Diablo 4 Demo [รีวิว] กลับสู่รากเหง้าความดาร์ค

แชร์เรื่องนี้:
Diablo 4 Demo [รีวิว] กลับสู่รากเหง้าความดาร์ค

Diablo 4 Demo [รีวิว] กลับสู่รากเหง้าความดาร์ค

Diablo1

  หลังจากที่ผมได้มีโอกาสได้ไปร่วมงาน Blizzcon 2019 ที่ Anaheim California สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 1 – 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็มีโอกาสได้ลองเล่น Demo เกมของ Blizzard หลายเกมที่มาเปิดตัวใหม่ หนึ่งในนั้นที่พลาดไม่ได้ก็คือ Diablo 4  วันนี้เลยจะมาแชร์ความรู้สึกหลังจากได้ลองสัมผัส Demo เกม RPG ภาคต่อที่ทั่วโลกรอคอยกัน (ไม่มีภาพประกอบตอนเล่น เพราะไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพใดๆ ขณะเล่นเลย)

Customize ตัวละครได้แล้ว!

Diablo3

    สิ่งแรกที่ต้องพูดถึง คือตัวละครหลักของเราที่สามารถตกแต่งรูปร่างหน้าตาได้บ้างแล้ว ไม่ได้จำกัดเหมือนภาคก่อนๆ ที่เลือกได้แค่เพศ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังมีให้เลือกเพียงแค่ Preset แต่ทางผู้พัฒนายืนยันในระหว่างสัมภาษณ์ว่าจะมีการอัพเดตการแต่งตัวละครเพิ่มเข้ามาอย่างแน่นอน แต่จะไม่ได้มากมายเท่ากับเกม RPG อื่นๆ อาจเป็นเพียงแค่แต่งทรงผมหรือสีผมจาก Preset เดิมที่มีอยู่แล้วเท่านั้น แต่แค่ได้ยินแค่นี้ก็เชื่อว่าแฟนๆ Diablo น่าจะยิ้มกันแล้ว อย่างน้อยตัวละครของเราก็จะแตกต่างจากคนอื่นในเซิร์ฟบ้าง

3 ตัวละคร เกมเพลย์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

Diablo2

  สามตัวละครแรกที่มีให้เล่นกันใน เดโม คือ Barbarian, Sorcerers และ Druid ซึ่งเป็นตัวละครที่แฟน Diablo รู้จักกันเป็นอย่างดี แน่นอนว่าผมเองได้ลองเล่นทั้ง 3 ตัวละครแล้ว ได้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีความสนุกในตัวเอง

Barbarian

Diablo6

    แข็งแรงดุดัน ฟันไม่เลี้ยง รูปแบบเน้นโจมตีระยะประชิดด้วยอาวุธหลากหลายชนิด มีสกิลกระโดดเข้าใส่ และข่มขวัญศัตรู ลูกเล่นคือการสะสมเกจความดุดัน ทำให้โจมตีได้เร็วขึ้นรื่อยๆ และมีสกิลที่ทำให้ตัวละครไม่โดนสถานะ ยืนฟันได้รัวๆ แบบไม่มีอะไรขัดจังหวะ บวกกับลูกเล่นใหม่อย่าง Armory ที่ทำให้สามารถถืออาวุธได้ถึง 4 ชนิด สลับกันใช้ตามสกิลที่กด ทำให้การเล่นดุเด็ดเผ็ดมัน กดกันแบบเมาส์แทบแตก โดยรวมเป็นอาชีพที่เล่นได้เดือดมากๆ สำหรับสายโจมตีระยะประชิด

Druid

Diablo7

    ผู้ควบคุมสัตว์ เป็นอาชีพที่ไม่คิดว่าจะเล่นได้สนุก แต่กลับโคตรสนุกและเท่มากๆ ตอนเป็นร่างมนุษย์ เขาคือนักเวทย์สายพื้นดินที่เน้นร่ายเวทย์แบบสภาพอากาศเช่นฟ้าผ่า พายุ เป็นเวทย์ที่เมื่อร่ายแล้วจะยังคงอยู่ในแมพสร้างความเสียหายไปเรื่อยๆ แต่ทีเด็ดอยู่ที่สกิลที่ทำให้เขากลายร่างเป็นสัตว์ เช่นการโจมตีธรรมดา เขาจะกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าสุดเท่ เข้าตะปบศัตรูแบบเลือดสาด หรือจะกลายร่างเป็นหมียักษ์เพื่อพุ่งชนก็ทำได้ ทำให้ Druid เป็นสายไฮบริดที่เล่นได้ทั้งเวทย์และ โจมตีใกล้ เล่นมันส์สุดๆ

Sorcerer

Diablo5

    นักเวทย์เต็มตัวที่เน้นไปที่สกิลเวทย์ธาตุต่างๆ ไฟฟ้า น้ำแข็ง ไฟ แต่จะต่างจาก Druid ตรงที่สกิลส่วนใหญ่จะเน้นไปที่เวทย์ระบุตัว ยิงแล้วยิงเลย ทีเด็ดคือการแสตคธาตุต่างๆ ที่กระทำใส่ศัตรู เช่นน้ำแข็ง เมื่อโดนศัตรูบ่อยๆ ก็จะทำให้ศัตรูแช่แช็งแล้วระเบิดเป็นเศษน้ำแข็งกระจายไปทั่ว สำหรับสายเวทย์แล้ว ยังไงก็ต้องชอบ แต่ส่วนตัวผมชอบ 2 อาชีพแรกมากกว่า

ความดาร์คทุกอณูกลับมาแล้ว!

Diablo8

    ในภาคนี้ ธีมของเกมจะกลับไปสู่รากเหง้าของ Diablo ที่เกมอื่นทำไม่ได้ นั่นคือความดาร์ค ความหม่นหมอง (ดาร์คขนาดต้องขึ้นคำเตือนว่า Trailer ไม่เหมาะกับเด็ก) ความดาร์คในที่นี่นำเสนอทั้งในเรื่องของบรรยากาศในเกมที่หม่นหมอง ถ้าเทียบกับภาค 3 แล้ว ภาคนี้ดูเป็นเกม Horror ไปเลย อนิเมชันการตาย เลือดที่นองพื้นดูน่าสยดสยอง ความรู้สึกใกล้เคียงกับภาค 2 มากกว่าภาค 3 กราฟิกทำออกมาได้สอดรับกับโทนของเกมมากๆ นอกจากความโหดเลือดสาดแล้ว ผู้พัฒนายังเสริมอีกว่า เกมจะให้บรรยากาศของความน่ากลัว และการเอาชีวิตรอด เพราะเนื้อเรื่องภาคนี้จะเกิดหลังจากภาค 3 หลาย 10 ปี โลกมนุษย์จะอยู่ในภาวะล่มสลาย เราจะไม่เห็นคนเดินไปเดินมาขวักไขว่ในเมืองแน่นอน ทุกพื้นที่จะเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง และอันตรายที่รอเอาชีวิตเราอยู่ และจากที่เห็นใน Trailer ว่าบอสของภาคนี้คือ Lilith พระแม่ผู้สร้าง Sanctuary ที่กำเนิดมาจากเลือด ดังนั้นคาดหวังได้เลยว่า ภาคนี้จะเต็มไปด้วยการนองเลือดแน่นอน

แผนที่ใหญ่ ไร้รอยต่อ

Diablo9

    แผนที่ของ Diablo 4 จะเปลี่ยนเป็นแบบไร้ร้อยต่อทอเต็มผืน ไม่มีจุดวาร์ปเข้าแผนที่ใหม่ให้ได้เห็นเลย ทั้งแผนที่จะรวมกันเป็นแผ่นเดียว แต่พวกดันเจี้ยนต่างๆ จะยังคงเป็นแบบสุ่มเหมือนเดิม และด้วยการที่แผนที่เป็นแบบแผ่นเดียวและบังคับเล่นออนไลน์ทุกคน ทำให้ระบบการเล่นจะแตกต่างจากภาค 3 นิดหน่อย เพราะรูปแบบแผนที่จะคงที่ แต่จะเปลี่ยนเป็น Event ที่จะสุ่มเกิดตามจุดต่างๆ แทน รวมถึง World Boss ที่ตัวใหญ่มากๆ ให้เราได้ร่วมสู้กับคนอื่นแบบเต็มที่ แต่ถ้าช่วงนั้นไม่มีอีเวนต์ World Boss ผู้เล่นในเซิร์ฟก็จะไม่เยอะมาก ให้ได้ความรู้สึกของ Survivor เต็มที่

ระบบรูน และ Talent 

Diablo10

    ระบบ Talent เพิ่มขึ้นมาเพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับผู้เล่นมากขึ้น แต้มอัพเกรตตัวละครจะแบ่งเป็น 2 อย่าง Skill และ Talent ตัว Talent จะทำให้เราเลือกสายที่อยากเล่นได้มากขึ้น โฟกัสในจุดที่เราถนัด ส่วนสกิลก็จะมีขั้นในการอัพเกรตให้สกิลที่อัพไปแล้วโหดขึ้นด้วย ส่วนคนที่อยากลองสกิลใหม่ แล้วไม่อยากเสียแต้มสกิลไป จะมีไอเทมชื่อ Skill Tome ให้เก็ม เพื่อลองอัพสกิลนั้นๆ ได้ ส่วนระบบรูนจะเปลี่ยนเป็นรูนแบบสองช่วง Cause กับ Effect เช่น รูน “เมื่อใช้ยาเพิ่มเลือดแล้ว...” บวกกับรูน “จะทำให้ความเร็วโจมตีเพิ่มขึ้น 10” เป็นระบบใหม่ที่ทำให้การเล่นยืดหยุ่นได้มากขึ้นพอตัว แต่ก็ต้องดูว่าพอถึงเวลาจริงๆ จะเวิร์คหรือเปล่า  

ความรู้สึกส่วนตัว

Diablo11

    หลังจากที่ได้เล่นแล้ว จากคนที่ไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Diablo มากนัก บอกเลยว่าอยากเล่นมากๆ บรรยากาศของเกม สกิล เกมเพลย์ต่างๆ มันถูกจริตมากๆ เหมือนได้เล่น Diablo แบบดาร์คแฟนตาซีเลือดสาดอีกครั้ง แถมระบบการเล่นต่างๆ ก็เข้าใจได้ไม่ยาก เล่นสนุกในแบบ RPG จริงๆ และเป็นความรู้สึกที่แฟน Diablo อยากจะสัมผัสมาเนิ่นนาน 10/10 ไปเล้ย อยากเล่นแล้วเว้ยยยย 

Diablo12

สำหรับทริปนี้ ผม JOKERJAM ในฐานะตัวแทนของทีมงาน Online Station ต้องขอขอบพระคุณทาง Blizzard Entertainment มา ณ ที่นี้ด้วยครับ สำหรับประสบการณ์ดีๆ ที่หาได้ยากยิ่ง

Diablo 4 Demo [รีวิว] กลับสู่รากเหง้าความดาร์ค

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ