดยในเกมจะเป็นคำสั่ง Press) ด้วยเช่นกัน ซึ่งเวลาเราใช้หลักฐานได้ถูกชิ้น พยานก็จะมีรีแอ็กชั่นโป๊ะแตกสุดฮาที่สังเกตเห็นได้ชัด และเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเรากำลังเข้าใกล้ชัยชนะมากขึ้นด้วย

ระบบที่เพิ่มเข้ามาอย่างแรกในช่วงพิจารณาคดีคือการไต่สวนพยานพร้อมกันคราวละ 2 คนขึ้นไปครับ โดยระบบนี้เคยมีการนำมาใช้ครั้งแรกในเกม Professor Layton vs. Phoenix Wright: Ace Attorney ที่เป็นภาคสปินออฟของซีรีส์ ซึ่งขณะที่พยานคนหนึ่งกำลังให้การ ก็จะมีบางโมเมนต์ที่พยานที่ยืนอยู่ใกล้กันเกิดรีแอ็กชั่นหรือท่าทางพิรุธต่อคำพูดของพยานที่กำลังพูดอยู่ ตรงนี้เกมจะมีไอคอนเด้งเตือนให้เรารู้ถึงสิ่งผิดปกติดังกล่าว เราสามารถฉวยโอกาสตรงนี้ในการถามซักพยานคนที่ออกรีแอ็กชั่นเพื่อเค้นเอาความจริงอีกด้านมาได้

ใครที่เคยเล่นภาคที่ตัวเอกเป็น ฟีนิกซ์ ไรท์ หรือ อพอลโล จัสติซ คงน่าจะพอจำกันได้ว่ากระบวนการไต่สวนของศาลจะเป็นแบบคล้าย ๆ กับเมืองไทยครับ นั่นก็คือคนที่มีอำนาจพิจารณาว่าลูกความของเรามีความผิดหรือไม่คือตัวผู้พิพากษาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เป้าหมายของเราในภาคก่อน ๆ เลยจะเน้นไปที่การงัดหลักฐานเด็ดออกมางัดกับอัยการและโน้มน้าวผู้พิพากษาเป็นหลัก

แต่ในเนื้อเรื่องของริวโนสึเกะ ตั้งแต่ช่วงต้นของภาค Adventure ตัวเขาจะได้เดินทางไปว่าความถึงประเทศอังกฤษ ดินแดนแห่งความเจริญก้าวหน้าในวิทยาการและองค์ความรู้แทบทุกแขนง ซึ่งก็รวมถึงกระบวนการไต่สวนของศาลที่นำเอาระบบใหม่ที่เรียกว่าลูกขุนมาใช้ และระบบลูกขุนนี้เองที่ทำให้กระบวนการต่อสู้คดีของเรามีความละเอียดอ่อนมากขึ้น กล่าวคือลูกขุนในเกมจะเป็นกลุ่มคนจำนวน 6 คนจากสาขาอาชีพต่าง ๆ ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับงานสายกฎหมายเลย โดยคนเหล่านี้จะมามีบทบาทในการพิจารณาความผิดของลูกความเราในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เพราะในหลาย ๆ กรณีลำพังใช้มุมมองของนักกฎหมายมาตัดสินความผิดก็อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป จึงต้องนำเอาความคิดของคนทั่วไปมาพิจารณาร่วมด้วยนั่นเอง

ทีนี้ บรรดาลูกขุนในเกมจะสร้างความปวดหัวให้เราพอสมควร เพราะทุกคนล้วนมองรูปคดีตามประสบการณ์จากอาชีพและวัยวุฒิของตัวเอง บางคนจะค่อนข้างเซนส์ซีทีฟมากหากเหยื่อเป็นเพศเดียวกับตน ขณะที่บางคนก็จะมีท่าทีโน้มเอียงเมื่อรู้ว่าลูกความของเราเป็นคนแบบเทา ๆ ไม่ได้เป็นคนขาวผ่องตามมาตรฐานศีลธรรมของตนเอง เป็นต้น ดังนั้นบ่อยครั้งการชี้มูลความผิดจากลูกขุนเลยจะมาแบบฉาบฉวยและปุบปับมาก เพียงแค่คำให้การของพยานไม่กี่ประโยคก็ทำให้ลูกขุนคล้อยตามได้แล้ว

และเมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกขุนต่างลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าลูกความของเรามีความผิด ผู้เล่นจะได้รับโอกาสสุดท้ายในการซักค้านลูกขุน โดยตรงนี้เราจะต้องอาศัยทักษะการจับใจความเหตุผลที่ลูกขุนแต่ละคนยกมา แล้วนำเหตุผลของลูกขุนคนที่พูดขัดแย้งกันมางัดกับอีกคนเพื่อเปลี่ยนแปลงคำตัดสินของลูกขุนคู่นั้นได้ เพราะฉะนั้น การจะเล่นเกมนี้ให้ได้รับอรรถรสสูงสุด รวมถึงได้รับแง่คิดจากในเกม และความบันเทิงที่เกมนำเสนอได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เล่นควรจะมีทักษะการอ่านภาษาอังกฤษแบบจับใจความระดับหนึ่งครับ เนื่องจากระหว่างที่เราซักค้านพยานหรือลูกขุนมักจะมีประโยคที่ชวนผิดสังเกตให้เรานำมาใช้แก้ต่าง ตลอดจนมุกตลกหรือมุกเล่นคำที่ตัวละครรับส่งไปมา ถ้าผู้เล่นไม่เข้าใจเนื้อหาส่วนนี้ หรือตีความผิดเพี้ยนไป ความสนุกในเกมจะหายไปเพียบเลยทีเดียว

เอาเข้าจริง ๆ แต่ละคดีจะกินเวลาค่อนข้างนาน เฉลี่ยแล้วคดีละประมาณ 4-5 ชั่วโมงหากผู้เล่นอ่านทำความเข้าใจเรื่องราวของคดีจนครบถ้วน ซึ่งเนื้อเรื่องของเกมนั้นชวนลุ้นระทึกได้ดีและมีจุดหักมุมค่อนข้างหนัก แม้ว่าเกมนี้จะมีความเป็นวิชวลโนเวลสูง และเน้นหนักกับการเล่าเรื่องจนอาจจะรู้สึกยืดเยื้อในบางช่วงไปบ้าง แต่แนะนำว่าทุกคนควรเล่นเกมนี้ด้วยตัวเองครับหากต้องการจะได้รับความสนุกจากเกมอย่างเต็มที่

สิ่งที่ผู้เล่นจะได้รับจากเกมนี้ นอกจากแง่ของความบันเทิงที่ผู้พัฒนาเกมพยายามใช้กลวิธีในการนำเสนอคอนเทนต์เกี่ยวกับกฎหมายที่อาจจะฟังดูน่าเบื่อสำหรับคนทั่วไปให้สามารถย่อยได้ง่ายแล้ว ยังมีเรื่องของแง่คิดที่เราได้จากการต่อสู้กันเชิงกฎหมายด้วย เราจะเห็นได้ว่าตราบใดที่ยังมีคนหาช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อให้ฝั่งตัวเองดิ้นหลุดหรือเล่นงานอีกฝ่ายได้ มันก็ย่อมเป็นข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่ากฎหมายไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งกฎหมายคือผลไม้แห่งปัญญาที่มนุษย์ช่วยกันสร้างขึ้น ซึ่งต้องใช้เวลาในการขัดเกลาและพัฒนากฎหมายให้สอดคล้องกับบริบทของยุคสมัยไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อให้กฎหมายสามารถเป็นบรรทัดฐานให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันในสังคมได้เป็นปกติสุขนั่นเอง

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่เราจะขอบอกว่า The Great Ace Attorney Chronicles มีพล็อตระดับคุณภาพที่เกมเมอร์สายเนื้อเรื่องควรหามาเล่นให้ได้ หรือถ้าจะหาภาค 1-6 ของฟีนิกซ์ ไรท์มาเล่นเพิ่มเติมด้วยก็ยิ่งดี โดยภาค 1-3 เคยมีการรีมาสเตอร์ลงคอนโซลและพีซีมาแล้วตั้งแต่ปี 2019 ใครที่เคยมีภาพจำว่า Capcom เก่งแต่ทำเกมแนวแอ็กชั่น ถ้าได้ลองจับซีรีส์นี้ดูอาจจะเปลี่ยนความคิดเดิม ๆ ไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งในมุมมองของทีมงานที่ได้เล่นและรีวิว หากวัดกันในแง่เนื้อเรื่องเพียว ๆ สองภาคของริวโนสึเกะนี้น่าจะเป็นรองแค่ Apollo Justice: Ace Attorney หรือภาค 4 ของซีรีส์เท่านั้น

หากถามว่าเกมนี้มีข้อเสียบ้างหรือไม่ ว่ากันตามตรงก็คือมีครับ คือความอืดของเนื้อเรื่องในบางคดี ทว่าพอเล่นจนจบแต่ละคดีเรากลับรู้สึกเคลียร์และโล่งอกที่ผ่านคดียาก ๆ และซับซ้อนซ่อนเงื่อนลงได้เสียที ซึ่งการเขียนพล็อตที่ดี ตลอดจนการเรียงซีเควนซ์ของเรื่องราวนั้นทำออกมาได้อย่างพิถีพิถัน เลยช่วยกลบข้อเสียลงได้หมด โดยเกมนี้สามารถทำหน้าที่ในฐานะเกมวิชวลโนเวลออกมาได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นบทนำของมหากาพย์ซีรีส์ Ace Attorney ได้สง่างามในตัวมันเองแล้วครับ