เปรียบเทียบ Battle Royale เกม CS:GO กับ PUBG มีอะไรแตกต่างกันบ้าง?

แชร์เรื่องนี้:
เปรียบเทียบ Battle Royale เกม CS:GO กับ PUBG มีอะไรแตกต่างกันบ้าง?

     ก็เรียกว่ายังบูมกันเรื่อยๆ สำหรับกระแสเกมแนว Battle Royale ที่ค่ายเกมยักษ์ใหญ่หลายๆ เกมก็เริ่มก้าวกันเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งล่าสุดทางฝั่ง CS:GO เกมสไตล์ FPS ชื่อดังก็ได้อัพเดตเป็นตัวเกมฟรีพร้อมกับเปิดโหมด Battle Royale ของตัวเองในชื่อ Danger Zone ขึ้นมา งานนี้ก็มาดูกันหน่อยว่าเปรียบเทียบกับเกมที่สุดกระแส BR อย่าง PUBG เทียบกับ CS:GO นั้น จะต่างกันขนาดไหน


จำนวนคนที่แตกต่าง

     เรื่องแรกที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดก็คงไม่พ้นเรื่องของจำนวนคนที่ของ PUBG จะอยู่ในช่วง 90-100 คนโดยทั่วไป แต่สำหรับของฝั่ง CS:GO นั้นกลับมีผู้เล่นสูงสุดแค่ 18 คนเท่านั้น (16 คนในแบบ Solo) ซึ่งจำนวนผู้เล่นถือได้ว่าแตกต่างกันเยอะมากเลยทีเดียว


ขนาดของแผนที่

     ด้วยจำนวนคนที่น้อยของ CS:GO ก็ไม่ต้องสืบเลยว่าขนาดของแผนที่จะเล็กไปตามจำนวนคนด้วยเช่นกัน ซึ่งตรงจุดนี้แม้ความหลากหลายจะน้อยตามสภาพพื้นที่แต่ก็ทำให้เราได้ประสบการณ์เกมเร็ว หาศัตรูได้ง่ายไม่ยืดเยื้อเหมือนเกมแนว Battle Royale อื่นๆ


โดดร่ม vs โหนสลิง

     สำหรับในเกม PUBG นั้น เวลาเริ่มเกมผู้เล่นจะกระโดดออกจากเครื่องบินที่มีทิศทางการบินแบบสุ่มในแต่ละรอบ และผู้เล่นสามารถเลือกจังหวะกระโดดออกมาได้เอง แตกต่างจาก CS:GO ที่รูปแบบการเลือกจุดลงจะมีให้จิ้มได้ในแผนที่ก่อนเข้าเกม โดยที่ผู้เล่นแต่ละคนจะไม่สามารถเลือกซ้ำกันได้ (แม้จะทีมเดียวกันก็ตาม) และเมื่อเข้าเกมผู้เล่นทุกคนจะทำการโหนสลิงลงมาในเกมพร้อมกันทันที


แผนที่ที่สามารถหาคนได้

     ในเกม PUBG การจะหาคนให้เจอก็คือการเดินสุ่มหรือไล่หาตามเสียง ซึ่ง CS:GO ก็สามารถทำแบบนั้นได้เช่นกัน แต่เพิ่มเติมมาด้วย แผนที่ที่จะบอกว่ามีใครอยู่ในพื้นที่ไหนบ้าง แม้จะไม่ได้บอกตำแหน่งเป๊ะๆ แต่ก็ทำให้พอเดาได้ว่าศัตรูอยู่แถวไหน ซึ่งงานนี้ก็เปิดโอกาสให้ผู้เล่นออกล่ากันมากขึ้น


ไอเท็มที่บินมาส่งถึงที่

     ในเกม Battle Royale อื่นๆ ส่วนมากการหาไอเท็มก็คือการไล่เดินตามเก็บไปเรื่อยๆ (หรือจะฆ่าผู้เล่นอื่นเพื่อเอาของที่เขามีก็ได้) ซึ่ง CS:GO ก็ไม่แตกต่างกัน แต่ก็มีสิ่งที่เพิ่มมามากกว่าเดิมก็คือเงินที่ผู้เล่นสามารถกดซื้อได้เหมือนในเกม CS:GO แบบปกติ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าของจะเข้าตัวทันที แต่จะต้องรอ Drone บินมาส่งให้เรา ซึ่งจุดนี้ก็เป็นการบอกตำแหน่งของเราด้วยเช่นกัน ดังนั้นการจะซื้อของก็ต้องวางแผนกันให้ดีด้วย


ภารกิจที่มีในฉาก

     แน่นอนเมื่อมีเรื่องเงินในการซื้อของก็ต้องมีสิ่งที่ทำให้เราได้เงินมากขึ้นด้วย โดยทั่วไปเงินจะสามารถเก็บได้และให้เข้าตัวเราทันทีหากเรารอดเหลืออยู่ในช่วงท้ายๆ เกม แต่ในเกมบางทีก็จะมีภารกิจให้เราไม่ว่าจะเป็นการส่งตัวประกัน การฆ่าเป้าหมาย VIP และอื่นๆ ที่อาจจะทำให้เราได้เงินเยอะขึ้น โดยภารกิจเหล่านี้สามารถเจอได้ตามฉากและเลือกที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้


อาวุธที่หาได้ยากมาก

     หากใครเล่น PUBG แล้วรู้สึกว่าเกลือหาปืนยาก มาเล่น CS:GO ต้องยิ่งทรมาณใจกว่านั้นหลายเท่านัก เพราะตัวเกม CS:GO หาอาวุธยากถึงยากที่สุด และอาวุธดีๆ แทบจะไม่มีในช่วงต้นเกมเลย อีกทั้งปืนที่เก็บมาได้ก็มีกระสุนน้อยเช่นกัน (ไม่เต็ม Mag กระสุนแต่ละชนิด) ซึ่งกระสุนก็หายากตามไปด้วย (ต้องเก็บตามกล่องกระสุนและเก็บได้น้อยมาก) ทำให้เกม CS:GO ไม่สามารถยิงมั่วๆ ได้เลย ซึ่งในความยากนี้ก็ทำให้หลายคนมองว่าเป็นเกมแนว Survival ที่ดีเช่นกัน


ตายแล้วตายเลยไม่มีชุบ

     สำหรับการเล่นแบบเป็นทีม (ใน CS:GO จะมีทีมได้สูงสุด 3 คน) จุดที่แตกต่างกับเกมสไตล์ Battle Royale อื่นๆ ก็คือ หากเพื่อนในทีมตายจะไม่มีให้ชุบแต่อย่างใด ต่างจากเกมอื่นๆ ที่สามารถชุบขึ้นมาได้ งานนี้ก็ต้องเตรียมแผนการปะทะให้ดีๆ เพราะถ้าตายแล้วก็ได้แต่นั่งดูเพื่อนอย่างเดียวเลยนะ


     สรุปโดยรวม CS:GO ในโหมด Danger Zone นั้น แทบจะเทียบกับ PUBG ไม่ได้เลย ไม่ใช่เพราะเกมไม่ดีแต่เพราะเป็นความแตกต่างที่ค่อนข้างจะสุดขั้วกันมากกว่า โดย Battle Royale ของ CS:GO นั้นก็คงสไตล์ความเป็นเกม CS:GO ได้อย่างดี ไม่รู้สึกว่าเกมฝืนพยายามตามกระแสเกินไป แต่เพิ่มระบบการเล่นต่างๆ ให้น่าสนใจเหมาะกับการเป็น Battle Royale ได้ค่อนข้างลงตัว ซึ่งตัวเกมในตอนนี้ก็เปิดฟรีหากใครอยากลองด้วยตัวเองก็สามารถไปดาวน์โหลดมาเล่นใน Steam กันได้เลย

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ