เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนน่าจะยังจำเครื่อง Super Famicom Mini หรือ Super NES Classic กันได้นะครับ ที่เป็นคอนโซลรุ่นจิ๋วของเครื่อง Super Famicom ที่เคยครองตลาดเกมคอนโซลในยุคต้นของทศวรรษ 90 มาก่อน และพอมาทำเป็นรุ่นกะทัดรัดก็ได้เปลี่ยนรูปแบบการเล่นมาเป็นการบรรจุเกมลงไปในเครื่องแบบสำเร็จรูปเป็นจำนวน 21 เกม ด้วยราคาขายที่ค่อนข้างสบายกระเป๋าอยู่
ทว่ามันก็ดันมีดราม่าเกิดขึ้นจนได้ครับ เมื่อนายโทโมยูกิ มิยาโมโตะ หนุ่มจากเมืองคาชิมะ จังหวัดอิบารากิ ของประเทศญี่ปุ่น เกิดความคิดที่ว่าเจ้าเครื่อง Super Famicom Mini นี้น่าจะเอามาโมดิฟายด้วยการเพิ่มเกมเข้าไปในเครื่องได้อีก จึงหยิบเครื่องของตัวเองมาดัดแปลงจนสำเร็จ ซึ่งกระบวนการดัดแปลงเครื่องของเจ้าตัวจะไม่มีปัญหาอะไรตามมาเลย ถ้าเขาทำแล้วนำมาเล่นเงียบๆ อยู่ในที่พักอาศัยของตัวเอง แต่นายมิยาโมโตะกลับเลือกที่จะประกาศขายเครื่อง Super Famicom Mini ที่ผ่านการโมดิฟายแล้วลงบนเว็บประมูลสินค้าออนไลน์ซะงั้น ต่อมาเขาก็สามารถขายเครื่อง Super Famicom Mini ออกไปได้เป็นจำนวน 3 เครื่อง ได้เงินมาเหนาะๆ รวมทั้งหมด 61,500 เยน (ประมาณ 18,000 บาท) ถือว่ากำไรงามมาก เนื่องจากต้นทุนเครื่องนึงที่มีวางขายตามร้านค้าปลีกทั่วไป จะอยู่ราวๆ เครื่องละ 8,000 เยนเท่านั้น
แน่นอนละครับว่าการกระทำของนายมิยาโมโตะได้ไปกระตุกหนวดของผู้รักษากฎหมายเข้า ทำให้เจ้าตัวถูกจับกุมในวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเขาโดนตั้งข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ในประเทศญี่ปุ่น ด้วยการดัดแปลงทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อจำหน่ายหรือหวังผลเชิงพาณิชย์นั่นเอง ทั้งนี้ หลังจากที่นายมิยาโมโตะให้การรับสารภาพต่อข้อกล่าวหา ก็พบว่าเขาได้ใส่เกมเพิ่มลงไปเป็นจำนวน 5 เกมต่อเครื่อง และนั่นทำให้ตัวเขาต้องถูกฟ้องโดยบริษัทผู้จัดจำหน่ายเกมอย่างน้อย 4 ราย เลยทีเดียว
สำหรับประเด็นละเมิดลิขสิทธิ์นี้ โดยปกติแล้วเวลาเราซื้อผลงานที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญามา นอกเหนือจากการเอามาเสพเพื่อความบันเทิงในที่พักอาศัยแล้ว การดัดแปลงเครื่องก็มักจะไม่ได้อยู่ในข่ายที่ผิดกฎหมาย ตราบใดที่เราดัดแปลงแล้วนำมาเล่นเอง ไม่นำไปขายหรือแจกจ่ายให้ใครครับ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่นายมิยาโมโตะต้องไปนอนคุกในที่สุด จุดจบของนักโมดิฟายแท้ๆ เลย
เครดิต: Soranews24