เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา Epic games ได้สร้างคลื่นระลอกใหม่แก่วงการเกมทั่วโลก ด้วยการเปิด Epic Games Store ที่เป็นหน้าร้านค้าเกมดิจิตอลผ่านออนไลน์เป็นของตัวเอง ด้วยข้อเสนอที่เย้ายวนใจเหล่าผู้พัฒนาเกมด้วยส่วนแบ่ง 88% (โดยที่ Steam จะอยู่ที่ 70%) ผู้จัดจำหน่าย Fortnite ได้ทำการคว้า Exclusivity Deals กับเกมใหม่ต่างๆที่พวกเขาจับตามอง ในขณะเดียวกันก็ดึงดูดให้เหล่าเกมเมอร์หันมาสนใจ Epic Games Store ด้วยการแจกเกมฟรี
แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้สวยงามเสมอไปเมื่อ Epic games ได้ประกาศว่า เกม Shooting ฟอร์มยักษ์ ที่ชื่อว่า Metro Exodus จะเป็น Exclusive ของ Epic Games Store เป็นเวลา 1 ปี บางคนก็กล่าวหาว่านี่เป็นการตลาดอันเลวร้ายของ Epic Games แต่บางคนก็บอกว่าที่เป็นแผนทางธุรกิจที่ดีซะงั้น
และเมื่อ Epic Games Store ใช้วิธีอันโหดร้ายแบบนี้บังคับให้ผู้เล่นมาใช้ร้านค้าของตัวเอง ดังนั้นการเปรียบเทียบกันจึงเกิดขึ้น และนี่คือ สงคราม Digital game store เมื่อ Epic Games Store ปะทะ Steam อะไรที่ Epic ยังต้องพัฒนาเมื่อต้องการแข่งขันกับเจ้าเก่าเจ้าเดิมที่มีความพร้อมอย่าง Steam กัน ?
1. หน้าหลักในร้านค้า
หน้าหลักของ Steam Store เปรียบเสมือนคลังสินค้าขนาดใหญ่ ที่จะแสดงไฮไลต์ใหญ่ตรงกลางเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดในขณะนั้น ส่วนด้านล่างลงไปจะแยกเป็นหมวดหมู่ต่างๆที่ให้คุณเลือกสรรตามความต้องการ ส่วนต่อไปคุณจะได้พบกับภาพตัวอย่างขนาดย่อของเกมต่างๆ ซึ่งเกมเหล่านี้เป็นเกมที่อยู่ในหมวดหมู่เกมที่คุณชอบเล่นบ่อยครั้ง มันจะมานำเสนอเกมที่คล้ายกันที่นี่ แต่บางที่มันก็ไม่ตรงตามที่เราต้องการสักเท่าไร อย่างเช่นคุณชอบเล่น PUBG และ Dead Cells ทาง Steam จะผสม Tags นี้เข้าด้วยกันกลายเป็นเกมพวกนี้ซะงั้น ..
นอกจากนี้ยังมีระบบ “Discovery Queue” ซึ่งระบบนี้จะรวบรวมเกมที่ยอดนิยมในหมู่เพื่อนของคุณมาเรียงให้เลือกสรรอย่างสะดวกและง่ายดาย
Early Access games มีป้ายกำกับและข้อมูลที่ชัดเจน ในหน้าร้านค้า นอกจากจะมีพื้นที่ให้ลงข้อมูลการอัพเดทอย่างครบถ้วนแล้ว ยังมีหน้าชุมชนเกมให้คอยติดตามข่าวสารการอัพเดทต่างๆ ที่เป็นการเชื่อมทั้งผู้พัฒนา และผู้เล่นเข้าด้วยกัน
สุดท้าย Steam นั้นมีระบบยื่นขอคืนเงินอัตโนมัติ เมื่ออยู่ในเงื่อนไข 14 วัน และ ชั่วโมงการเล่นเกมนั้นๆไม่เกิน 2 ชั่วโมง
ในขณะเดียวกันหน้าร้านค้าหลักของทาง Epic Games Store เปิดมาถึงด้านบนสุดเราจะเห็นเกมแจกฟรีซึ่งมันจะเขียนเตือนผู้เล่นว่า เรามีเกมแจกทุก 2 สัปดาห์เลยนะ และตามด้วยไฮไลต์เกมในขณะนั้น แต่ที่สำคัญคือหมวดหมู่ด้านซ้ายที่ถูกทำให้ใช้งานยาก มันคือตัวเลือกเปลี่ยนไปหมวดต่างๆของโปรแกรม คุณไม่สามารถคลิกหาเกมที่น่าสนใจ ผ่านหมวดหมู่ที่เฉพาะเจาะจงของเกมต่างๆได้ นอกจากต้องเลื่อนหน้าต่างลงไปเรื่อยๆ
ถ้าพวกเราเป็นเกมแนวอินดี้ที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง เราคงกังวลว่าผู้เล่นจะไม่สามารถหาเราเจอผ่านทางหน้าต่างหลักในร้าน Epic Games Store
และอีกอย่างคือ Early Access games ป้ายดูไม่ชัดเจนเท่าทึ่ควร เป็นการเขียนเล็กๆไว้ด้านล่าง เหมือนกระซิบเบาๆว่า “เกมนี้ Early Access น้ะจ้ะ” และต่อมาก็ต้องเป็น การที่ไม่มีระบบรีวิวเกมในร้านค้า ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในระบบที่สำคัญ ที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อที่ต้องการจะรับข้อมูลจะเหล่าเกมเมอร์ด้วยกัน ถึงแม้ Epic Games จะเคยบอกว่าเป็นการหลักเลี่ยง Review-Bombing เพื่อรักษาหน้าตาของผู้พัฒนาก็ตาม แต่ผู้ใช้ส่วนมากไม่เห็นด้วยที่จะตัดระบบนี้ออกไป
สุดท้าย Epic Games Store ในขณะนี้ได้เพิ่มระบบยื่นขอคืนเงินอัตโนมัติ ในเงื่อนไข 14 วันและเล่นไม่เกิน 2 ชั่วโทงเช่นเดียวกับ Steam เรียบร้อยแล้ว
2. ระบบ DRM ที่เป็นระบบป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ของ Digital
ใน Steam นั้นมีระบบ DRM ที่ชัดเจน เมื่อคุณซื้อเกม คุณจำเป็นต้องเปิดโปรแกรม Steam เพื่อเล่นผ่าน Steam เท่านั้น ถึงแม้คุณไม่มีอินเตอร์เน็ต ก็ไม่มีปัญหา เพราะ Steam ยังมี Offline mode ไว้รองรับ อีกระบบหนึ่งของ Steam คือระบบ Steam Family Sharing คือคุณสามารถแชร์เกมในคลังของคุณให้กับคนอื่นอีกห้าไอดีเล่นได้ มีข้อแม้ว่าไม่สามารถเล่นพร้อมกันสองไอดีได้ เมื่อเจ้าของไอดีเข้าเกมนั้นๆ คนอื่นๆจะถูกเตะออกจากเกมภายใน 5 นาที และเมื่อคุณต้องการเปิดตัวเกมผ่านไฟล์ภายใน สุดท้ายมันก็จะเด้งเชื่อมต่อผ่าน Steam เข้าไปอยู่ดีนั้นเอง
อย่างไรก็ตามใน Epic Games Store ก็มีระบบ DRM แบบแปลกๆและแตกต่างกันไปแต่ละเกม จากที่เราทดสอบไปทั้งหมด 3 เกม คือไม่มีเกมไหนมีระบบ DRM แบบเดียวกันเลย นั่นคือ Fortnite, Subnautica and the Jackbox Collection ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ยังไม่มีสิ่งใดยืนยันได้ว่า ระบบไหนจะเป็น DRM ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ทางผู้พัฒนาคงต้องเป็นผู้รักษาสิทธิ์และเลือกใช้กันตามความต้องการของตัวเอง
3. หน้าการจัดการเกมต่างๆ
ทางด้าน Steam นั้นมีหน้าต่างคลังเกมที่สามารถจัดการได้ง่ายและสะดวกมากๆ ในด้านซ้ายจะเป็นรายชื่อร่ายยาวเกมทั้งหมดที่คุณมีเป็นตัวหนังสือไม่รกรุงรัง มีเกมมากแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา เมื่อกดไปที่เกมที่ต้องการ นอกจากกดเล่นได้ทันทีแล้ว ยังมีข่าวสารใหม่ๆ เกี่ยวกับเกมนั้นๆที่คุณจะไม่พลาด มี Mod ยอดนิยมที่เป็นไฮไลต์ในช่วงต่างๆ และยังมีคลังรวมภาพ Screenshots ที่คุณถ่ายไว้ในเกมนั้นๆ ให้เข้าไปรับชมได้เลย ไม่ต้องไปเข้าโฟลเดอร์ให้ยุ่งยาก ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ใช้งานได้จริง มันใจได้ว่าสิ่งต่างๆนั้นจะไม่ไร้สาระให้รกหน้าต่างคลังเกมของเราอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังสามารถคลิกที่ List View ด้านขวาบน ที่จะเปลี่ยนมุมมองคลังการของเราเป็นรูปแบบต่างๆตามที่เราต้องการ ทำให้เราให้หาสิ่งที่เราต้องการได้ง่ายมากขึ้นไปอีก เมื่อคุณต้องการจัดการสิ่งต่างๆกับตัวเกม คุณแค่คลิกขวาที่ชื่อเกมเท่านั้น จะมีตัวเลือกให้คุณ ติดตั้ง ถอนการติดตั้ง และจัดการอืนๆอีกมากมาย ที่ใช้งานสะดวกรวดเร็วสุดๆ แต่ใน Epic Games Store น่ะเหรอ ? ระบบทุกอย่างมันดูโบราณสุดๆ คุณไม่สามารถจัดการหรือได้รับข้อมูลต่างๆในแบบที่ Steam ทำได้ มีเพียงกดเข้าเล่นเกม ติดตั้ง และอื่นๆเล็กน้อยเท่านั้น เราหวังว่า Epic Games Store จะถูกปรับปรุงให้ดูทันสมัยและจัดการสิ่งต่างๆได้ง่ายกว่านี้ในอนาคต
นอกจากนี้ ไฟล์ติดตั้งต่างๆของเกมใน Epic Games จะไม่ปรากฏบน Windows นั่นหมายความว่า เมื่อคุณอยากถอนการติดตั้งตัวเกม คุณต้องเข้าไปถอนผ่าน Epic Games Store เท่านั้น แล้วถ้าคุณเผลอลบโปรแกรม Epic Games ก่อนที่จะถอนการติดตั้งเกมทั้งหมดในนั้นล่ะ ? นั่นหล่ะครับท่านผู้ชม เราต้องเข้าไปไล่ลบไฟล์ต่างๆในโฟลเดอร์ที่ตัวเกมติดตั้งไว้ เหมือนคุณใช้ OS ในยุค 1995 เลยล่ะ
4. สุดท้าย Epic Games Store กับ Steam อันไหนดีกว่ากันล่ะ ?
จากข้อมูลทั้งหมดข้างต้น Steam จะสามารถมอบประสบการณ์การใช้งานและตัวเลือกการจัดการที่ดีกว่ามากอย่างแน่นอน นอกจากการทำตลาดเชิงรุกขั้นสุดของ Epic Games Store แล้ว ทาง Epic Games ก็ควรที่จะพัฒนาระบบต่างๆของร้านค้า และคลังเกมให้ผู้เล่นสามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย และยังต้องเพิ่มฟีเจอร์อีกมากมายในอนาคต เพื่อที่จะแข่งขันกับ Steam ซึ่งก็มีข่าวดีว่า การพัฒนาเหล่านี้ ส่วนใหญ่อยู่ในแผนการ Roadmap ที่มีความสำคัญสูดสุดของ Epic Games เรียบร้อบแล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม Epic Games ถึงให้ความสำคัญขนาดนี้ เพราะอย่าลืมว่า การหักรายได้เพียง 18% เป็นข้อเสนออันหอมหวานสำหรับผู้พัฒนาเกมก็จริง แต่ถึงหักเปอร์เซ็นน้อย แต่เกมเหล่านั้นเข้าถึงผู้ซื้อน้อยลงกว่าเดิม มันอาจจะทำให้พวกเขาหันกลับไปซบ Steam ที่ถึงจะหักเปอร์เซ็นมากถึง 30% แต่ความพร้อมและบริการทุกอย่างที่ทำให้เกมเหล่านั้นเข้าถึงมือผู้ซื้อจำนวนมาก จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม สงคราม Digital game store ที่เริ่มขึ้นแล้ว จะดำเนินต่อไป หลังจากนี้ก็อยากให้เหล่าเกมเมอร์ทุกท่านพิจารณาในการสนับสนุนเกมและร้านค้าต่างๆอย่างเหมาะสมกันต่อไป เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่มีประสิทธิภาพและเท่าเทียม เพราะทั้งหมดนี้ประโยชน์ต่างๆก็ตกอยู่กับเกมเมอร์อย่างเราๆนี่แล ..
ที่มา : https://www.techradar.com
บทความโดย Heyden