Meta สิ่งที่ทำให้เกมสนุกน้อยลง แต่ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในเกือบทุกเกม

หากคุณเป็นคนเล่นเกมในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเกมแนวไหนก็ตาม ก็อาจจะเคยได้ยินคำว่า Meta กันมาบ้าง ซึ่งความหมายเต็มๆ ของมันก็คือ “most effective tactics available” ที่แปลได้ตรงตัวว่า “เทคนิคที่ได้ผลดีที่สุด” โดยคำนี้เริ่มใช้กันแพร่หลายให้เห็นในเกมหลายประเภทมากมายในปัจจุบัน

จุดกำเนิดของ Meta

คำว่าเมต้าแม้จะเริ่มมาฮิตใช้ในช่วง 4-5 ปี ที่ผ่านมาอย่างแพร่หลาย แต่แท้จริงคำนี้ได้ถูกใช้มานานมากแล้ว และถึงแม้จะไม่ได้ถูกเรียกโดยตรง แต่ความหมายของเมต้าก็มีอยู่ในเกือบจะทุกเกมแทบจะทั้งหมด เพียงแต่จะเด่นชัดมากที่สุดในเกมที่มีเรื่องของ “การแข่งขัน” เข้ามาเกี่ยวข้องเสียมากกว่า

เกม Starcraft กับเมต้า Zerg Rush ที่กลายเป็นคำยอดฮิตจนถึงปัจจุบัน

“เทคนิคที่ได้ผลดีที่สุด” นั่นทำให้เมต้ามีอยู่ในทุกเกมขึ้นอยู่กับว่าเป้าหมายของเรานั้นต้องการอะไร ต่อให้เป็นเกมปลูกผักอย่าง Harvest Moon หรือ Stardew Valley ก็มีเมต้าด้วยเหมือนกัน เช่น วิธีการทำกำไรที่ดีที่สุดควรลงทุนกับการปลูกต้นไม้ชนิดไหน เป็นต้น


Meta คือความไม่บาลานซ์ของเกม

ความบาลานซ์ของแนวทางในการเล่นเกม เป็นสิ่งที่ผู้พัฒนาเกมต้องออกแบบมาให้ดีที่สุด แต่ต่อให้พยายามมากแค่ไหน ก็เป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้เกิดการบาลานซ์ได้แบบ 100% (ขนาดเกมอยากหมากรุกในระดับสูงผู้เล่นสีขาวที่ได้เริ่มก่อนก็มีโอกาสชนะมากกว่า) ทำได้แค่เพียงทำให้ความแตกต่างในแต่ละรูปแบบการเล่น มีผลน้อยที่สุดเท่านั้น

หมากรุกที่แม้จะดูบาลานซ์ แต่หมากสีขาวที่ได้เดินก่อนมี % ชนะที่มากกว่าเสมอ จากการเก็บสถิติมาตั้งแต่ปี 1851

เกมอย่าง Nioh 2 เป็นหนึ่งในเกมที่ผู้เล่นสามารถเลือกแนวทางการเล่นได้มากมายหลากหลาย แต่ตัวเกมกลับมีบาลานซ์ที่แย่มาก ในขณะที่อาวุธบางชนิดเล่นยากอย่างมาก แต่บางสายการเล่นกลับเล่นง่ายอย่างน่าตกใจ แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความที่เกมเป็นรูปแบบ Single Player และ Co-op ทำให้ผู้เล่นสามารถเลือกรูปแบบการเล่นที่ตนเองพึงพอใจได้

เมต้าบางอย่างที่ดีจนเกินไป จะถูกเรียกว่า OP (Overpowered) แทน

Meta กับเกมที่เน้นการแข่งขัน

แม้ในเกมแบบ Single Player หรือเกม Co-op เมต้าจะไม่ก่อให้เกิดปัญหามากนัก แต่ในเกมที่มีการแข่งขันเป็นหลัก เช่นแนว Fighting, Moba หรือ Shooting นั้น เมต้าถือเป็นเรื่องที่ก่อปัญหาต่างๆ ได้มากมาย โดยเฉพาะตัวเกมที่ขาดบาลานซ์ตรงจุดนี้มากเกินไป

เกมไฟท์ติ้งอย่าง Naruto Shippuden Ultimate Ninja Storm เป็นหนึ่งในเกมที่เคยฮิตมากในโซนยุโรปและอเมริกา แต่ด้วยความไม่บาลานซ์หลายๆ อย่างของตัวเกม ทำให้เหล่าผู้เล่นต้องใช้วิธี “งดเล่น” ตัวที่โกงเกินไปกันเอง หากใครที่จับตัวเหล่านั้นมาเล่นก็มักจะถูกแซะว่าเป็นพวก “Tryhard” หรือคนที่ “อยากชนะจนเกินไป” หรือหากใกล้ตัวกว่านี้หน่อย ก็จะเป็นเกมอย่าง Tekken 7 กับตัวละคร Leroy Smith ที่เก่งเกินไปจนมีแต่คนเล่นในการแข่งขัน


Meta ตัวการที่ทำให้ความสนุกของเกมหายไป

หากใครที่เคยเล่น Overwatch สมัยที่เกมเปิดใหม่ๆ ก็คงสนุกสนานกับการเลือกตัวที่อยากเล่น ทีม Comp ที่จะเป็นยังไงก็ได้ แต่หากมองมาในยุคนี้ที่การเล่น Overwatch แทบทุกเกมจะเป็นเมต้าเกือบจะทั้งหมดโดยเฉพาะในการเล่นแบบแรงค์ที่เป้าหมายคือชัยชนะ หากคุณไม่เล่นตัวที่เมต้าในขณะนั้น นอกจากจะโดนทีมฝั่งตรงข้ามถล่ม ก็ยังมีสิทธิ์โดนตั้งคำถามจากทีมเดียวกันอีกว่าทำไมไม่เล่นตัวที่ “ดีกว่านี้” ซึ่งสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะฝืนขนาดไหน การต้องปรับตัวเข้าเมต้าก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หากยังคิดที่จะเล่นเกมนี้ต่อไป และสุดท้ายความหลากหลายของเกมก็จะค่อยๆ หายไปตามกาลเวลา

สิ่งที่ผู้พัฒนาสามารถทำได้ดีที่สุดก็คือการปรับบาลานซ์ตัวเกม แต่ต่อให้ปรับยังไงเหล่าผู้เล่นที่กระหายในชัยชนะก็จะหาเมต้าใหม่ๆ มาเสมอ และสุดท้ายตัวเกมก็จะวนเข้าสู่วัฐจักรเดิมอยู่ดี ซึ่งผู้เล่นก็ต้องเลือกว่าจะเข้าร่วมเมต้าเพื่อชัยชนะหรือจะยอมเล่นตัวที่เราชอบต่อไปแม้จะพ่ายแพ้ก็ตาม


หากคุณเป็นผู้เล่นที่อยู่ในระดับทั่วไป ไม่ได้มีความสามารถสูงที่โดดเด่นกว่าคนอื่น ถ้าอยากที่จะชนะก็ต้องพึ่งเมต้าเป็นหลัก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่อย่างใดหากสิ่งนั้นยังอยู่ในขอบเขตที่ไม่ได้ผิดหลักของตัวเกม รวมไปถึงการไม่เล่นในเมต้าก็ไม่ผิดเช่นกัน (ยกเว้นเกมเล่นเป็นทีมก็ต้องดูเป้าหมายของเพื่อนในทีมด้วยว่าเล่นเพื่ออะไร) แต่สุดท้ายเกมแต่ละเกมก็จะมีกระแสของเมต้าที่ไม่ว่าเราจะเล่นแบบไหนก็ต้องมีการปรับตัวตามไม่มากหรือน้อยเสมอ

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้