ปล่อยออกมาให้ได้เล่นกันสักพักแล้วสำหรับ World War Z ในแบบฉบับของเกม ซึ่งหากใครเคยดูหนังมาก่อนก็คงรู้จักกันเป็นอย่างดีกับฉากเด็ดที่ซอมบี้ไต่ตัวเองต่อกันเป็นพีระมิดเพื่อขึ้นที่สูง ซึ่งก็เป็นจุดขายในเกมด้วยเช่นกัน กับเหล่าฝูงซอมบี้ที่มากันเยอะมากและพร้อมที่จะถาโถมเข้าใส่คุณ โดยตัวเกมนี้จะมีทั้งใน PS4, Xbox One และ PC ที่ลงใน Epic Game Store (จะตัดเรื่องประเด็น Launcher ไม่พูดถึงนะครับ) งานนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าเกม World War Z นี้มีความคุ้มค่าที่จะซื้อหรือไม่
ธีมการเล่นที่มาจาก Left 4 Dead
เพียงแค่เริ่มด่านแรกใน Word War Z ซึ่งหนึ่งที่แว๊บเข้ามาในหัวทันทีเลยก็คือ “นี่มัน Left 4 Dead ชัดๆ” เพราะตั้งแต่ Intro การเข้าด่านก็มีกลิ่นอายความเป็น Left 4 Dead อยู่เต็มๆ แถมภายในเกมก็มีเหล่าซอมบี้พิเศษที่คล้ายคลึงกับ L4D อย่างมาก เช่น Bull ซอมบี้ใส่ชุดเกราะที่วิ่งชาร์ตชนเราได้ คล้ายกับ Charger, Lurker ที่จะคอยแอบมาตะครุบผู้เล่นคล้ายกับ Hunter รวมไปถึงซอมบี้ที่เรายิงตายแล้วจะมีพิษออกมารอบตัวและซอมบี้ที่สามารถตะโกนเรียกซอมบี้อื่นๆ มาด้วย ซึ่งความคล้ายคลึงนี้ทำให้เหล่าผู้เล่นที่ถวิลหา Left 4 Dead 3 ควรเข้ามาลิ้มลองการลุยซอมบี้ใน World War Z พอสมควร
ฉากเปิดตัวด่านแรกที่ความเป็น Left 4 Dead แว๊บเข้ามาในหัวทันที
ความตื่นตะลึงของฝูงซอมบี้ที่ชวนตื่นเต้น
แน่นอนว่าจุดขายของ World War Z ก็เป็นเรื่องของฝูงซอมบี้ที่วิ่งเข้ามาเป็นร้อยเป็นพันตัวในคราวเดียว และก่อตัวเป็นพีระมิดไต่ขึ้นมาในจุดพื้นที่สูงต่างๆ ซึ่งตรงจุดนี้ก็ขอบอกเลยว่าประทับใจมากในหลายๆ ฉากที่เหล่าฝูงซอมบี้วิ่งทะลักทลายกันเข้ามา แต่ในความเจ๋งนั้นก็ทำให้เกมง่ายขึ้นไปด้วย เพราะเหล่าฝูงซอมบี้ที่วิ่งไปกระจุกกันทีเดียว ทำให้เราสามารถปาระเบิดดักไปตรงนั้นแบบง่ายๆ เช่นกัน หากเรามีทีมที่วางแผนการเล่นดีๆ ก็สามารถผ่านจุดเหล่านั้นไปได้ไม่ยากเย็นเท่าไหร่นัก
ภาพของฝูงซอมบี้ที่บุกเข้ามาออย่างไม่หยุดยั้ง ก็ทำให้เกมดูเจ๋งขึ้นมากเลยทีเดียว
Class ตัวละครและการอัพปืนที่ทำให้เกมง่ายขึ้น
จุดที่แตกต่างสำหรับเกม World War Z เมื่อเทียบกับ Left 4 Dead ก็คือเรื่องของ Class ตัวละคร และระบบอัพเกรดปืน ซึ่งยิ่งเล่นไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้เกมง่ายขึ้น และในหลายๆ สกิลหากเราดวงดีก็จะทำให้เกมนั้นๆ ง่ายขึ้นมาก เช่นสกิลที่มีโอกาส 25% ที่จะใช้อุปกรณ์ป้องกันซ้ำได้อีกครั้ง (เคยลองใช้กับป้อมปืนอัตโนมัติแล้วสกิลทำงานติดต่อกัน 3 ที ทำให้สามารถวางป้อมปืนได้รอบพื้นที่) ทำให้เราต้องปรับระดับความยากขึ้นไปเรื่อยๆ ตามระดับเลเวลของเราที่มี (ไม่อย่างนั้นเกมจะง่ายเกินไป) รวมไปถึงปืนบางชนิดที่เมื่ออัพเกรดจนเต็มก็จะดีมากกว่าเดิมเช่นกัน ต่างจาก Left 4 Dead ที่ของทุกอย่างไม่สามารถอัพเกรดได้และการเพิ่มระดับความยากในฉากคือการที่ผู้เล่นจะต้องพัฒนาฝีมือส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งทั้งสองแบบก็มีข้อดีและข้อเสียต่างกันสุดแล้วแต่คนจะชอบ
ระบบ Class และปืน ที่ทำให้เกมง่ายขึ้นเมื่อเราเล่นไปเรื่อยๆ
ความหลากหลายของศัตรูที่น้อยกว่าของ World War Z เมื่อเทียบกับ Left 4 Dead
แม้ใน Wordl War Z จะมีระบบ Class มาช่วยเพิ่มรูปแบบการเล่นของเรา แต่ความหลากหลายของศัตรูนั้นเมื่อเทียบกับ Left 4 Dead จะน้อยกว่ามาก โดยใน World War Z จะมีซอมบี้พิเศษเพียง 4 แบบเท่านั้น แต่ในฝั่งซีรีส์ของ Left 4 Dead นั้นมีถึง 9 ตัว โดยเฉพาะ Tank กับ Witch ที่การพบเจอจะช่วยสร้างความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ตรงจุดนี้ก็แอบทำให้เกม World War Z ดูจืดลงไปบ้าง เพราะตัวเกมก็มีแต่ซอมบี้แบบปกติทั่วไป ไม่ค่อยมีจุดที่น่าตื่นเต้นอารมณ์เจอบอสสักเท่าไหร่
ศัตรูพิเศษที่มีไม่หลากหลาย แถมซอมบี้ระดับบอสเก่งๆ ก็ไม่มีเลย ทำให้เกมชวนแอบจืดชืดเล็กน้อย
ด่านที่ให้ความรู้สึกค่อนข้างน้อยและสั้น
ในหนึ่งด่านของเกม World War Z ตกเฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 20-30 นาที ซึ่งในปัจจุบัน ก็มีเพียง 4 Campaign ซึ่งในแต่ละเนื้อเรื่องก็จะมีเพียง 3 ด่านเท่านั้น (ยกเว้นเนื้อเรื่องฝั่งญี่ปุ่นที่ปัจจุบันมีแค่ 2 ด่าน) ทำให้เล่นเพียง 1-2 วัน ก็จบหมดทุกฉากได้อย่างสบายๆ ตรงจุดนี้แม้จะมีส่วนของระบบ Class และการเก็บเลเวลปืนที่ทำให้การเล่นซ้ำลดความน่าเบื่อน้อยลง แต่ถ้าหากคุณเป็นคนไม่ชอบอะไรจำเจมากๆ การเล่นซ้ำใน World War Z ก็อาจจะไม่ค่อยน่าตื่นตาเท่ากับการเล่นครั้งแรกเท่าไหร่ คงได้แต่หวังว่าจะมีการอัพเดตเพิ่มเข้ามาในอนาคตให้ด่านมีมากขึ้นกว่านี้
ด่านที่มีไม่เยอะและสั้น ทำให้สามารถเล่นจบเกมได้ภายในเวลาไม่กี่ ชม.
ความประทับใจของฉากภายในเกมที่ทั้งดีและไม่ดี
ภายในเกม World War Z นั้นมี 4 Campaign ซึ่งในแต่ละเนื้อเรื่องก็จะแบ่งพื้นที่ในแต่ละประเทศไปเลย ได้แก่ New York, Jerusalem, Moscow และ Tokyo เป็นต้น โดยในฉากนั้นก็จะมีจุดที่เป็นพื้นที่กว้างไว้เห็นเหล่าฝูงซอมบี้ที่บุกมาหาเราได้ซึ่งดูเจ๋งมากๆ แต่สิ่งที่ทำให้ความรู้สึกน่าสนใจของแต่ละด่านหายไปก็คือความคาดหวังที่จะเห็นพื้นที่ Landmark ต่างๆ เช่น ด่าน Tokyo หากมีฉาก 5 แยกชิบูย่า หรือ Tokyo Sky Tree ก็คงจะดูเจ๋งกว่านี้ไม่น้อย กลับกันในแต่ละฉากกลับกลายเป็นพื้นที่ที่เราไม่รู้จักเลย (อย่างฉาก New York ก็มุดท่อรถไฟใต้ดินเสียส่วนใหญ่) แม้จะไม่มี Landmark สำคัญชวนให้ตื่นตา แต่ก็ถือว่าฉากออกแบบมาให้เรารู้ว่าอยู่ในประเทศนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี
ด่านที่จะทำออกมาดูแล้วรู้ว่าเป็นประเทศนั้นๆ แต่ขาด Landmark สำคัญๆ หรือจุดเด่นที่ทำให้น่าสนใจไป
โหมด Multiplayer แบบ PvP ที่ธรรมดา
นอกจากโหมด Co-op ผ่านด่านทั่วไปแล้ว ในเกม World War Z ยังมีโหมดมัลติเพลยเยอร์ที่มีอยู่ทั้งหมด 5 โหมดด้วยกัน แต่ถึงอย่างนั้นความแตกต่างในแต่ละโหมดก็ไม่มากเท่าไหร่เพราะพ้อยหลักก็คือการยิงศัตรูของเราอยู่ดี และในทุกๆ โหมดก็จะมีฉากซ้ำๆ กัน ทำให้ยิ่งไม่รู้สึกแตกต่างกันเท่าไหร่นัก จะมีกิมมิคที่ทำให้เป็น World War Z นั่นก็คือเหล่าฝูงซอมบี้ที่จะบุกเข้ามาในบางช่วงของเกมซึ่งมีในทุกโหมดตามเคย โดยส่วนตัวก็ต้องบอกว่าโหมดมัลติเพลยเยอร์นั้นไม่ได้มีอะไรโดดเด่นจนถึงขั้นน่าติดตาม แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นแย่ซะทั้งหมด
แม้จะมีหลากหลายโหมด แต่รูปแบบการเล่นไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่ และแต่ละด่านค่อนข้างเล็ก
ฝูงซอมบี้ที่จะคอยออกมาป่วนผู้เล่นภายในการเล่น PvP
สรุปโดยย่อๆ หากใครที่มองหาเกมผ่านด่านตะลุยฝูงซอมบี้ World War Z ก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่ทำออกมาในด้านนี้ได้ค่อนข้างดี ยิ่งหากใครที่อยากได้ประสบการณ์คล้ายๆ Left 4 Dead เกมนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์ได้พอสมควร แต่ในเรื่องของด่านกับความหลากหลายที่น้อยนั้น เมื่อเทียบราคาบน PC (Epic Game Store) ประมาณ 900 บาท และใน PS4 ราคา 1,200 บาท จะให้พูดว่าคุ้มราคาก็พูดได้ไม่เต็มปากแต่จะบอกว่าไม่คุ้มก็ดูจะเกินไป เรียกได้ว่าอยู่กึ่งกลางพอสมควรในจุดนี้ (ส่วนตัวมองว่าราคาบน Console แพงไปนิดเมื่อเทียบกับ Content)
หากคุณอยากหาเกมเล่นกับเพื่อนมันๆ เน้นยิงเยอะๆ ไม่ต้องคิดซับซ้อน และสามารถเล่นฉากเดิมวนซ้ำๆ ได้โดยไม่เบื่อง่าย World War Z ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ถ้าคุณคาดหวังเกมที่มีเนื้อหายาวอยากซื้อเล่นได้นานๆ เพื่อเสพเนื้อเรื่อง World War Z ก็ไม่ค่อยตอบโจทย์ตรงนี้สักเท่าไหร่ โดยรวมเป็นเกมแนวยิงซอมบี้ที่สนุกทีเดียว แต่ Content โดยเฉพาะเรื่องฉากนั้นน้อยไปนิด และควรเล่นกับเพื่อนเพราะสนุกมากกว่าเล่นคนเดียวหลายเท่าเลยทีเดียว
