แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, Switch และ PC (ทีมงานรีวิวจากเวอร์ชั่น PS4)
ผู้พัฒนา: ArtPlay, DICO และ WayForward Technologies
ย้อนไปราวๆ 20 ปีก่อน ณ เวลานั้นเกม Castlevania ที่เป็นหนึ่งในซีรีส์ที่โด่งดังของ Konami หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า “เกมแส้” กำลังได้รับความนิยมถึงขีดสุด เนื่องจากการเข้ามามีส่วมร่วมแบบเต็มตัวของคุณโคจิ อิการาชิ (Koji Igarashi) ที่ได้เปลี่ยนโฉมซีรีส์นี้จากหน้ามือเป็นหลังมือกับผลงานในภาค Symphony of the Night ด้วยการปรับจากเกมแนวแอ็กชั่นลุยด้านข้างธรรมดาที่มีความยากระดับปาจอย น้องๆ ซีรีส์มาไคมูระ มาผนวกเข้ากับองค์ประกอบบางอย่างของเกมแนว Action RPG ปรากฏว่าเกมดันดังเป็นพลุแตก และบุกเบิกแนวทางใหม่ๆ ให้แก่ซีรีส์นี้มาได้อีกหลายปี กระทั่งคุณอิการาชิได้ลาออกจาก Konami ไป แต่ยังไม่ละทิ้งความฝันที่จะทำเกมเพื่อแฟนๆ ที่เคยติดตามผลงานของเขามาตลอดดูอีกสักครั้ง จึงเปิดโปรเจ็กต์ระดมทุนพัฒนาเกม Bloodstained: Ritual of the Night ก่อนที่พวกเราจะได้มาเล่นกันในตอนนี้นั่นเอง
เนื้อเรื่อง
- เกมนี้เราจะได้สวมบทเป็น มิเรียม เด็กสาวกำพร้าที่ถูกนำตัวมาชุบเลี้ยงที่ภาคีของกลุ่มนักเล่นแร่แปรธาตุ และถูกนำตัวไปทดลองจนทำให้เธอมีพลังปีศาจ ก่อนจะถูกปลุกให้ตื่นโดย โจฮัน ซึ่งเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุผู้คิดต่างจากภาคี ที่ไม่ควรทำการใดๆ ให้มีปีศาจเกิดขึ้นบนโลกไปมากกว่านี้อีก และเพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจยึดครองโลก รวมทั้งหยุดคำสาปในร่างของมิเรียม เธอจึงบุกไปยังปราสาทปีศาจโดยมีเป้าหมายคือหยุดยั้งแผนร้ายของ จีเบล วายร้ายตัวสำคัญของเกมนี้
- ตัวเกมมีความยาวกำลังดี หากไม่เล่นตะบี้ตะบันคิดจะพุ่งไปหาฉากจบ แต่เน้นเสพพื้นที่แต่ละโซนให้ครบถ้วน จะอยู่ที่ราวๆ 10-15 ชั่วโมง
เกมเพลย์
- โครงสร้างหลักของระบบเกมเป็นการนำระบบของ Castlevania ภาค Symphony of the Night และภาค Aria of Sorrow มาประยุกต์ร่วมกัน โดยในส่วนของ Symphony คือจำพวกระบบสวมใส่อาวุธชุดป้องกัน ระบบร้านค้า ระบบเก็บเลเวลอัพค่าประสบการณ์จากการปราบศัตรู ที่เริ่มใช้ในภาคดังกล่าว ในขณะที่ภาค Aria of Sorrow คือการนำระบบโซลที่ดรอปจากการกำจัดศัตรูมาใช้ ซึ่งใน Bloodstained จะเป็นระบบที่ชื่อว่า Shard แทน
- Shard ในเกมจะมีให้เก็บอยู่หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น Shard ที่ติดตั้งเป็นสกิลต่อสู้, Shard ที่เป็นสกิลติดตัวและช่วยอำนวยความสะดวกในการไปยังพื้นที่บางจุดที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยวิธีปกติ, Shard ที่เป็นสกิลเล็งยิงไปยังทิศทางต่างๆ (บางสกิลใช้ยิงเพื่อเปิดทางได้ด้วย) และ Shard ที่เป็นภูตรับใช้ คอยช่วยสนับสนุนระหว่างต่อสู้ ซึ่งอัตราการดรอป Shard ของศัตรูก็ค่อนข้างง่ายพอสมควร ใช้เวลาฟาร์มไม่นาน (สมัยผู้เขียนเล่นภาค Aria of Sorrow เคยมีบางตัวตีวนอยู่หลายชั่วโมงก็ไม่ดรอป)
- Bloodstained มีการต่อยอดระบบ Shard ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้เล่นทำการอัพเกรดสกิลของ Shard แต่ละอันได้ การอัพเกรดแต่ละขั้นก็จะเพิ่มประสิทธิภาพของสกิลดังกล่าวไปเรื่อยๆ และสำหรับในหลายๆ สกิลที่มีให้ใช้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราอัพสกิลเหล่านั้นจนถึง Rank 9 สกิลของ Shard นั้นก็จะกลายสภาพเป็นสกิลถาวรที่อยู่ติดตัวเราทันทีโดยไม่ต้องสวมใส่ Shard นั้นเลย
- สิ่งที่เพิ่มมิติให้กับเกมอีกอย่างก็คือระบบเควสต์ โดยเควสต์ในเกมก็จะมีทั้งภารกิจไปปราบปีศาจตามที่ NPC ระบุ หรือไม่ก็ทำอาหารให้ NPC กิน หรือนำไอเทมที่ NPC ต้องการไปให้ ภาพรวมของระบบเควสต์เหมือนจะพื้นๆ (ซึ่งจริงๆ มันก็พื้นๆ แหละ) แต่ความดีงามของเควสต์ในเกมนี้คือเราไม่ต้องพะวงเรื่องเวลาในการเข้าไปรับเควสต์เหมือนเกมแนวโอเพ่นเวิลด์แต่อย่างใด เพราะเมื่อเราทำเควสต์ใดเควสต์หนึ่งเสร็จ เควสต์ใหม่ก็จะเปิดให้เรากดรับทำต่อได้ทันที และไอเทมหรือปีศาจที่เราต้องตามหา ก็จะผันแปรตามจำนวนเควสต์ที่เราทำเอง ยิ่งเราทำไปหลายเควสต์ สิ่งที่เราต้องหาก็จะอยู่ลึกไปตามเนื้อเรื่องเรื่อยๆ ไม่มีทางฟาร์มได้ครบทุกเควสต์ได้ตั้งแต่ไก่โห่แน่นอน
- ตลอดทั้งเกมเราจะได้เห็นมุกที่คุณอิการาชิและทีมผู้พัฒนาคนอื่นๆ นำมาใส่ตามจุดต่างๆ ไว้เพียบ บ้างก็เป็นมุกล้อเลียนหนังสยองขวัญ บ้างก็เป็นมุกล้อเลียนเกมอื่น บางอันก็ล้อเกม Castlevania ยุค 8-Bit หรือแม้แต่ชื่อโทรฟี่ / Achievement บางอันก็ยังล้อเลียนเกม Castlevania ภาคเก่าๆ ด้วย ทั้งหมดทั้งมวลเลยทำให้เกมดูมีสีสัน และเหมือนเป็นข้อความเชิงสัญลักษณ์ที่ทีมพัฒนาพยายามจะสื่อสารหาคนเล่นอยู่ตลอดเวลา
- เมื่อเล่นไปสักระยะ ผู้เล่นจะได้เข้าถึงระบบแต่งกายตัวละคร ซึ่งสอดคล้องและกลมกลืนกันดีกับเกมที่มีตัวเอกเป็นผู้หญิง ผู้เล่นสามารถปรับแต่งทรงผม สีผม สีชุดที่สวมใส่ได้อย่างอิสระ ทว่าทรงผม สีผม และสีชุดใหม่ๆ นั้นต้องไปหาเอาจากหีบสมบัติต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ในเกมเสียก่อน (NPC ที่รับแต่งกายตัวละครให้เรา ใครที่อายุเยอะหน่อยคงร้องอ๋อแน่นอนว่าเป็นมุกล้ออะไร)
- อาวุธในเกมมีให้เลือกใช้หลายประเภท ทั้งตีประชิดและปืนที่โจมตีระยะไกล ซึ่งอาวุธทุกประเภทก็จะมีท่าพิเศษประจำอาวุธประเภทนั้นๆ และสามารถเก็บค่าประสบการณ์ให้แต่ละท่าด้วยการนำท่านั้นไปใช้กับศัตรูบ่อยๆ นอกจากนี้อาวุธหลายอย่างก็จะมีเอฟเฟ็กต์พิเศษในการโจมตี บางอันตีแล้วติดธาตุ บางอันตีแล้วเป็นคลื่น ฯลฯ
- คนที่ซื้อเกมหลังวันที่ 18 มิถุนายนเป็นต้นมา น่าจะเบาใจเรื่องปัญหาบั๊กในเกมได้แล้วครับ เพราะมีการอัพเดตแพตช์ 1.02 เพื่อแก้ไขบั๊กไปเยอะเลย
- จุดที่เกมใช้เวลาในการโหลดจริงๆ จะมีแค่ตอนโหลดเซฟเข้าเกม ซึ่งไม่นานเลย (ผู้เขียนเล่นบน PS4 Pro) นอกนั้นเวลาเดินเข้าห้องต่างๆ ก็แทบไม่มีการโหลดเกิดขึ้น แทบทุกฉากดูเชื่อมกันได้อย่างแนบเนียน
กราฟิกและการนำเสนอ
- งานภาพถ้านึกถึงเกมแนวใกล้เคียงกัน จะขอเทียบกับ Castlevania: Lords of Shadow – Mirror of Fate (ที่เคยลงในยุค PS3) ละกันครับ เนื่องจากเป็นสไตล์ลุย 2.5D เหมือนกัน แต่ Bloodstained จะมีการดีไซน์ฉากที่ดูแล้วมีชีวิตชีวามากกว่า และมีการใส่ลูกเล่นลงไปในฉากที่เยอะกว่าด้วย
- เพลงประกอบในเกมมีความไพเราะ ตามลายเซ็นคุณมิจิรุ ยามาเนะ ผู้ที่เคยแต่งเพลงให้กับเกม Castlevania มาแล้วหลายภาค ซึ่งเพลงส่วนใหญ่ทำมาเข้ากับธีมของฉาก มีความขลังและชวนรู้สึกอยากสำรวจพื้นที่ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
จุดเด่น
- เกมนี้ทำมาเพื่อเอาใจสาวก Castlevania ในยุค Metroidvania มาก (แนวแอ็กชั่นลุยด้านข้าง + องค์ประกอบความเป็นแอ็กชั่นผสม RPG) และยังเป็นการนำระบบจากบางภาคที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดมาต่อยอดใหม่ได้ดีด้วย
- ซาวด์ประกอบทำออกมาได้ดี ชวนรำลึกความหลังและบรรยากาศเมื่อครั้งที่เคยหยิบ Castlevania ภาค Symphony of the Night และ Aria of Sorrow มาเล่น
- ดีไซน์ของฉากมีความสวยงาม และจัดวางตำแหน่งแต่ละโซนได้เหมาะสม ตลอดจนศัตรูแต่ละตัวดูมีเอกลักษณ์ที่น่าจดจำ
- ระหว่างเกมเราจะได้เจอมุกต่างๆ ที่ผู้พัฒนาแอบใส่เข้ามาเป็นระยะ โดยมุกพวกนี้ล้วนเป็น Easter Egg ที่เราเห็นปุ๊บก็นึกถึงผลงานและวันวานเก่าๆ ของทีมสร้าง Castlevania มิหนำซ้ำยังมีอีกหลายมุกที่ล้อเลียนภาพยนตร์คลาสสิคเมื่อหลายสิบปีก่อน รวมถึงมุกล้อเลียนเกมอื่นบางเกมด้วยเช่นกัน
- ระบบแต่งตัวและทรงผมให้กับตัวละครถือเป็นอีกสีสันที่ช่วยให้เรามีอะไรทำกับเกมนี้มากขึ้นเป็นกอง
- ทุกเควสต์ของเกมไม่ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขของเวลา ส่วนใหญ่ถ้าไม่หาวัตถุดิบไปให้ NPC ก็เพียงแค่ปราบศัตรูให้ตรงตามชนิดที่ NPC ต้องการ แถมพอจบเควสต์นึงไปปุ๊บ เควสต์ชุดใหม่ก็จะเปิดให้เรารับทำต่อได้ทันที ไม่จำเป็นต้องเล่นไปถึงจุดหนึ่งก่อนแล้วจึงจะรับเควสต์ได้
จุดด้อย
- ตัวเกมยังพบเห็นบั๊กอยู่บ้างประปราย แม้ว่าจะมีการออกแพตช์แก้ไขไปเยอะแล้วก็ตาม
- เนื่องจากโครงสร้างของเกมเป็นการนำอดีตผลงานของผู้พัฒนามาขัดเกลาหรือปรับปรุงใหม่เกือบทั้งหมด ดังนั้นเนื้องานในเกมนี้จึงมีภาพของการใช้ความคิดริเริ่มในการสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้เห็นไม่มากนัก ด้วยเหตุนี้ Bloodstained เลยอาจจะมีจุดไม่ถูกใจสำหรับคนที่อยากเห็นอะไรที่สดใหม่ หรือคาดหวังว่าจะได้เจออะไรที่เบิกโลกสำหรับยุคปัจจุบัน
- ในกรณีที่เป็นบทสนทนาของตัวละครที่มีหลายบรรทัด จะพบเห็นปัญหาตัวอักษรตกหรือเลื่อนลงไปยังบรรทัดล่างสุดเร็วเกินไป ทำให้คนที่เพิ่งอ่านบรรทัดแรกๆ อยู่จะอ่านไม่ทันกัน
สรุป
- ถ้าถามความเห็นของตัวผู้เขียนเอง คงบอกได้เต็มปากว่านี่คือ 1 ในบรรดาเกมเปิดระดมทุนพัฒนาที่ทำออกมาได้ใกล้เคียงความคาดหวังของแฟนที่สุดแล้วครับ จะมีสักกี่เกมที่ผู้พัฒนาทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับแฟนๆ ที่ติดตามผลงานได้แทบจะครบถ้วนขนาดนี้ ใครที่เกิดไม่ทัน Castlevania ยุครุ่งเรือง ลองจับเกมนี้ดูแล้วเผลอๆ จะอยากกลับไปขวนขวายหา Castlevania ภาคที่เป็นแนว Metroidvania มาเล่นเชียวล่ะ