รีวิว Tales of Vesperia: Definitive Edition เมื่อภาพประทับใจเมื่อ 10 ปีก่อนยังไม่จางหาย

แชร์เรื่องนี้:
รีวิว Tales of Vesperia: Definitive Edition เมื่อภาพประทับใจเมื่อ 10 ปีก่อนยังไม่จางหาย

Tales of Vesperia: Definitive Edition

แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, Switch, PC
ผู้พัฒนา: Bandai Namco
ระยะเวลาที่ใช้ในการเล่นจนจบเกม: ประมาณ 45 ชั่วโมง 
ระยะเวลาที่ใช้ในการเล่นสำหรับคนที่ต้องการเก็บทุกทางเลือกจนครบ: ประมาณ 150 ชั่วโมงขึ้นไป


เมื่อพูดถึงเกม RPG สัญชาติญี่ปุ่นแล้ว เกมตระกูล Tales of ก็เป็นอีกซีรีส์หนึ่งที่ได้รับความนิยมสูงมาตั้งแต่ยุคเครื่องซูเปอร์ฟามิคอม ด้วยความโดดเด่นที่เมื่อเข้าฉากต่อสู้แล้วผู้เล่นจะบังคับตัวละครต่อสู้เองในแบบแอ็กชั่นและทำคอมโบได้หลากหลาย ต่างจากเกมอื่นๆ ในยุคนั้นที่มักจะเป็นเลือกคำสั่งแบบเทิร์นเบส และเกม Tales of Vesperia ก็ถือว่าเป็นภาคที่เคยได้รับความนิยมอย่างสูงของซีรีส์ ซึ่งจุดเด่นของภาคนี้ก็คือตัวเอก Yuri Lowell เป็นตัวละครชายที่ได้รับความนิยมสูงสุดเทียบเท่า Leon Magnus จาก Tales of Destiny โดยจุดเด่นของ Yuri นอกจากความเท่แล้ว เขายังเป็นตัวเอกในแบบเทาๆ คือถ้าต้องช่วยคนที่เดือดร้อนแล้วจะลงมือฆ่าคนผิดได้โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทำให้มักจะมีบทขัดแย้งกับ Flynn Scifo อัศวินผู้เที่ยงตรงที่เป็นทั้งเพื่อนรักและคู่แข่งของเขาประจำ

Tales of Vesperia นั้นเคยวางตลาดครั้งแรกให้กับเครื่อง Xbox 360 ในปี 2008 และจากนั้นก็ได้ออกเวอร์ชั่นใหม่ออกมาให้กับเครื่อง PS3 ซึ่งเพิ่มตัวละครที่จะเข้าร่วมปาร์ตี้ตัวเอกอีกสองคนคือ Flynn อัศวินเพื่อนรัก และ Patty เด็กสาวโจรสลัดที่สูญเสียความทรงจำ อีกทั้งเพิ่มเนื้อเรื่องเสริมเข้ามาให้กลมกลืนขึ้นด้วย แต่เป็นที่น่าเสียดายมากที่เวอร์ชั่น PS3 นี้ไม่ได้มีการทำเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษออกมา ทำให้หลายคนพลาดโอกาสที่จะเล่นเกมชั้นดีนี้ไป ทว่าในครั้งนี้ Tales of Vesperia ก็ได้กลับมาอีกครั้งในเวอร์ชั่น Definitive Edition ที่เป็นการรีมาสเตอร์ พร้อมกับมีการปรับความสวยงามของภาพขึ้น มีตัวละครกับเนื้อเรื่องเสริมแบบ PS3 และยังแถม DLC พวกไอเทมและชุดแต่งกายมาแต่แรก นอกจากภาษาในเกมจะเป็นอังกฤษแล้ว เสียงก็ยังสามารถเลือกได้ว่าจะให้เป็นญี่ปุ่นหรืออังกฤษก็ได้ด้วย


เนื้อเรื่อง

ในโลกมี่มีชื่อว่า Terca Lumireis มนุษย์ในที่ต่างๆ ใช้พลังงานในการดำเนินชีวิตด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า "Blastia" ซึ่งแปลงพลังงานจากสารลึกลับ "AER" แต่จากการที่ใช้พลังงานเกินกว่าที่ควรนี้เอง มหันตภัยที่อาจทำลายโลกได้ก็กำลังใกล้เข้ามาทุกที ตัวเอกของเรื่องนามว่า Yuri Lowell เป็นอดีตอัศวินของจักรวรรดิ์ที่กำลังทำงานตามล่าตัวโจรที่ขโมยแกนกลางของเครื่อง "Blastia" ไป แต่เขากลับถูกใส่ร้ายว่าเป็นโจรเสียเอง และในระหว่างที่หลบหนี เขาก็ได้พบกับ Estelle เด็กสาวผู้ดีที่กำลังหนีจากการตามล่าของอัศวิน ทั้งคู่เดินทางไปด้วยกันพบปะเพื่อนๆ มากมาย เช่น Karol เด็กหนุ่มที่อยากเป็นนักผจญภัย, Rita เด็กสาวนักเวทอัจฉริยะ พวกเขาร่วมก่อตั้งกิลด์ที่ชื่อว่า Brave Vesperia ขึ้น แต่แท้ที่จริงแล้ว Estelle นั้นเป็นผู้ที่มีพลังลึกลับที่ถูกหลายคนต้องการตัว เป็นพลังระดับที่สามารถกอบกู้หรือทำลายโลกนี้ได้ ส่วน Yuri เองนอกจากจะเป็นศัตรูกับคนชั่วแล้วยังต้องถูกตามล่าจากกลุ่มอัศวินอีก

ทั้งนี้ เนื้อเรื่องในเกมจะมีความลับมากมายที่จะค่อยๆ เผยให้รู้เมื่อเล่นไปเรื่อยๆ บางเรื่องก็ต้องทำเควสต์เสริมให้จบถึงจะรู้ หรือบางเรื่องก็ต้องฟังบทสนทนาที่บางครั้งตัวละครในกลุ่มจะพูดคุยกันเอง ซึ่งถ้าเราไม่กดฟังก็จะพลาดข้อมูลสำคัญได้ ดังนั้นถ้าอยากรู้เรื่องให้สมบูรณ์แนะนำว่าควรจะค่อยๆ เล่น ผ่านด่านไปอย่างช้าๆ แล้วเก็บรายละเอียดให้ครบ เพราะหลายจุดในเกมจะเป็นแบบผ่านแล้วผ่านเลยไม่มีการคุยย้อนให้


เกมเพลย์

ระบบของเกมจะเป็น RPG แบบที่ผู้เล่นจะต้องควบคุมตัวละครเองในฉากต่อสู้ โดยเมื่อเราเดินชนเข้ากับศัตรูตามแผนที่หรือดันเจียน เกมก็จะตัดเข้าฉากต่อสู้ที่เป็นขอบเขตทรงกลม ฝ่ายผู้เล่นจะมีตัวละครในทีมสูงสุด 4 คน และจะบังคับได้แค่ตัวเดียวคือตัวที่เลือกไว้เป็นหัวแถวของฟอร์เมชั่นก่อนที่จะเริ่มสู้ ส่วนอีก 3 คนที่เหลือจะเป็น AI ควบคุมตามแนวทางของแผนที่เราตั้งไว้ แต่ผู้เล่นสามารถกดหยุดเกมเพื่อสั่งแบบเฉพาะเจาะจงได้ว่าจะให้ตัวละครไหนใช้ท่าอะไรก็ได้เช่นกัน

ตัวละครที่ผู้เล่นบังคับจะเป็นเหมือนเกมแอ็กชั่น กดโจมตี กระโดด วิ่งได้ 360 องศา และใช้ท่าพิเศษหรือเวทมนตร์ได้โดยจะต้องเสีย TP ในการใช้ในแต่ละครั้ง ความสนุกของซีรีส์นี้ก็คือ การควบคุมตัวละครแล้วทำคอมโบต่อเนื่องเป็นชุดๆ โดยช่วงเริ่มต้นนั้นอาจจะทำอะไรได้ไม่มาก แค่โจมตีธรรมดาครบ 3 ครั้ง แล้วต่อด้วยท่าพิเศษอีกหนึ่งครั้ง แต่เมื่อเราอัพเลเวลตัวละครและเรียนสกิลใหม่ๆ แล้วก็จะโจมตีธรรมดาได้มากขึ้น และจากใช้ท่าพิเศษแล้วยังตามด้วยท่าขั้นสูงกว่า และท่าขั้นสูงสุดปิดท้ายเป็นต้น อย่างไรก็ตามเราสามารถเลือกตัวละครหลักให้สู้แบบออโต้เหมือนตัวละครอื่นได้ด้วย

การอัพตัวละครให้เก่งขึ้นของเกมนี้ก็เป็นจุดเด่นอีกอย่าง เพราะทำได้อิสระ โดยตัวละครจะเรียนรู้ท่าพิเศษเมื่อเลเวลสูงขึ้น ทำให้มีท่าโจมตีให้เลือกใช้มากขึ้น แต่สกิลจะเรียนรู้ได้จากอาวุธ ซึ่งสกิลจะมีด้วยกันหลากหลาย ทั้งที่ทำให้โจมตีหลายครั้งขึ้น, ทำให้ Status สูงขึ้น, ทำให้ต่อคอมโบได้มากขึ้น หรือสกิลที่ทำให้ท่าพิเศษบางท่ามีพลังมากขึ้นก็มี ซึ่งการที่สกิลต่างๆ อยู่ในอาวุธนี้เอง ทำให้เราต้องเก็บรวมรวมอาวุธมาให้ตัวละครใช้ให้ครบ แม้ว่าเราจะมีอาวุธที่มีพลังแรงกว่าแล้วก็ยังต้องเปลี่ยนมาใช้อาวุธที่พลังน้อยกว่าจนกว่าจะเรียนรู้สกิลของอาวุธนั้นได้ เป็นต้น

ส่วนความยากของศัตรูนั้นก็ถือว่ายากพอสมควร ถ้าผู้เล่นที่ไม่ค่อยถนัดเกมแอ็กชั่นอาจจะตึงมือบ้าง อย่างไรก็ตาม ตัวเกมสามารถปรับระดับความยากในออปชั่นได้ตลอดเวลา โดยระดับ Easy นั้นศัตรูจะมีค่า Status ประมาณ 70% ของระดับ Normal เลย ทำให้ผู้เล่นที่ไม่ถนัดเกมแนวแอ็กชั่นหรือเล่นแบบออโต้ก็ยังสามารถเอาชนะได้ แต่ในทางกลับกันถ้าผู้เล่นรู้สึกว่าง่ายไปก็สามารถปรับเป็น Hard ได้ หรือถ้าเคลียร์เกมรอบนึงแล้วก็มีเงื่อนไขที่จะปรับให้ยากขึ้นอีกเป็นระดับ Unknown

สำหรับการเดินทางนั้นจะเดินทางกันบนแผนที่โลก เมื่อเข้าสู้เมืองหรือดันเจี้ยนจึงตัดเข้าฉาก ซึ่งแม้ว่าบนแผนที่โลกเราจะสามารถมุมกล้องได้อิสระ แต่ในเมืองจะเป็นแบบมุมกล้องตายตัว และตรงนี้อาจจะมีข้อเสียบ้างตรงที่ในเมืองจะไม่มีแผนที่ย่อยให้ดู ส่วนแผนที่โลกก็จะแสดงคร่าวๆ และไม่บอกจุดหมายต่อไปที่ต้องไปให้ด้วย  แม้ว่าในออปชั่นจะมีคำสั่งให้ดูเนื้อเรื่องย่อของบทที่เรากำลังเล่นได้ แต่ก็มักจะไม่บอกอะไรที่สำคัญเช่นกัน ดังนั้นการเล่นเกมนี้ผู้เล่นจะต้องคอยอ่านหรือฟังอยู่ตลอด ถ้ากดข้ามไปก็ไม่อาจย้อนกลับมาฟังได้อีกแล้ว ในตอนแรกอาจจะไปได้ไม่กี่ที่ แต่พอเริ่มมีเรือหรือยานพาหนะอื่นๆ ที่เดินทางได้รอบโลกแล้ว ถ้าเกิดอ่านข้ามบทสำคัญไปก็คงต้องพึ่งพาการอ่านไกด์หรือวิธีผ่านบนโลกอินเตอร์เน็ตเท่านั้น

พูดถึงปริศนาและมินิเกมของภาคนี้กันบ้าง ปริศนาในเกมมักจะเป็นกลไกในการผ่านดันเจี้ยนต่างๆ ซึ่งถือว่าความยากอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ยากมากนัก แต่ว่าเพราะฉากดันเจี้ยนที่ค่อนข้างจะมีขนาดใหญ่และศัตรูมักจะโผล่มาขัดจังหวะอาจทำให้เสียสมาธิได้ ส่วนในด้านมินิเกมนั้นมีให้เล่นเยอะมากทั้งในเนื้อเรื่องหลักและเนื้อเรื่องเสริม เช่นเกมเข็นลังจัดของในโกดัง แข่งเรือเหาะ ไพ่โป๊กเกอร์ หรือแม้แต่เกมกดจังหวะดนตรี ซึ่งส่วนมากไม่ได้ยากเท่าไหร่ แต่ยกเว้นเกมเข็นลังที่ต้องเข็นลังในโกดังเพื่อเปิดทางไปเอาสมบัติให้ครบ แต่เนื่องจากบางฉากมีขนาดใหญ่และมีหลายชั้นมองภาพรวมได้ยาก จึงนับได้ว่าเป็นเกมพัซเซิลความยากระดับสูงที่ต้องใช้ความคิดมากเลยทีเดียว


กราฟิก / การนำเสนอ

กราฟิกเป็นระดับรีมาสเตอร์ของเกมในยุคสิบปีก่อน ซึ่งก็ถือว่าพอใช้ได้ แต่เกมก็มีการเล่าเรื่องด้วยอนิเมชั่นคุณภาพสูงแทรกเข้ามาในช่วงสำคัญเป็นระยะๆ นอกจากนี้ช่วงสำคัญช่วงอื่นก็มีเสียงพากย์ของตัวละครเกือบครบ ไม่ว่าจะปรับเสียงญี่ปุ่นหรืออังกฤษก็ถือว่าพากย์ได้ดี ส่วนการที่ให้ตัวเอกสามารถเดินทางรอบโลกได้ด้วยการบังคับยานพาหนะเองก็ทำให้ได้อารมณ์ของนักผจญภัยมากซึ่งเป็นสิ่งที่ RPG ญี่ปุ่นในยุคใหม่ๆ ขาดหายไป


จุดเด่น

- เนื้อเรื่องทำมาได้น่าสนใจ ตัวละครแต่ละตัวมีความโดดเด่นเฉพาะตัว และปริศนาในเรื่องราวมากมาย ซึ่งจะค่อยๆ เฉลยออกมาเมื่อเราเล่นผ่านไปเรื่อยๆ
- ระบบต่อสู้ที่เป็นแอ็กชั่นทำได้สนุกดี โดยเฉพาะการต่อคอมโบในช่วงท้ายทำได้ไม่แพ้เกมที่เป็นแนวแอ็กชั่นแบบแท้ๆ เลย
- มินิเกมในเกมค่อนข้างหลากหลายมาก แม้บางเกมจะทำมาให้เล่นแค่ครั้งเดียวก็สื่อให้เห็นถึงความตั้งใจของผู้สร้าง

จุดด้อย

- แผนที่และระบบนำทางยังไม่ค่อยดีนัก ถ้าอ่านบทพูดของตัวละครไม่ละเอียดพอก็มีโอกาสที่จะพลาดเป้าหมายที่ต้องไปได้ง่ายๆ
- กราฟิกอาจจะดูไม่ทันสมัยเท่าไหร่เพราะเป็นเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์ของเกมยุค 10 ปีที่แล้ว
- การปลดล็อคระบบอะไรหลายอย่างไม่สามารถทำได้ในการเล่นรอบแรก เช่นจำนวนไอเทมที่ถือไว้ได้จะค่อนข้างจำกัดมาก

สรุป

แม้ว่า Tales of Vesperia: Definitive Edition จะเป็นแค่การรีมาสเตอร์โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนอกจากกราฟิก แต่ก็ถือว่าเป็นเกมที่สมบูรณ์ในตัวอยู่แล้วทั้งเนื้อเรื่องและระบบการเล่นที่ไม่ได้ตกยุคเลย ผู้เล่นที่พลาดไปเมื่อตอนยุคเครื่อง PS3 และ Xbox 360 ครั้งนี้ต้องบอกว่าไม่ควรพลาดแล้ว ส่วนผู้ที่เคยจบมาแล้วหลายรอบก็ถือว่าคุ้มเวลาที่จะได้เล่นอีกสักรอบเช่นกัน

คะแนน 8


ทีมงาน OS ต้องขอขอบคุณทาง Bandai Namco Entertainment ที่เอื้อเฟื้อโค้ดเกมเพื่อใช้ในการรีวิวมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

แชร์เรื่องนี้:
Vesper
About the Author

Vesper

เหนื่อยจากเกมก็ลองหยุดพัก แต่ถ้าเหนื่อยจากรักก็จงหยุดเถอะ

เรื่องที่คุณอาจสนใจ