รีวิว Biomutant เกมแอ็คชั่นสัตว์กลายพันธุ์ที่น่าประทับใจ เล่นได้เพลินๆ

อีกหนึ่งเกมที่น่าลิ้มลอง

หลังจากที่ปล่อยให้รอคอยกันมาหลายปีหลังจากเปิดตัว ในที่สุด Biomutant ก็พร้อมวางจำหน่ายเสียที ตัวเกมนั้นได้ทีม Experiment 101 มาพัฒนา และได้ THQNordic มาเป็น Publisher ลงให้กับทั้งเครื่องคอนโซลและ PC ซึ่งเวอร์ชั่นที่ผมได้มารีวิว Biomutant จะเป็นเวอร์ชั่น PC ดังนั้นต้องขออภัยคนที่รอข้อมูลจากฝั่งคอนโซลด้วยนะครับ

Biomutant คือเกม Open World ที่ผสมผสาน Action RPG เข้าไว้ด้วยกัน ผู้เล่นจะได้ใช้ศิลปะการต่อสู้ ที่ในเกมเรียกว่า Wung-fu เข้ากับการใช้อาวุธระยะประชิด อาวุธปืน เวทมนตร์ต่างๆ รวมไปถึง ความสามารถจากการกลายพันธุ์ เพื่อออกกู้โลก ค้นหาความจริง และ ล้างแค้น

มียานพาหนะให้เลือกสำรวจตามพื้นที่ต่างๆ
อัปเกรดชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อเพิ่มพลังการต่อสู้

เนื้อเรื่อง
สำหรับพื้นหลังของเกมจะเกิดขึ้นในโลกอนาคตที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่แล้วแม้แต่คนเดียว ธรรมชาติจึงได้สร้างต้นไม้แห่งชีวิตขึ้นมา ทำให้เหล่าสัตว์เริ่มมีวิวัฒนาการเข้ามาแทนที่มนุษย์ พวกมันเริ่มมีอารยธรรม มีวิวัฒนาการ รู้จักการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแบบมีสังคม เกิดเป็นเผ่าต่างๆ ขึ้นมาถึง 6 เผ่า แต่อยู่มาวันหนึ่งเกิดโรคระบาดลึกลับขึ้นมา ทำให้ต้นไม้แห่งชีวิตเริ่มอ่อนกำลังลง แต่ละเผ่าเริ่มเกิดความบาดหมางและไม่ลงรอยกัน จึงเกิดเป็นความขัดแย้งและสงครามขึ้น ผู้เล่น จะรับบทเป็นผู้กล้าที่ออกผจญภัยเพื่อกอบกู้ความบาดหมางของทั้ง 6 เผ่า รวมถึงนำสันติสุขมาสู่โลก และเป้าหมายอื่นที่ไกลกว่านั้น

คิดจะรุมก็เข้ามา

เรื่องราวของ Biomutant นั้นจะถูกนำเสนอด้วยคัตซีนแบบเรียบง่าย ไม่ได้ถือว่าหวือหวาอะไรมากมายนัก ซึ่งจะมาพร้อมกับเสียงพากย์ของผู้บรรยายตลอดทั้งเกม ทุกตัวละครในเกมนั้นจะพูดด้วยภาษาที่เราไม่รู้จัก ทุกประโยคจะถูกแปลด้วยเสียงพากย์ของนักพากย์คนนี้ ระหว่างทางจะมีการบรรยายถึงสถานที่ หรือแม้แต่จังหวะที่ผู้เล่นต่อสู้ก็ยังมีเสียงของผู้บรรยายแทรกเข้ามา แต่มันไม่ได้ทำให้ผู้เล่นรำคาญแต่อย่างใด เพราะจังหวะต่างๆ ที่ใส่เข้ามานั้นค่อนข้างลงตัว และรู้ช่วงที่เหมาะสม มันไม่ได้ถึงกับเป็นการบรรยายทุกประโยคว่าดูนั่นสิ นั่นคือศัตรู นั่นน้ำตกที่น่าเข้าไปสำรวจ นั่นตัวประหลาด ระวังมันหน่อย กล่าวคือผู้บรรยายภายในเกมนั้นไม่ได้พูดถึงทุกสิ่งอย่างที่ผู้เล่นพบเจอตลอดเวลานั่นเอง ที่สำคัญช่วงท้ายเกม มีเซอร์ไพรซ์ด้วยนะครับ

เผชิญหน้ากัยศัตรูที่หลากหลาย

การนำเสนอของเนื้อเรื่องนั้นจะมี 2 เส้นช่วงเวลา คืออดีตของตัวละครเอก แต่เกมจะให้เล่นเรื่องราวในอดีตแค่ช่วงต้นเกมเท่านั้น ซึ่งหลักๆแล้วมันเป็นการนำเสนอปมและเป้าหมายของตัวละครที่ผสานไปกับ Tutorial หรือโหมดฝึก ดังนั้นเมื่อผู้เล่นผ่านเนื้อเรื่องไปประมาณหนึ่ง ก็จะไม่มีการมาเล่าย้อนอะไรอีกแล้ว ทุกอย่างถูกเล่าเป็นเส้นตรง ไม่ได้มีความลึกมากนัก ซึ่งคาดการว่าน่าจะเป็นการที่ตัวเกมนั้นถูกออกแบบมาให้เหมาะกับทุกเพศทุกวัยด้วย ถ้าจะให้เปรียบง่ายๆ คือมันไม่หนักถึงขั้น Witcher 3 แต่อยู่ประมาณ Zelda Breath of the Wild นั่นล่ะครับ

เสียงประกอบ
เพลงในเกมนั้นมีค่อนข้างหลากหลาย แบ่งออกไปตามแต่ละโซน ถือเป็นสเกลงานระดับเกม AAA ทุกอย่างดีผ่านมาตรฐานทั้ง OST และเสียงเอฟเฟค เพียงแต่ว่าสไตล์ของเพลงในเกมมันยังไม่ทำให้ฮึกเหิมเท่าที่ควร ถึงแม้ว่าช่วงต่อสู้เพลงมันจะพอทำให้เร้าใจอยู่บ้าง แต่จริงๆ แล้วโดยรวมมันก็ถือว่ายัง Build ผู้เล่นน้อยไปหน่อยถ้าเทียบกับเกมอื่นอย่างเช่น Devil May Cry

ขอแวะคราฟไอเทมสักหน่อยนะ

กราฟิก
เรื่องของงานภาพและกราฟิกนั้นต้องขอบอกว่าดีงามตามมาตรฐาน Unreal Engine ภาพสวย บรรยากาศดี รายละเอียดต่างๆ ทั้งต้นไม้ใบหญ้า สิ่งปลูกสร้างนั้นออกแบบมาได้ละเอียด พูดง่ายๆ สภาพแวดล้อมต่างๆ ในเกมคือแน่นเลยครับ ขยันใส่ขยันวางกันจัดๆ จนบางทีก็รู้สึกว่าพวกต้นไม้หรืออะไรหลายๆ อย่างในบางจุดมันดูแน่นเกินไปด้วยซ้ำ และถึงแม้ว่าทีมงานจะใส่นั่นนู่นนี่มาแบบจัดเต็ม แต่เมื่อเล่นไปเรื่อยๆ เราจะพอจำลักษณะของตึกบางตึก หรือพื้นที่ใต้ดินหลายๆ จุดได้ว่ามีการใช้ซ้ำ คือเราจำได้เลยว่าเคยลงอุโมงค์นี้มาก่อน ทางเดินแบบเดียวกัน เลี้ยวจุดเดียวกันอะไรแบบนี้เป็นต้นครับ

เกมเพลย์หลักๆ นั้นจะเป็นการออกสำรวจ ทำเควส

ส่วนเรื่องของบรรยากาศภายในเกมนั้นก็ทำออกมาได้ดี ทั้งกลางวัน กลางคืน รวมไปถึงพื้นที่ผิดปกติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอากาศหนาว ร้อน พื้นที่รังสี หรือฝนตกเป็นต้น บรรยากาศทำได้ค่อนข้างถึง แต่ส่วนตัวผมเจอบัคแปลกๆ อยู่คือเวลาเข้าพื้นที่แคบๆ อย่างลิฟต์ ห้องเซฟ จะมีฝนตก แต่ออกมาข้างนอกก็หยุดตกอะไรแบบนี้

เกมเพลย์
ก่อนหน้าผมมีพูดถึงเกมบางเกมอย่าง Witcher 3 / Zelda Breath of the Wild และ Devil May Cry ใช่ครับ เมื่อคุณเล่น Biomutant ไปสักพัก คุณจะนึกถึงส่วนผสมของเกมเหล่านี้อย่างแน่นอน เกมเพลย์หลักๆ นั้นจะเป็นการออกสำรวจ ทำเควส ซึ่งมีทั้งเควสหลักและเควสย่อย การต่อสู้จะเป็นแนว Hack and Slash ซึ่งก็มีตั้งแต่มือเปล่า อาวุธระยะประชิด ซึ่งแยกย่อยออกไปได้อีก เช่น อาวุธมือเดียว สองมือ ค้อน เป็นต้น โดยแต่ละอาวุธนั้นก็จะมีท่าพิเศษที่แตกต่างกันออกไป ส่วนอาวุธระยะไกลก็จะมีปืนพก ปืน Rifle ปืน Shotgun และแน่นอนว่าอาวุธระยะไกลเหล่านี้ก็จะมีท่าพิเศษแยกให้สำหรับใช้ทำคอมโบ

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้เล่นโจมตีศัตรูได้ก็คือเวทมนตร์ หรือที่ในเกมเรียกว่า Psi-Powers ซึ่งเวทมนตร์เหล่านี้จะต้องใช้แต้มเฉพาะในการปลดล็อค และจะถูกแบ่งออกเป็น 2 สายตาม Aura ของเราคือ Light และ Dark เงื่อนไขของการปลดล็อคก็คือผู้เล่นจะต้องทำการเก็บแต้ม Psi-Point ให้เพียงพอ รวมไปถึงมีค่า Light และ Dark ให้ถึงเกณฑ์ด้วย โดยการที่จะได้มาซึ่งแต้ม Psi-Point นั้นมีหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินชะตากรรมของสัตว์เล็กสัตว์น้อย เก็บจากจุดทำพิธี หรือการตัดสินใจจากการตอบคำถามทั้งเควสย่อยและเควสหลัก

โดยแต่ละอาวุธนั้นก็จะมีท่าพิเศษที่แตกต่างกันออกไป

พูดง่ายๆ ก็คือเหมือนค่าความดีความชั่วใน Fallout บางภาคนั่นล่ะครับ เพียงแต่ว่าใน Biomutant จะมีเหตุการณ์หรือการตัดสินใจเพื่อเก็บแต้มนี้อยู่เยอะมากและไม่ได้ลึกเท่า ไม่มีการที่ผู้เล่นจะโดนเกลียดจาก NPC จนทำให้เข้าถึงอะไรบางอย่างไม่ได้เหมือน Fallout ซึ่งจากที่ผมได้เล่นจบไปรอบ ผมทำแต้ม Aura ทั้ง Light และ Dark ทะลุ 50 ได้ทั้งคู่ และเวทมนตร์ก็ใช้ค่า Aura สูงสุดเพียง 30 เท่านั้น ผู้เล่นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องสายเวทมนตร์ อยากทำความชั่วก็ได้ อยากทำความดีก็ทำไป เพียงแต่ว่าค่า Aura นี้ จะมีผลต่อฉากจบสุดท้ายของเกม โดยค่าไหนมีเยอะกว่าจะยึดค่านั้นเป็นหลัก

นอกจากอาวุธทั้ง 2 ประเภทและเวทมนตร์แล้ว ผู้เล่นยังสามารถใช้ท่าพิเศษจากการกลายพันธุ์ได้ ซึ่งในเกมจะเรียกว่า Biogenetics โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นท่าที่ดูไม่ค่อยสวยงามหรือว่าเท่มากนักครับ อย่างเช่นเรียกเห็ดมาทำให้กระโดดสูงหรือปล่อยของเหลวออกจากร่างกายเป็นต้น ซึ่งผู้เล่นจะสามารถปลดล็อคได้จากการเก็บแต้ม Biopoint ที่จะอยู่ตามหลอดทดลองหรือศัตรูที่อยู่ในฐานนิวเคลียร์ โดยรวมแล้วสกิลจากหมวดนี้จะค่อนข้างเน้น Mobility หรือใช้เพื่อชงต่อคอมโบในการต่อสู้เป็นหลัก แถมด้วยข้อจำกัดของคีย์ลัดที่มีเพียง 4 ช่องและใช้ร่วมกันกับเวทมนตร์ ส่วนตัวผมจึงไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ ใช้อย่างมากก็แค่สกิลเดียว

ภารกิจต่างๆ ภายในเกมนี้มีเยอะมากทั้งภารกิจหลักและเสริม

ภารกิจต่างๆ ภายในเกมนี้มีเยอะมาก โดยเฉพาะเควสย่อย เยอะจนชนิดที่ว่า เล่นไป 40 ชั่วโมงก็ยังเหลืออีกเป็น 10 กว่าเควส ดังนั้นใครที่ชอบแวะเก็บเควสย่อยจนลืมเควสหลักนี่ผมบอกเลยว่าจุใจแน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ประเภทของเควสย่อยนั้นถือว่าเป็นอะไรที่ไม่ค่อยหลากหลายเท่าที่ควรครับ ส่วนใหญ่เป็นการออกค้นหาไอเทมดีๆ เช่นฆ่า Miniboss เพื่อเอากุญแจไปปลดห้องนิรภัย แถมกว่าครึ่งเป็นการออกเดินทางเพื่อแก้พัซเซิลจากอุปกรณ์ที่มนุษย์เหลือทิ้งไว้ เช่นไมโครเวฟ กีต้าร์ โทรศัพท์ หรือตู้เซฟ เป็นต้น ซึ่งไอ้พวกนี้มันมีเยอะมากเป็นสิบๆ อย่างเลยครับคุณ

และนี่ยังไม่รวมเหล่าบรรดาพัซเซิลที่ผู้เล่นต้องเจอเวลาลงใต้ดินจากเควสหลักและเควสย่อยอื่นๆ ที่วัตถุประสงค์แตกต่างกันออกไป บ้างฆ่าศัตรู บ้างหาไอเทมสำคัญ กว่า 80% ของเควสทั้งหมดในเกมมันจะมีพัซเซิลแฝงมาอยู่เสมอ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ท้าทายอะไรมาก เป็นการหมุนให้ตรงตามสีเสียเยอะ นานๆ ทีถึงจะเจอรูปแบบอื่น แต่ก็จะมีบ้างที่เป็นเควสเล็กๆ อย่างเช่นไปหาที่ออกกำลังกาย กดปุ่มที่ขึ้นมาเหมือน Quick time Event แล้วก็ได้ค่าประสบการณ์ตอบแทน และแทบทุกเควส ไม่ได้มีความท้าทายเลยแม้แต่น้อย แต่ไม่ท้าทายดีแล้วครับ เพราะมันเยอะมาก เยอะจริงๆ

ระบบการต่อสู้ที่เล่นได้สนุกเพลินๆ

ซึ่งสรุปโดยรวมแล้วบรรดาเควสย่อยของเกมนี้ถือว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างเสียเวลาพอสมควร มันไม่ได้เป็นเควสที่มีแรงจูงใจในการทำหรือเล่นแล้วประทับใจเหมือนกับ Witcher 3/Zelda BOTW หรือ Fallout มีน้อยเควสที่จะเป็นเรื่องราวให้เราได้ติดตามหรือรู้สึกว่าโลกนี้มันมีอะไรให้ค้นหา แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นการไปเจอ NPC และทำภารกิจให้เพื่อปลดล็อคพวกไอเทมดีๆ หรืออย่างพวก Mount และสัตว์ขี่ที่เป็น Quality of Life เสียมากกว่า แถมสัตว์ขี่บางตัวที่ปลดล็อคมาได้จากเควสหลัก ก็ยังเป็นการเปิดเควสย่อยอีกทาง และใช่ครับ มันเป็นการค้นหาไอเทมเพิ่มอีก ดังนั้นในหน้าเควสย่อยของคุณจะเต็มไปด้วยภารกิจการออกตามหาไอเทมต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก

การทำภารกิจใดๆ ก็ตามมักจะพาผู้เล่นไปยังสถานที่ต่างๆ โดยในแต่ละสถานที่ก็จะมีความแตกต่างกัน บางพื้นที่เป็นรังสี บางพื้นที่อากาศหนาว บางพื้นที่ร้อน ซึ่งแน่นอนว่าผู้เล่นจะต้องไปทำการเก็บชุดป้องกันมาเพื่อเข้าสถานที่นั้นๆ ใช่ครับ คล้ายกับ Zelda Breth of the Wild นั่นล่ะ เพียงแต่ว่าถ้าในช่วงหลัง ผู้เล่นทำการใช้แต้ม Biopoint เพิ่มการป้องกันธาตุเหล่านั้นขึ้นมาก็จะสามารถเข้าพื้นที่นั้นได้โดยที่ไม่ต้องใส่ชุด หรือทำให้ % มันลดลง

ท่าทางเจ้าตัวนี้จะล้มยากแฮะ

แต่ละพื้นที่จะมีเป้าหมายให้เก็บไอเทมให้ครบ ไม่ว่าจะเป็น Totem วัตถุดิบ หรือศัตรูคุมถิ่น และการ Loot ของแรร์ ซึ่งเล่นแรกๆ เราก็ตื่นเต้นอยู่หรอกครับกับการสำรวจตามบ้านตามอาคารเพื่อหาไอเทมดีๆ และพอเห็นช่องด้านซ้ายว่าเรายังเก็บทุกอย่างในพื้นที่นี้ไม่ครบก็จะเกิดความรู้สึกท้าทาย เห้ย เราต้องเก็บให้ครบสิถึงจะเจ๋ง ผมสารภาพว่าประมาณ 10 ชั่วโมงแรกผมก็เก็บครบอยู่ครับ ผ่านมาสักพักคือช่างมันแล้ว เพราะบางพื้นที่นั้นต้องบอกว่างงตาแตกจริงๆ คือผู้พัฒนานี่ขยันหาที่ซ่อนไอเทมกันโคตรๆ บางจุดนี่หาแทบตายกว่าจะเจอเพราะพื้นที่มันใหญ่และมีหลายชั้น หลังๆ ผมเทเลยครับ เพราะถ้าจะเก็บให้ครบทุกพื้นที่จริงๆ นี่อาจจะใช้เวลามากกว่า 50 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำเลยก็ว่าได้

พื้นที่และภารกิจมีความหลากหลาย

แต่ถึงแม้ว่าภารกิจภายในเกมจะดูไม่ค่อยหลากหลายและซ้ำซาก แต่สิ่งที่ทำให้มันสนุกก็คือภารกิจหลักครับ อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่าตัวเกมนั้นเน้นเล่าเรื่องแบบง่ายๆ โอเค มีต้นไม้โลก มีภัยคุกคาม และเราจะต้องไปจัดการบอสใหญ่ทั้ง 4 ตัว แถมยังมีปัญหาเรื่องเผ่าอีก โดยการยึดเผ่าแต่ละเผ่านั้นก็จะเป็นการบุกเข้าไป เกมเพลย์แต่ละรอบก็จะแตกต่างกัน และจะมีการเจรจาอยู่ในเควสหลักยึดฐานของแต่ละเผ่านี้ด้วย ทำให้เกมเพลย์มันดูแตกต่างจากเควสย่อยที่เน้นหาไอเทม แถมเมื่อยึดได้ครบ เราก็จะได้ไอเทมพิเศษมาใช้อีก ส่วนบอสใหญ่ทั้ง 4 ของเกมนั้นก็จะมีวิธีการต่อสู้ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง บางตัวใช้เรือ บางตัวใช้หุ่นเป็นต้น ก็ถือว่าเป็นอะไรที่แก้เบื่อจาก Combat ปกติที่เจอมาตลอดทั้งเกมได้ดีพอสมควร

สภาพแวดล้อมสวยงาม

สุดท้ายกับระบบการ Craft ตัวเกมนั้นให้อิสระกับผู้เล่นเยอะมากๆ ในการสร้างไอเทม ทั้งอาวุธประชิด ระยะไกล และชุดเกราะ แถมถ้าหากผู้เล่นชอบไอเทมชิ้นไหนไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือคุณสมบัติของมัน ก็สามารถอัพเกรดระดับขั้นของมันจนถึงสูงสุดได้ เช่นได้มาในระดับ Rare ก็สามารถอัพเกรดขึ้นไปเป็น Legendary และเหนือกว่านั้นได้อีก แถมยังใส่ Addon หรือ Option เสริมเพิ่มได้ด้วย ซึ่งข้อดีของระบบนี้ก็คือเมื่อผู้เล่นได้อาวุธดีๆ มาชิ้นหนึ่ง แต่ยังรู้สึกไม่พอใจ ก็สามารถย่อยออกมาและประกอบใหม่ โดยถ้าเป็นอาวุธระยะประชิดก็อาจจะเปลี่ยนด้ามจับเป็นชิ้นที่ต้องการ หรือพวกปืนก็เปลี่ยนลำกล้องหรือ Magazine เป็นต้น หรือถ้าไม่ได้อยากได้อาวุธชิ้นนั้นก็ย่อนทิ้งเหลือเป็นเพียงวัตถุดิบก็ยังทำได้

เจ้าน่ะ หัดแปรงฟันบางนะ

สรุปส่งท้าย
Biomutant เป็นเกมที่ผมเล่นแล้วค่อนข้างประทับใจในอะไรหลายๆ อย่าง ทั้ง Performance วิธีการเล่าเรื่องและระบบเกมเพลย์ที่สามารถเล่นได้เพลิน ฉากจบที่มีมากกว่าหนึ่งแบบ ทั้งหมดทั้งมวลมันคือการหยิบข้อดีต่างๆ ของเกม Openworld ระดับขึ้นหิ้งมารวมเป็นเกมนี้ที่มีพื้นเรื่องเป็นโลกที่มีแต่สัตว์หน้าขน แถมตัวเกมยังมีคุณค่าในการเล่นซ้ำด้วยระบบ Newgame+ ที่เริ่มเกมมาจะมีความไม่เหมือนเดิมในบางจุด แถมยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้ลองเปลี่ยน Aura อีกสายเพื่อพบกับฉากจบอีกแบบด้วย เสียดายอย่างเดียวคือระบบหลายอย่างยังลึกไม่พอและเควสย่อยที่ซ้ำซากไปหน่อย ดังนั้นจึงขอให้คะแนนเกมนี้ไปที่ 8 คะแนนครับ มันคือเกมที่ทำให้คุณอยู่กับมันได้หลายสิบชั่วโมง เหมาะกับคนที่ชอบเสพบรรยากาศ อ่านและฟังบทสนทนาสไตล์นิทาน มีแทบทุกสิ่งอย่างที่เกมโลกเปิดเกมหนึ่งจะมีให้ได้ และเป็นเกมเมอร์ที่ไม่ได้ต้องการความท้าทายอะไรมากนัก เน้นเล่นเพลินๆ เสียมากกว่า

คะแนน 8/10

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้