Assassin's Creed: Valhalla - Hands on การกลับมาของภราดรมือสังหารที่คิดถึง
Assassin's Creed: Valhalla - Hands on การกลับมาของภราดรมือสังหารที่คิดถึง - Assassin's Creed Valhalla คือหนึ่งในเกมที่ผมรอคอยมากที่สุดของปีนี้ ด้วยเพราะว่าผมเองก็เป็นแฟนเกมของ AC ชนิดตัวยง แถมการที่มันเว้นวรรคไป 1 ปีเต็มๆ ก็ยิ่งทำให้ความอยากเสพที่มีต่อเกมนี้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี (ยํ้ากันอีกครั้งว่าผมเป็นประเภทที่ไม่ขัดหาก AC จะกลับมาปล่อยเกมเป็นรายปี) ดังนั้นแล้วผมจึงค่อนข้างตื่นเต้นกับการเข้าร่วมทดสอบเกมครั้งนี้มาก
อย่างไรก็ตามผมก็คงไม่ได้หวังว่าจะได้เล่นเกมในบิลด์ที่สมบูรณ์พร้อมขายแล้ว เพราะยังเหลือเวลาอีกหลายเดือนกว่าจะถึงกำหนดวางจำหน่าย ความยังไม่สมบูรณ์ของมันจึงเป็นอะไรที่ต้องทำใจล่วงหน้า และผมจะไม่นำมาเป็นประเด็นนัก บทความกึ่งแฮนด์สออน (ไม่น่ากึ่งแหละ) ตัวนี้จะโฟกัสไปที่ความเปลี่ยนแปลง และสิ่งที่ตัวเกมพยายามจะนำเสนอครับ
ขอยํ้าอีกทีว่าตัวเกมยังคง Work in Progress และผมมีเวลาอยู่กับมันราวๆ 2 ชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น มันอาจจะไม่ได้ครอบคลุมอนเทนต์ทั้งหมดนัก ก็ต้องขออภัยล่วงหน้าครับ
เริ่มต้นเดโมเราจะได้เลือกเพศของ Eivor ก่อน เนื่องจากผมเลือกตัวเอกเป็นชายทุกภาคอยู่แล้วก็เลยเลือกผู้ชายไปตามธรรมเนียม มูฟวี่ช่วงต้นจะเล่าถึงสถานการณ์รวมๆ ว่าราชา Oswald แห่ง East-Anglia ผู้ปรารถนาให้ชาว Saxon และ Danes มีชีวิตร่วมกันอย่างสันติ ได้ถูกกลุ่มของ Rued สังหารลง ทำให้สันติภาพในภูมิภาคแถบนี้ถึงคราวสั่นคลอน พวกของ Eivor ซึ่งฝักฝ่ายในฟากของ Oswald จึงต้องหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อโค่น Rued ลงให้จงได้
นั่นเป็น Story Line หลักๆ ของเดโมตัวนี้ ซึ่งเมื่อเล่นจริงมันอาจจะใช่หรือไม่ใช่แบบนี้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับทางเลือกของเรา โดยเควสต์ส่วนใหญ่ในเดโมก็จะอยู่ใน Arc ของการโค่นล้ม Rued ตั้งแต่รวบรวมสมัครพรรคพวกไปจนถึงบุกปราสาทป้อมปราการครับ
บรรยากาศแถบเมืองชายฝั่งตะวันออกของอังกฤษในภาคนี้ให้อารมณ์ที่คล้ายคลึงกับบรรยากาศโดยรวมของ The Witcher เอามากๆ ไม่ว่าจะสภาพแวดล้อม แสงเงา หมอกควัน รวมไปถึงสถาปัตยกรรมสิ่งปลูกสร้างภายในเกม หากเทียบกับภาคก่อนหน้าอย่าง Odyssey ก็สามารถพูดได้ชัดเจนว่าแตกต่างเยอะ บรรยากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนนั้นสว่างกว่า ทัศนียภาพเคลียร์กว่าแบบไม่ต้องนำว่าพิจารณาให้เสียเวลา ในขณะที่ภาคนี้ดูอืมครึม มืดหม่น ชื้น ราวกับมีภัยซ่อนเร้นอยู่ตลอด ก็บรรยากาศแบบบริเต๊น บริเตนน่ะนะ
แต่นอกจากป่าและทุ่งหญ้า ภูมิประเทศภายในเกมยังมีชายทะเลรวมถึงลำธารทอดผ่านในหลายพื้นที่ ทำให้การล่อง Long Boat ดูจะเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางที่สำคัญมากๆ ในเกมเพราะสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็ว และหลายๆ ครั้งเราก็ไม่ต้องอ้อมด้วย เพื่อเพิ่มความสะดวกและหลอมรวมการล่องเรือให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมากขึ้น ภาคนี้เราจึงสามารถเรียกเรือ Long Boat ได้เหมือนเรียกม้าเลย จัดว่าสะดวกขึ้นเยอะ
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือความโหดของคอมแบทที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่ามันจะยากกว่าเดิมหรือง่ายกว่าเก่า สิ่งที่เด่นชัดคือดีกรีความโหดดิบตามแบบฉบับของชาวไวกิ้ง ในภาคก่อนอาจมีท่าฟันรัวๆ ที่ดูรุนแรงอยู่ในที ทว่ากับภาคนี้ก็ได้มีการเพิ่ม Finished move ที่อุดมความ Bloodgore เข้ามา กล่าวคือมีการโดนฟันแล้วอวัยวะขาดฉับสร้างความสะใจได้อย่างแน่นอน อย่างที่ได้ลองได้เห็นก็คือแขนขาบินกันว่อนเลยทีเดียว
นอกจากความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น ตัวเลือกในการสนทนาก็ดูจะส่งผลมากขึ้นต่อตัวเกม เพราะในภารกิจหนึ่งผมเลือกจะไว้ชีวิตศัตรู และจากนั้นก็เจอศัตรูคนดังกล่าวบุกมาแก้แค้นในภายหลัง คือไม่แน่ใจว่าในเกมจริงตัวเลือกนี้จะมีเยอะไหมและส่งผลโดยรวมขนาดไหน แต่การทำให้เห็นภาพในแง่ "ผลของการตัดสินใจ" ที่ชัดเจนแบบนี้ ผมว่ามันโอเคเอามากๆ
มินิเกมก็เป็นอีกจุดที่เล่นสนุกไม่หยอก เช่นเดียวกับเควสต์รองหลายๆ ตัวที่น่าจะตัดอารมณ์กับเควสต์หลักได้เป็นอย่างดี อย่างเควสต์ตามหาแมว หรือเควสต์ 2 พี่น้องที่ได้ลองเล่นไป ก็ถือว่าทำมาได้น่าสนใจ ขอฮาๆ ตบเข่าฉาดแบบเควสต์ของเทสตาคลิสในภาคที่แล้วจะกราบกรานเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ก็มีภารกิจกำจัดบอสพลังเหนือมนุษย์ที่มีความแฟนตาซีเช่นเคย คงถูกใจสาวกสายลุยบอสอยู่ไม่น้อย
ในเดโมที่ได้ทดลองเราได้วิ่งเล่นอยู่ในเขตเพียงเขตเดียวเท่านั้น แต่ก็สัมผัสได้ถึงพื้นที่อันกว้างขวาง และหากเทียบกับภาคก่อนหน้าก็คงต้องบอกว่าพื้นที่ซึ่งเป็นผืนดินนั้นมีมากกว่า แถมเพียงเขตเดียวก็มีภูมิประเทศหลากหลายรูปแบบแล้ว น่าสนใจจริงๆ ว่าในเขตอื่นจะได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างไรเมื่อเกมเสร็จเรียบร้อย
ในภาพรวมคงต้องบอกว่าผมค่อนข้างพอใจในสิ่งที่พยายามแตกต่างจากภาคก่อนของ Valhalla แม้จะยังไม่สามารถบอกได้เต็มปากว่ามันจะดีกว่าในทุกๆอย่างหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ได้ใจในการพยายามลองทำอะไรใหม่ๆ ครับ และเมื่อถึงเวลาที้่มันวางจำหน่ายเมื่อไหร่ เราจะมารีวิวกันแบบจัดเต็มกว่านี้อย่างแน่นอน โดย Assassin's Creed: Valhalla มีกำหนดวางจำหน่าย 17 พฤศจิกายนนี้ครับ