ในขณะที่การช้อปปิ้งออนไลน์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขของการโจรกรรมหรืออาชญากรรมทางไซเบอร์ก็สูงขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน จนนักช้อปจำนวนไม่น้อยเริ่มพูดถึง “การโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว” จากบรรดาผู้ไม่ประสงค์ดี ที่มักนำข้อมูลส่วนตัวของเราไปสวมรอยเพื่อขโมยเงินจากบัญชีธนาคาร หรือนำข้อมูลที่ได้ไปซื้อของออนไลน์ ซึ่งวิธีที่เหล่าแฮกเกอร์เข้าถึงบัญชีของคุณได้ อาจจะเป็นการสร้างเพจลวง โดยส่งหน้าล็อกอินปลอมไปยังอีเมล เพื่อหลอกให้คุณกรอกชื่อผู้ใช้งานและรหัสผ่าน ซึ่งหลังล้วงข้อมูลจากคุณได้ พวกเขาก็จะสามารถเข้าถึงบัญชีธนาคารของคุณ หรืออาจจะไปขอยืมเงินจากคนที่คุณรู้จักก็ได้ แต่อย่าเพิ่งตื่นตระหนกจนเกินไป เพราะเรามี 5 เคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยป้องกันภัยคุกคามจากวายร้ายบนโลกออนไลน์มาฝาก
ข้อมูลส่วนตัวเก็บไว้ให้มิด
เราอยากให้คุณระลึกไว้เสมอว่า การให้ข้อมูลชื่อ ที่อยู่ หรือวันเกิด ที่คุณโพสต์ในเว็บไซต์สาธารณะนั้น อาจเป็นช่องทางให้อาชญากรสามารถคาดเดารหัสผ่านจากข้อมูลเหล่านี้ได้ ดังนั้นเมื่อคุณต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวบนเว็บไซต์ใดก็ตาม ต้องแน่ใจว่า ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกแชร์ให้กับเจ้าของเว็บไซต์เท่านั้น โดยไม่หลุดรอดไปสู่สายตาบุคคลอื่น
โซเชียลมีเดียนี่ล่ะ แหล่งข้อมูลชั้นดี
เชื่อว่าหลายคนต้องเคยใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเป็นพื้นที่แบ่งปันความคิด ความรู้สึก และเนื้อหาต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคล เราจึงขอแนะนำให้คุณตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในระดับความปลอดภัยสูงสุด เพื่อป้องกันบุคคลอื่นลักลอบเข้าถึงรายละเอียดในโปรไฟล์ของคุณได้
ข้อมูลการใช้บัตรเครดิตควรอยู่ในสายตาตลอดเวลา
จริงอยู่ที่ว่าระบบรักษาความปลอดภัยของธนาคารอาจช่วยปกป้องบัญชีจากการโจรกรรม แต่ก็ป้องกันได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่คุณควรทำอย่างยิ่ง คือการสมัครใช้บริการออนไลน์ของทางธนาคาร ซึ่งจะมีบริการแจ้งเตือนทางอีเมล หรือ SMS เมื่อมีธุรกรรมใดๆ เกิดขึ้นกับบัญชีของคุณ นอกจากนี้คุณยังสามารถตรวจสอบข้อมูลบัตรเครดิตของคุณผ่านเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันบนมือถือได้ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน ซึ่งหากคุณสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวผิดปกติ เช่น วงเงินบัตรที่เปลี่ยนไป คุณก็จะสามารถส่งเรื่องให้ธนาคารทราบได้อย่างทันท่วงที
ตั้งรหัสผ่านที่คาดเดาได้ยากเข้าไว้
อย่าเพิ่งหัวร้อน... เวลาถูกระบบขอให้ตั้งรหัสผ่านที่ต้องประกอบไปด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเล็ก-ใหญ่ ตัวเลข และสัญลักษณ์ผสมกัน เพื่อปกป้องคุณจากอาชญากรรมออนไลน์นั่นเอง เพราะการกำหนดรหัสผ่านที่ง่ายเกินไป เช่น ชื่อ หรือวันเดือนปีเกิดของคุณ อาจทำให้โอกาสที่จะเดารหัสผ่านถูกต้องมีมากยิ่งขึ้น แต่ถ้ากลัวจะลืมรหัสผ่าน ลองใช้คำง่ายๆ ที่คุณพอจะจำได้ เช่น “Sunday” แล้วเพิ่มสัญลักษณ์หรือตัวเลขเข้าไปให้รหัสผ่านมีความซับซ้อนมากขึ้นเป็น “sSund@y”
ดูให้ออกว่าเป็นเว็บจริงหรือหลอก
จะรู้ได้อย่างไรว่าเว็บไซต์ที่คุณกำลังเข้าชมเป็นเว็บจริงหรือปลอม แนวทางเบื้องต้น คือพิจารณาจากการใช้คำในเว็บไซต์ เพราะเว็บต่างๆ โดยเฉพาะเว็บช้อปปิ้งออนไลน์มักจะให้ความสำคัญกับการออกแบบเว็บไซต์ และการเลือกใช้คำโฆษณา เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด หากคุณสังเกตเห็นว่าภาษาที่ใช้บนหน้าเว็บดูแปลกๆ เช่น ไม่ถูกต้องตามไวยากรณ์ หรือมีการสะกดคำผิดอยู่หลายจุด ก็มีโอกาสที่เว็บนั้นอาจจะเป็นเว็บไซต์ปลอมได้ ซึ่งคุณสามารถใช้แนวทางนี้ในการสังเกตดูอีเมลปลอมได้ด้วยเช่นกัน
ที่มา: trueonline