เกมสยองขวัญนั้นเป็นแนวเกมที่ส่วนใหญ่มักจะมีอายุไม่ค่อยยืนด้วยหลายๆ ประการครับ ซึ่งปัญหาก็จะคล้ายๆ หนังสยองขวัญ ที่ผู้สร้างมักประสบปัญหาหมดมุกไปเสียก่อน หรือไม่ก็ด้วยความที่แนวเกมเป็นแนวเฉพาะทาง กลุ่มผู้เล่นเลยถูกตีวงแคบลงมาจากแนวที่เป็นความต้องการตลาด เช่น แนวแอ็กชั่น เป็นต้น ทำให้เราไม่ค่อยได้เห็นหลายๆ ซีรีส์ที่เคยโด่งดังในอดีตถูกปลุกชีพให้กลับมาได้รับความนิยมอีกเลย และรอบนี้ทีมงาน OS จึงขอแนะนำบทความรวมเกมสยองขวัญซีรีส์ดังในอดีต ที่โอกาสจะได้เห็นภาคต่อแทบเลือนราง จนชักไม่แน่ใจแล้วว่าภาคต่อเกมสยองขวัญเหล่านี้ กับเลือกตั้งในประเทศไทย อะไรจะเกิดขึ้นก่อนกันแน่
Clock Tower
ย้อนไปเมื่อปี 1995 ซีรีส์ Clock Tower เคยสร้างชื่อในฐานะที่เป็นเกมแนวสยองขวัญที่มีรูปแบบการเล่นเป็นลักษณะ Point and Click ซึ่งผู้เล่นจะต้องเลื่อนลูกศรที่ปรากฏบนฉากไปที่วัตถุต่างๆ ภายในห้องเพื่อสำรวจ หรือให้ตัวละครเคลื่อนที่ ทั้งนี้ Clock Tower มีการทำออกมาทั้งหมด 4 ภาค ได้แก่ Clock Tower, Clock Tower 2, Clock Tower: The Struggle Within และ Clock Tower 3 โดยสามภาคแรกได้ถูกพัฒนาโดยบริษัท Human Entertainment กระทั่งพอถึงเดือนมกราคมปี 2000 ทาง Human Entertainment ก็ประสบภาวะขาดทุนหนักจนต้องปิดบริษัทไป ต่อมาบริษัท Sunsoft ก็ได้กลายเป็นเจ้าของสิทธิ์ในตัวเกม Clock Tower แทน แล้วดึง Capcom มาร่วมพัฒนาเกมซีรีส์นี้ต่อจนออกมาเป็น Clock Tower 3 แล้ววางจำหน่ายในปี 2002 ทว่าในภาค 3 นี้เองที่โดนเกมเมอร์และนักวิจารณ์แทบทุกสารทิศสับเละว่าพอเปลี่ยนเกมเพลย์มาเน้นแอ็กชั่นมากขึ้นแล้วกลับไม่ช่วยให้เกมสนุกขึ้นเลย
หลังจากนั้นมา ซีรีส์นี้ก็เงียบหายยาวมาจนถึงปัจจุบัน และก็ไม่มีข่าวความเคลื่อนไหวใดๆ จาก Sunsoft ว่าจะหยิบซีรีส์นี้มาปัดฝุ่นอีก ในขณะที่คุณฮิฟุมิ โคโนะ อดีตผู้กำกับ Clock Tower ภาค 1 และ 2 ก็ได้ออกไปตั้งสตูดิโอใหม่ที่มีชื่อว่า Nude Maker แล้วเปิดโครงการระดมทุนเพื่อพัฒนาเกม NightCry ที่เป็นแนวสยองขวัญสไตล์ Point and Click เหมือนกับ Clock Tower ลงให้กับ PC เมื่อต้นปี 2016 แต่เหมือนคุณโคโนะแกคงลืมไปว่าระบบ Point and Click มันล้าสมัยเกินไปแล้วในยุคนี้ พอเกมวางขายปุ๊บ คะแนนรีวิวเลยเละไม่มีชิ้นดี ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2/10 เท่านั้น ด้วยคำวิจารณ์ส่วนใหญ่ที่บอกว่าเกมเพลย์มันโบราณเกินไปนั่นเอง
Silent Hill
นี่ก็เป็นอีกซีรีส์ที่ประสบภาวะขาลงด้วยเหตุผลหลายปัจจัยครับ แต่ถ้าให้จำแนกเฉพาะสาเหตุใหญ่ๆ อย่างแรกก็คือปัญหาทางด้านทีมพัฒนาที่บุกเบิกมาตั้งแต่ภาคแรกๆ ได้กระเด็นกระดอนออกจาก Konami ไปเกือบหมดแล้ว จนภาคหลังๆ ต้องโอนไปให้สตูดิโอจากต่างประเทศช่วยพัฒนาให้ ปัญหาต่อมาก็คือความหมดมุกในการต่อยอดครับ ซึ่งประเด็นนี้เคยเหมือนจะเริ่มมีความหวังมากขึ้นในภาค Homecoming ที่นักวิจารณ์หลายคนมองว่าเป็นการแตกไลน์เนื้อเรื่องได้น่าสนใจ แต่กลับไม่ได้เป็นที่พอใจของเหล่าเกมเมอร์เท่าไหร่นัก
และอีกปัญหาใหญ่ระดับบิ๊กก็สืบสานมาจากดราม่าระหว่างฮิเดโอะ โคจิม่า กับทาง Konami ที่ตอนแรกโคจิม่ามีโครงการจะทำ Silent Hill ภาคใหม่ พร้อมกับปล่อย Playable Teaser ที่มีชื่อว่า P.T. ให้ชาว PS4 ได้ลองเล่นจนขนหัวลุกไปแล้ว แต่พอมีดราม่าปุ๊บ Konami ก็ยกเลิกโปรเจ็กต์ดังกล่าวทันที พร้อมกับถอนไฟล์เดโม P.T. ออกจาก PlayStation Store จนเรียบ ชนิดที่ว่า PS4 ของใครยังมี P.T. อยู่ในเครื่องนี่แทบกลายเป็นแรร์ไอเทมได้เลย จนถึงบัดนี้ ความหวังในการทำภาคต่อของซีรีส์ Silent Hill คงมีแต่จะเลือนลางลงไปทุกที เว้นเสียแต่จะมีค่ายเกมไหนใจป้ำ กล้าทุ่มเงินซื้อสิทธิ์ในตัวเกม Silent Hill ออกมาจากอ้อมอกของ Konami ซึ่งก็ไม่รู้ว่า Konami จะยอมขายให้รึเปล่านะ (ฮา)
Dead Space
ซีรีส์นี้เป็นผลงานของ Visceral Games ที่เป็นบริษัทลูกของ EA ครับ แต่เมื่อช่วงเดือนตุลาคมปี 2017 ทาง EA ได้มีการปรับผังโครงสร้างภายในองค์กรขนานใหญ่ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อให้การทำงานของแต่ละภาคส่วนเป็นไปได้อย่างราบรื่นขึ้น ด้วยเหตุนี้ Visceral Games จึงถูกยุบและกระจายพนักงานให้ไปควบรวมกับหน่วยงาน EA Vancouver และ EA Montreal ของประเทศแคนาดา ส่วน Dead Space ที่เป็นเกมเรือธงของสตูดิโอนี้เคยสร้างปรากฏการณ์เกมสยองขวัญยุคใหม่ ถัดจากที่ Resident Evil 4 เคยปูทางจนประสบความสำเร็จมาก่อนหน้านั้นไม่กี่ปี
ทว่าพอทีมงานได้ทำ Dead Space ภาค 2 และ 3 เพื่อสานต่อความสำเร็จ ปรากฏว่ายอดขายและคำวิจารณ์กลับสวนทางกับภาคแรกอย่างลิบลับ โดยเฉพาะภาค 3 ที่มีการเปลี่ยนแปลงให้ผู้เล่นสามารถลุยแบบ Co-op ได้ สไตล์ของเกมเลยกลายมีกลิ่นอายของเกมแอ็กชั่นมากกว่าเดิม และนั่นเลยทำให้แฟนๆ Dead Space ที่มีอยู่เดิมรู้สึกไม่ปลื้ม ถึงกระนั้นกาลเวลาก็ล่วงเลยมาไกลจนเกินกว่าที่ Visceral Games จะทำอะไรได้แล้ว (เพราะโดนยุบไปรวมกับ EA แล้วนั่นเอง) ซึ่งหากจะมีภาคต่อหลังจากนี้ ก็ต้องลุ้นให้มีอะไรไปเข้าฝันผู้บริหาร EA ให้ขุดซีรีส์นี้ขึ้นมาจากป่าช้าแล้วล่ะ
Alone in the Dark
มาถึงซีรีส์รุ่นลายครามกันบ้าง Alone in the Dark นั้นเป็นเกมสยองขวัญยุคแรกๆ ที่พัฒนาเป็น 3D โพลีก้อน และค่อนข้างโด่งดังในฝั่ง PC อยู่พอตัว และพอได้ออกภาค The New Nightmare ลงเครื่องคอนโซล ความนิยมก็เริ่มแผ่ขยายมากขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ดูเหมือนจุดพีคของซีรีส์นี้จะมาได้แค่นั้นครับ เพราะหลังจาก Alone in the Dark ภาครีบูต และภาค Illumination ที่ขายในปี 2008 และ 2015 ตามลำดับได้ถูกปล่อยออกมา ก็ดูท่าว่าจะไม่ได้ช่วยให้กระแสดีกว่าแต่ก่อนเลย ในทางกลับกัน การที่เกมมีการเว้นช่วงของภาคต่อที่ค่อนข้างนานเกินไป จึงทำให้แฟนๆ ที่เคยติดตามภาคเก่าๆ ได้ล้มหายตายจากไปมากกว่าที่คิด
นอกจากนี้ ตลอดระยะเวลา 26 ปี นับตั้งแต่ภาคแรกวางจำหน่าย ซีรีส์นี้ก็ได้ออกภาคต่อออกมาอีกเพียง 5 ภาคเท่านั้น แถมทีมผู้พัฒนาก็เปลี่ยนมือกันรัวๆ ถึงเกือบ 10 บริษัท นั่นอาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเกมสู่สาธารณะเปลี่ยนไปมาก แต่ถึงกระนั้น หากใครอยากจะรู้ว่าเกมที่เป็นต้นแบบให้กับ Resident Evil รวมถึงเกมสยองขวัญอื่นๆ อีกบางซีรีส์ เราก็ยังสามารถบอกได้เต็มปากครับว่า Alone in the Dark คือหนึ่งในนั้นแน่นอน
Siren
เกมสยองขวัญที่มีธีมและกลิ่นอายแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ที่พัฒนาโดย Studio Japan ของ Sony เอง เพื่อเป็นเกม Exclusive ของ PlayStation เพียวๆ ซึ่งตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา Siren ออกมาแล้วจำนวน 3 ภาค และหนึ่งในนั้นเป็นการหยิบเอาภาคแรกมารีเมคด้วย ปัจจุบันทาง Studio Japan ก็ยังอยู่ดีมีสุข และทยอยป้อนเกมอยู่เรื่อยๆ แต่ทว่าโปรเจ็กต์ Siren นั้นก็กลายเป็นคำตอบปริศนาเรื่อยมาว่าจะมีการทำต่อหรือไม่
ทั้งนี้ สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อย่างนึงของ Siren ก็คือการแบ่งเนื้อหาของเกมออกเป็นตอนๆ และแต่ละตอนผู้เล่นก็จะได้บังคับตัวละครที่แตกต่างกันไป แถมระบบการเล่นก็ค่อนข้างน่าสนใจครับ โดยนอกจากความเป็นแนวเล่นซ่อนหากับผีแล้ว ตัวเรายังมีพลังที่สามารถสอดแนมการมองเห็นของพวกผีที่อยู่ใกล้ เพื่อให้เราสามารถรู้ได้ว่าพวกมันอยู่ตรงไหน รวมถึงรู้ที่ซ่อนของไอเทมด้วย ซึ่งในบรรดาเกมที่กล่าวมาทั้งหมด Siren ดูจะมีความเป็นไปได้ในการมีภาคต่อสูงที่สุดแล้วครับ เพราะ Sony เองก็น่าจะมีนโยบายดึงเกมเก่าๆ กลับมาพัฒนาอยู่บ้าง
Left 4 Dead
อันนี้ตัวใครตัวมันละครับ คนที่น่าจะให้คำตอบนี้ได้ดีที่สดคงหนีไม่พ้น Valve ที่จนป่านนี้เรายังไม่ได้เห็นซีรีส์ไหนของบริษัทนี้ได้ออกภาค 3 เลย ไม่ว่าจะเป็น Half-Life, Portal หรือ Team Fortress ก็ตาม ไม่รู้ว่า Valve เขามีอะไรคาใจกับเลข 3 รึเปล่าน้อ... (ฮา)