5 ปัจจัย ที่ทำให้กระแส Battle Royale กลายเป็นเกมกระแสหลักในปัจจุบัน

แชร์เรื่องนี้:
5 ปัจจัย ที่ทำให้กระแส Battle Royale กลายเป็นเกมกระแสหลักในปัจจุบัน

     ในโลกของเกมในแต่ละยุคสมัย ก็จะมีเกมกระแสที่ดังเปรี้ยงปร้างในช่วงนั้นๆ และก่อให้เกิดเกมแนวเดียวกันผุดออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นยุค mmorpg ยุคเกม FPS ยุคเกม MOBA และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งล่าสุดก็อยู่กันในยุค Battle Royale ที่มี PUBG ที่ถึงแม้จะไม่ใช่เกมแรก แต่ก็เป็นเกมที่ปลุกกระแส Battle Royale จนฮิตเปรี้ยงปร้างอย่างที่เห็น ว่าแล้วเราก็มาดูกันดีกว่าว่าปัจจัยใดบ้าง ที่ทำให้เกมแนว Battle Royale ฮิตมากในขณะนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับเกมกระแสล่าสุดอย่างเกมแนว Moba และ FPS Team Shooting อย่าง Overwatch หรือ CS:GO เป็นต้น


แพ้ไม่เป็นไร แต่ชนะแล้วเจ๋งสุดๆ

     ในเกมกระแสสมัยก่อนที่เป็นการแข่งขัน ถ้าแนว FPS ก็เช่น CS:GO, Overwatch หรือถ้า MOBA ก็เช่น Dota2 กับ LoL เป็นต้น ในเกมเหล่านั้นที่จะต้องสู้กับคนอื่นตลอดเวลาและการชนะจะเป็นแบบ 50/50 ไม่เราก็เขา ซึ่งการแพ้ในหลายๆ ครั้งก็จะชวนหัวร้อนได้มาก (โดยเฉพาะในโหมด Rank) แต่ถึงอย่างนั้นในการชนะบางทีก็ไม่ได้ดีใจขนาดนั้น (ยกเว้นสอบเลื่อนแรงค์ผ่าน ฮา) ต่างกันกับเกมแนว Battle Royale ที่ % การชนะได้แชมป์ในแต่ละรอบค่อนข้างน้อยเพราะเราต้องสู้กับหลายทีมและมีเรื่องโชคมาเกี่ยวค่อนข้างสูง ทำให้การแพ้บางทีแม้จะเซ็งแต่ก็ไม่ได้ชวนหัวร้อนมากเสียเท่าไหร่ แค่เริ่มตาใหม่ แต่กลับกัน หากเราชนะในเกม Battle Royale กลับฟินอย่างไม่น่าเชื่อประหนึ่งได้แชมป์การแข่งขัน E-Sports กันเลยทีเดียว


การรอห้องที่ไม่นาน

     ในเกมแนว Battle Royale อย่าง PUBG หรือ Fortnite ส่วนใหญ่การรอห้องจะไม่นานมากนัก (ถ้าไม่ใช่ปัญหาที่เซิฟเวอร์) เป็นเพราะเรื่องจำนวนผู้เล่นก็ด้วย และรูปแบบของเกมที่มีผู้เล่น 100 คน ต่างกับเกมแนวอื่นอย่าง Dota2 หรือ Overwatch ที่ในบางทีการรอห้องก็เป็นเรื่องนานเสียเหลือเกิน ยิงการเล่นในโหมด Rank ที่สูงๆ ก็ต้องหาผู้เล่นให้พอดีกับความเหมาะสมของฝีมือทีมเรา ซึ่งจำนวนคนที่น้อยลงก็ทำให้การหาห้องเล่นเป็นเรื่องที่ยากขึ้น


เล่นกับเพื่อนได้ทุกระดับฝีมือ

     อีกสิ่งหนึ่งที่พิเศษสำหรับเกมสไตล์ Battle Royale ก็คือความหลากหลายของฝีมือผู้เล่น ซึ่งเกมกระแสก่อนหน้าหากเล่นในโหมด Rank ก็จะมีเรื่องระดับฝีมือที่หาก Rank ต่างกันมากๆ จะไม่สามารถเล่นด้วยกันได้ (แบบ Unrank ก็มี แต่ส่วนมากคนก็เลือกที่จะเล่นแบบ Rank กันเสียส่วนใหญ่) ต่างกับเกมสไตล์ Battle Royale ที่แม้จะมีการเก็บ Rank ตลอดแต่ก็ไม่ใช่แบบเจาะจง ทำให้ผู้เล่นสามารถจับทีมกันโดยไม่เกี่ยงระดับฝีมือ 


เล่นคนเดียวก็ได้ เล่นหลายคนก็ดี เสี่ยงเจอเกรียนน้อยกว่า

     การเล่นเกม Battle Royale เราจะสามารถเลือกจำนวนผู้เล่นในทีมได้ ไม่ว่าจะเป็น Solo คนเดียว Duo 2 คนกับเพื่อน หรือจะลงแบบ Squad 4 คนสูงสุด ต่างกับเกมกระแสในช่วงที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นแนว Team Shooting หรือ MOBA ที่เราจะต้องเจอกับเพื่อนร่วมทีมอื่นๆ เพื่อให้ครบทีม ซึ่งจุดนี้ก็เป็นปัญหาหากเรามีคนไม่ครบเช่นกัน หากดวงซวยเจอคนไม่ถูกใจ ไม่ว่าจะเกรียน Toxic เล่นห่วย เราก็ต้องทนอยู่จนจบเกมและรับสภาพนั้นไปอย่างช่วยไม่ได้ (ยิ่งอยู่ในโหมด Rank ยิ่งเซ็ง) แถมบางทีเข้าไปเล่นใหม่ก็เจอคนเดิมมาป่วนอีก! แต่สำหรับเกมแนว Battle Royale ถ้าเราสุ่มไปเจอคนเกรียนจริงๆ การรีบตายแล้วเริ่มใหม่ก็ไม่ค่อยรู้สึกเสียหายอะไรมากนัก


เจอศัตรูคนเดิม หน้าเดิม

     อีกหนึ่งปัญหาชวนน่าเบื่อในเกมกระแสก่อนๆ อย่าง MOBA และ Team Shooting โดยเฉพาะใน Rank คือการต้องเจอศัตรูหน้าเดิมๆ หากเป็นทีมที่เราสู้แล้วชนะขาดมาก็คงจะดี แต่ในบางทีเพิ่งโดนตบยับแพ้ขาด แต่เมื่อกดเล่น Rank ต่อ ก็ต้องมาเจอทีมเดิมถล่มซ้ำสอง โดยเฉพาะใน Rank สูงๆ ที่คนจะอยู่น้อยก็มักจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้มากยิ่งขึ้น จนในบางเกมถึงกับต้องมีการแอดเพื่อนศัตรูเพื่อคอยดูว่าเข้าห้องเล่นไปรึยังค่อยกดเล่นก็มี ฮา ต่างกับ Battle Royale ที่เราจะได้เจอศัตรูที่หลากหลาย และไม่ค่อยซ้ำหน้า ทำให้ไม่ค่อยเกิดเหตุการณ์ดราม่าต่อปากต่อคำกับศัตรูเสียเท่าไหร่

เข้าห้องเจอทีมที่เพิ่งชนะเรามาเมื่อกี้ GG....


     นี่ก็เป็นอีกปัจจัยทางด้าน Gameplay ที่ทำให้เกมแนว Battle Royale กลายมาเป็นกระแสถูกใจคนไปทั่วโลก จนเกมแนวนี้ถูกทำออกมาจำนวนมาก รวมไปถึงเกมสไตล์เดียวกันที่สามารถปรับปรุงให้เป็น Battle Royale ได้ ก็เริ่มทำออกมามากมายเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นมีขึ้นก็ย่อมมีลงเสมอ ดั่งเกมกระแสอื่นๆ ที่เคยดังก็ต้องมีจังหวะร่วงหล่นเป็นธรรมดา สิ่งที่น่าสนใจคือเกมแนว BR นั้นจะอยู่นานขนาดไหน และกระแสใหม่จะเป็นเกมแนวไหน ก็คงต้องมารอดูกันนะครับ

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ