รีวิว Far Cry New Dawn – เหมือนจะดี แต่ไปไม่สุด

Far Cry New Dawn

แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, PC (แพลตฟอร์มที่ใช้รีวิวคือ PS4)
ผู้พัฒนา: Ubisoft
ระยะเวลาที่ใช้ในการเล่นจนจบเกม: ประมาณ 10-12 ชม
ระยะเวลาที่ใช้ในการเล่นสำหรับคนที่ต้องการเก็บทุกรายละเอียด: 15-20 ชม.

Far Cry นั้นเป็นซีรีส์ที่อยู่คู่กับค่าย Ubisoft มานาน และเป็นอีกหนึ่งเกมเรือธงเช่นเดียวกับซีรีส์ Assassin’s Creed และทุกๆ ปีก็จะมีเกมในซีรีส์ Far Cry ออกมาให้เล่นกันปีละประมาณ 2 ภาค แบ่งเป็นภาคหลักหรือภาคที่มีตัวเลขตามหลัง และภาคสปินออฟที่อาจเป็นได้ทั้งภาคแยก ภาคใหม่ หรือภาคต่อ แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยครับที่ Far Cry ภาคสปินออฟมีเนื้อเรื่องต่อจากภาคหลักอีกที

เนื้อเรื่อง 

New Dawn จะดำเนินเรื่องต่อจากเหตุการณ์ใน Far Cry 5 ซึ่งตรงนี้จะขออนุมานว่า ในเมื่อเพื่อนๆ ทั้งหลายได้เข้ามาอ่านรีวิวของภาคนี้ แปลว่าจะต้องเล่นภาค 5 จบกันมาแล้วแน่ๆ ถ้ายังจำกันได้ ภาค 5 นั้นจบเกมด้วยเหตุการณ์ที่ Hope County หรือเขตการปกครองเล็กๆ ในรัฐมอนทานาโดนถล่มโดยขีปนาวุธนิวเคลียร์ ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตและสิ่งก่อสร้างที่ไม่อาจหลบภัยพ้นโดยถล่มราบเป็นหน้ากลอง แต่เมื่อเวลาผ่านไป 17 ปี ธรรมชาติก็ได้ให้กำเนิดชีวิตบนผืนแผ่นดินขึ้นมาใหม่ กลายเป็นโลกหลังมหันตภัยที่เต็มไปด้วยความสวยงามของพืชพรรณนานาชนิด รวมถึงผู้คนของ Hope County ที่เริ่มขึ้นมาสร้างอารยธรรมกันใหม่อีกครั้ง แต่ตามสูตรของเรื่องราวการเอาชีวิตรอดหลังโลกที่ล่มสลายไปแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่อันตรายที่สุดย่อมเป็นมนุษย์ด้วยกันนี่แหละ…

แฟนๆ ซีรีส์ Far Cry น่าจะทราบกันดีว่าในเกมทุกภาคจะมีตัวร้ายที่ถือเป็น “ตัวเอก” ของเกมอยู่ ซึ่งในภาคนี้ตัวร้ายที่ว่าไม่ได้มีเพียงคนเดียว แต่กลับมีพร้อมกันถึง 2 คน นั่นก็คือ พี่น้องฝาแฝด Mickey และ Lou หัวหน้ากองกำลังขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า The Highwayman โดยพี่น้องคู่นี้พากลุ่มของพวกเธอบึ่งรถเข้ามาใน Hope County โดยหวังจะช่วงชิงเอาทรัพยากร อาหาร และสิ่งมีค่าทุกอย่างมาเป็นของตนเอง ใครที่คิดต่อต้านพวกเธอก็น่าจะเดาออกว่าจะต้องลงเอยด้วยชะตากรรมยังไง

ส่วนตัวเรานั้นจะได้รับบทเป็น The Captain พูดง่ายๆ ก็คือเป็นหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยนั่นแหละ เป้าหมายของเราในการเข้ามาใน Hope County ก็คือมาให้ความช่วยเหลือกลุ่มคนที่กำลังเป็นเดือดเป็นร้อนด้วยฝีมือของทั้งสองฝาแฝด ช่วยให้พวกเขาได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจนเป็นสังคมใหม่ที่เจริญรุ่งเรืองตามชื่อ Prosperity หรือฐานทัพหลักแห่งใหม่ของเรานั่นเอง

ตัวเนื้อเรื่องโดยรวมนั้นจะยังคงเดินเรื่องตามแบบฉบับของ Far Cry เป๊ะๆ เลย ซึ่งถ้าใครที่เล่นเกมนี้มาตั้งแต่ภาคก่อนๆ ก็น่าจะเดาเนื้อเรื่องกันได้ไม่ยาก แต่จุดที่ทำให้ภาคนี้น่าติดตามกว่าสปินออฟภาคก่อนหน้าก็คือชะตากรรมของตัวละครหน้าเดิมๆ แต่ละตัวนี่แหละ ทั้งชะตากรรมของคู่สามีภรรยาตระกูล Rye ที่เพิ่งจะคลอดลูกสาวออกมาในภาค 5 หมาดๆ รวมถึงชะตากรรมของตัวเอกของเราเมื่อภาคที่แล้ว ตลอดจนชะตากรรมของตัวร้ายหลักในภาค 5 อย่าง Joseph Seed ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ด้วย แต่ก็น่าเสียดายที่ถึงแม้ทางทีมพัฒนาจะมีวัตถุดิบดีๆ อยู่ในมือ แต่กลับคั้นน้ำออกมาไม่หมดซะอย่างนั้น ด้วยความที่ตัวเกมนั้นสั้นมากๆ ชนิดที่ว่าถ้าคัดเฉพาะเนื้อเรื่องเพียวๆ ก็น่าจะจบได้ในวันเดียวด้วยซ้ำ ส่งผลให้การดำเนินเรื่องค่อนข้างรวบรัดไปมาก แถมเนื้อเรื่องส่วนใหญ่ยังถูกนำไปใส่ไว้ในเอกสารที่ถูกวางทิ้งไว้ตามสถานที่ต่างๆ ให้เราได้ไปค้นอ่านและปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเองอีก โดยเฉพาะเรื่องราวที่เป็นเหมือนตัวเชื่อมระหว่างภาค 5 และภาคนี้ก็กลายเป็นเพียงบทพูดของตัวละครหรือข้อความบรรยายในกระดาษเท่านั้น บอกตามตรงว่ามันชวนให้เราหมดอารมณ์ร่วมไปพอสมควรเลย

ส่วนเนื้อเรื่องหลักของภาคนี้เองก็ทำได้ไม่ดีเท่าไหร่นักหากเทียบกับสปินออฟภาคก่อนๆ เพราะรู้สึกว่าเนื้อเรื่องหลายๆ ส่วนหรือแม้กระทั่งเรื่องราวของตัวละครต่างๆ มันยังสามารถนำไปขยายต่อไปได้อีกเยอะ โดยเฉพาะตัวร้ายทั้งสองอย่างคู่แฝดและโจเซฟที่ต่างก็มีเรื่องราวที่น่าดึงดูดและมีเสน่ห์เป็นของตัวเอง แต่น่าเสียดายที่ตัวเกมให้เวลากับส่วนนี้น้อยไปหน่อย เราเลยไม่ค่อยได้เห็นลีลาของพวกเขามากเท่าที่ควร กลายเป็นว่าสิ่งที่ควรจะดีกลับถูกลดขั้นเป็น “ธรรมดา” ไปซะงั้น


เกมเพลย์

ภาคนี้เหมือนจะมีความพยายามในการชูว่าตัวเกมเริ่มมีความเป็น RPG มากขึ้นแล้วนะ แต่พอเล่นจริงๆ แล้ว กลับไม่ได้รู้สึกถึงความเป็น RPG ตรงนั้นสักเท่าไหร่ จริงอยู่ที่ภาคนี้มีการเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ อย่างระบบการคราฟต์ของเข้ามาเพื่อให้ผู้เล่นรู้สึกถึงความเป็น RPG มากขึ้น แต่เอาเข้าจริงๆ ก็มีเพียงเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ยังคงความเป็น “Far Cry” เอาไว้ได้อย่างครบถ้วนเลย

แน่นอนว่าเมื่อเป็นโลกหลังวันโลกาวินาศแล้ว เงินทองย่อมกลายเป็นของที่ไม่มีค่าอะไรอีกต่อไป สิ่งที่มีค่าที่สุดในตอนนี้ก็คือทรัพยากรต่างๆ เช่น เศษเหล็ก เทปกาว ต้นไม้ใบหญ้า รวมถึงพวกเกลียวน๊อตและน้ำมันชนิดต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าหน้าที่ของเราก็คือการออกไปตามล่าหาสิ่งของเหล่านี้มาอัพเกรดฐานของเราเพื่อปลดล็อคระบบต่างๆ อาทิ ระบบ Fast Travel หรือปลดล็อคอาวุธใน Tier ต่อๆ ไป (อาวุธในภาคนี้มีแบ่งเป็น Tier ด้วย) รวมถึงนำของใช้ที่เหลือมาสร้างเป็นอาวุธและหยูกยาต่างๆ หากว่ากันตามสูตรของเกมแนว RPG แล้ว ไอเทมอะไรที่ยิ่งดี ก็ยิ่งใช้ของเยอะนั่นเอง

แล้วจะหาของที่ว่าได้จากที่ไหน? นอกจากการหาเอาตามจุดต่างๆ บนแผนที่แล้ว เรายังจะได้วัตถุดิบที่ว่านี้จากการ “ยึดค่าย” ของเหล่า Highwayman อีกด้วย ซึ่งการยึดค่ายที่ว่านี้จะแบ่งออกเป็น 3 เลเวล โดยในการยึดครั้งแรกนั้นเราอาจจะได้ของมาเพียงเล็กน้อย ถ้าอยากได้ของในปริมาณมากๆ รวมถึงอยากได้ชุดมาประดับตกแต่งตัวละครของเรา เราก็ต้องทำการยึดที่นั่นซ้ำอีกครั้ง โดยที่ศัตรูที่เข้ามายึดค่ายก็จะทวีความแข็งแกร่งขึ้นไปด้วย ซึ่งบอกตามตรงว่าระบบแบบนี้เป็นระบบที่น่าเบื่อพอสมควร เพราะกว่าจะได้วัตถุดิบหรือชุดใส่ครบ ก็ต้องวนยึดค่ายอยู่แบบนั้นซ้ำๆ จนกว่าจะได้ของตามที่ต้องการ วนอยู่นั่นจนแทบจะจำตำแหน่งยืนของ NPC ได้อยู่แล้ว

ระบบสกิลหรือ Perk ในภาคนี้ก็จะยังคงเหมือนในภาค 5 ทุกประการ ทั้งในด้านวิธีการอัพเกรดและวิธีการหาแต้มสกิล เราจะได้แต้มสกิลมาก็ต่อเมื่อเราทำชาเลนจ์ต่างๆ ครบตามกำหนดหรือหานิตยสารแต้มสกิลมาได้เท่านั้น ส่งผลให้เราจำเป็นต้องออกไปทำภารกิจแก้ปริศนาเพื่อหานิตรสารมาอัพแต้มสกิลของเราแบบในภาค 5 ซึ่งส่วนตัวก็คิดว่ามันสนุกดีเหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาแก้ปริศนาต่างๆ 

ระบบหนึ่งเดียวที่อยากกดคะแนนให้ทีมสร้างรัวๆ คือระบบ Expedition ครับ โดยเจ้าระบบที่ว่านี้จะเป็นเหมือนการส่งตัวเราออกไปทำภารกิจตามสถานที่ต่างๆ นอก Hope County อีกที ไม่ว่าจะเป็นสวนสนุกร้าง เรือรบที่ฟลอริด้า สะพานนาวาโฮกลางทะเลทราย หรือแม้กระทั่งคุกอัลคาทราซ ซึ่งถึงแม้แต่ละที่จะมีระดับเลเวลให้เราได้ยึดซ้ำๆ แบบเดียวกับค่าย Outpost แต่รูปแบบภารกิจและสภาพพื้นที่นั้นถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี ชวนให้รู้สึกตื่นเต้นและอยากกลับไปเล่นซ้ำอีกมากๆ

ในส่วนของระบบยิบย่อยอื่นๆ ก็จะยังคงมีเหมือนในภาค 5 ตัวอย่างเช่นระบบ AI เพื่อนคู่หู ที่มีการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยด้วยการเพิ่มระบบอัพเลเวลสกิลขึ้นมา โดยคู่หูเราแต่ละคน (และตัว) จะมีความสามารถอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 แบบ และจะปลดล็อคความสามารถขั้นต่อๆ ไปได้ก็ต่อเมื่อคู่หูของเราสามารถสังหารศัตรูได้ถึงจำนวนที่กำหนดเท่านั้น แต่ก็มีสิ่งที่น่าติอยู่อย่างนึง ตรงที่ AI ในภาคนี้ออกจะซื่อบื้อไปสักหน่อย บางทีเราพยายามลอบเร้นอยู่ คู่หูเราก็ดันโผล่หน้าไปยิงศัตรูซะงั้น งานเข้าสิทีนี้


กราฟิกและเพลงประกอบ

เอนจิ้นที่ Far Cry New Dawn ใช้ยังคงเป็น Dunia Engine 2 ตัวเดียวกับที่ใช้ในการพัฒนา Far Cry 5 เพราะฉะนั้นระดับภาพกราฟิกนั้นจะยังคงเหมือนเดิมทุกประการ ต่างกันแค่บรรยากาศของสภาพแวดล้อมที่ ‘สด’ ขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น โดยเฉพาะโทนสีของเกมที่มีสีชมพูระรานตาซะเหลือเกิน แม้จะขัดกับธีมแบบโลกหลังยุคโลกาวินาศไปบ้าง แต่ผมว่าทีมงานก็ทำได้ดีในเรื่องของการเก็บรายละเอียดนะครับ โดยเฉพาะพวกสถานที่สำคัญๆ ในภาค 5 ที่ภาคนี้กลายมาเป็นเพียงซากปรักหักพังหรือสถานที่รกร้างให้หนูวิ่งเล่น เวลาขับรถไปเจอแล้วก็ชวนให้นึกถึงตอนเล่นภาค 5 อยู่เหมือนกัน

ทางด้านเพลงประกอบนั้น ภาคนี้เปลี่ยนแนวเพลงมาเป็นเพลงแนวที่ทันสมัยมากขึ้น ไม่ลูกทุ่งเหมือนในภาค 5 เท่าไหร่ และนอกจากเพลงที่เปิดอยู่ตามค่าย Outpost แล้ว เรายังสามารถหาเก็บเพลงเพิ่มได้ตามสถานที่ต่างๆ อีกด้วย ซึ่งน่าจะถูกใจสายดนตรีอยู่ไม่น้อยเลย


จุดเด่น

  • ภาพกราฟิกที่สวยสดใส สีสันฉูดฉาด
  • พื้นเพ ตัวละคร รวมถึงสถานที่ต่างๆ ที่ชวนให้นึกถึงภาค 5
  • ความมันส์และความบ้าที่ยังคงอยู่ตามแบบฉบับเกม Far Cry
  • ระบบการคราฟต์อาวุธและการอัพเกรดฐานที่น่าจะถูกใจคอ RPG

จุดด้อย

  • ระบบจากภาค 5 ถูกตัดออกไปเยอะพอสมควร เช่นระบบการแต่งปืน ทำให้สไตล์การเล่นไม่หลากหลายเท่าที่ควร
  • เนื้อเรื่องที่เร่งรัด ไปไม่สุด ทั้งๆ ที่ตัวละครหลักมีเสน่ห์อยู่แล้ว
  • ระบบการยึดฐานที่บังคับให้เราต้องยึดฐานเดิมซ้ำไปซ้ำมา ทำให้รู้สึกน่าเบื่อและจำเจ

สรุป

แม้จะไม่ใช่ spin-off ภาคที่โดดเด่นอะไรมาก แต่ก็ยังถือว่ามีความสนุกตามแบบฉบับเกม Far Cry อยู่อย่างครบถ้วน หรือถ้าหากเคยเล่นเกม Far Cry 5 มาก่อน เกมนี้จะเป็นอีกหนึ่งเกมที่น่าสอยมาลองต่อในทันทีหลังจากเล่นภาค 5 จบ เนื่องจากเราจะได้ทราบชะตากรรมของตัวละครที่เราเคยหลงรัก ได้รู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ได้เห็นฉากสถานที่ต่างๆ ที่พอเจอแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า “เฮ้ย เคยผ่านมาก่อนแล้วนี่หว่า!” แต่ถ้าหากคาดหวังว่าเกมนี้มาเป็นเกมภาคต่อที่มีความยิ่งใหญ่อลังการ เล่นแล้วอิ่มเอมแบบภาค 5 ละก็ อาจจะต้องผิดหวังกันสักหน่อย

คะแนน 7 

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้