Online Station

รีวิว Shadow of the Colossus - มนต์เสน่ห์ของการไต่ยักษ์ที่ไม่เคยจางหาย

แชร์เรื่องนี้:
รีวิว Shadow of the Colossus - มนต์เสน่ห์ของการไต่ยักษ์ที่ไม่เคยจางหาย

ผู้พัฒนา: Bluepoint Games
ผู้จัดจำหน่าย: Sony
แพลตฟอร์ม: PS4
แนวเกม: แอ็กชั่น-ผจญภัย


ท่ามกลางงาน E3 2017 ที่ผ่านมา ไฮไลท์หนึ่งของเวที Sony ที่เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้มากมายคงหนีไม่พ้นการนำ Shadow of the Colossus ผลงานระดับมาสเตอร์พีซของ Team ICO และ Studio Japan มารีเมคลงบน PS4 อีกครั้ง ซึ่งการรีเมคในรอบนี้เกิดขึ้นมาได้เพราะมีกระแสเรียกร้องจากเหล่าเกมเมอร์กันถึงขนาดได้ติดอันดับต้นๆ ของเกมที่แฟนๆ อยากให้ทีมพัฒนานำกลับมารีเมคมากที่สุดเกมหนึ่ง กระทั่ง Bluepoint Games ที่เคยมีผลงานนำเกมดังของ Sony มารีมาสเตอร์แล้วหลายเกมก็เลยได้รับโอกาสตรงนี้กับการสานฝันของเกมเมอร์ที่รอคอยมานานถึง 13 ปีในที่สุด

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นภาครีเมค แต่สิ่งที่ดูใหม่และแปลกตาไปกว่าเดิมไม่ได้มีเพียงกราฟิกของเกมครับ สิ่งแรกที่อยากพูดถึงก่อนก็คือตัวเกมมีการใส่ภาษาไทยเข้าไปในเมนูและซับไตเติ้ลด้วย โดยจุดที่น่าสังเกตจะเป็นบทสนทนาของดอร์มินที่คอยบอกใบ้พระเอกตลอดทั้งเกม ภาษาที่ใช้มีความสละสลวย เป็นพรรณนาโวหารเหมือนต้นฉบับ ทำให้รู้สึกได้เลยว่าผู้แปลซับไตเติ้ลน่าจะมีความสามารถทางด้านงานแปล และเข้าใจบริบทของเกมเป็นอย่างดี ตลอดจนเมนูคำสั่งที่ปรับแต่งค่าต่างๆ ในเกมก็อ่านเข้าใจได้ง่ายเช่นกัน

ถัดมาจะเป็นเรื่องของสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ที่เล่นเกมนี้บนเครื่อง PS4 Pro ซึ่งตัวเกมนั้นจะมีให้เราปรับภาพให้แสดงผลด้วยระบบ HDR แถมยังมีให้เลือกปรับได้อีกว่าจะเน้นเอาความละเอียดของภาพเป็นแบบ 4K แต่ได้เฟรมเรตอยู่ที่ 30 FPS หรือจะเน้นที่ความไหลลื่นของเกมเพลย์ ด้วยเฟรมเรต 60 FPS แต่ลดความละเอียดของภาพลงมาที่ 1080p แทน ในขณะที่ผู้ที่ไม่ได้เล่นบน PS4 Pro ตัวเกมจะกำหนดสเปคมาตายตัวว่าให้แสดงผลที่ 1080p / 30 FPS เท่านั้น

เนื้อหาเบื้องต้นของเกมนี้จะกล่าวถึง วันเดอร์ ชายหนุ่มที่หอบร่างไร้วิญญาณของ โมโน หญิงสาวคนรักมายังดินแดนต้องห้าม เพราะทราบจากตำนานที่ร่ำลือกันว่าที่แห่งนี้มีปีศาจตนหนึ่งนามว่า ดอร์มิน ที่สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้ และหลังจากได้พบกับดอร์มิน วันเดอร์ก็ได้รับภารกิจระดับมิชชั่นอิมพอสซิเบิล ซึ่งก็คือการออกไปตามหายักษ์ (Colossi) ทั้ง 16 ตัวให้พบและกำจัดมันให้หมด เพื่อแลกกับการคืนชีพให้โมโนนั่นเอง

จากย่อหน้าข้างบนที่กล่าวว่าเป้าหมายของเราคือปราบยักษ์ 16 ตัว ต้องอธิบายก่อนครับภาพรวมของเกมนี้ เราสามารถแบ่งออกเป็น 2 ช่วงใหญ่ๆ คือการเดินทางตามหายักษ์ และการปราบยักษ์ โดยการตามหายักษ์จะเป็นลักษณะของการเสพบรรยากาศการควบม้าในดินแดนต้องห้ามที่อุดมไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี ทะเลทรายอันเวิ้งว้าง ซากโบราณสถานที่ดูอลังและแอบขลัง และทิวทัศน์ไกลสุดลูกหูลูกตา ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นจุดวัดใจคนเล่นครับ ถ้าคนเล่นเริ่มประทับใจกับการเดินทางตรงนี้ก็จะเกิดความอยากลุ้นสิ่งที่รออยู่ตรงหน้า แต่ถ้าใครดันเกิดอารมณ์เปลี่ยวเหงา มองไม่เห็นศัตรูลูกกระจ๊อกให้กระทืบเล่น หรือไม่เจอใครให้ปฏิสัมพันธ์ด้วย อาจจะพาลเลิกสนใจเอาได้ง่ายๆ

ต่อมาคือส่วนของการปราบยักษ์ที่เป็นระบบแอ็กชั่นผสมกับพัซเซิลบ้าง เกมนี้จะไม่มีศัตรูอื่นให้เราสู้เลยนอกจากยักษ์ 16 ตัวครับ ดังนั้นการผจญภัยของเกมนี้ทั้งหมดจึงเป็นการออกตามหายักษ์ที่อยู่ตามจุดต่างๆ ในดินแดนต้องห้ามแบบเรียงตัว (ข้ามไปฆ่าตัวอื่นก่อนไม่ได้ ต้องเรียงลำดับตามที่ดอร์มินบอกเท่านั้น) โดยใช้ดาบที่เรามีแต่แรกในการส่องแสงนำทางไปยังที่อยู่ของยักษ์ กระทั่งเมื่อพบตัวมันแล้ว สเต็ปต่อมาคือการหาวิธีขึ้นไปบนตัวมัน แล้วหาจุดอ่อนเพื่อสังหาร เสน่ห์และความท้าทายมันอยู่ตรงนี้แหละครับ เพราะยักษ์แต่ละตัวจะมีวิธีการปีนไม่เหมือนกัน บางตัวผู้เล่นต้องสังเกตพฤติกรรมบางอย่างที่มันทำ แล้วอาศัยพฤติกรรมนั้นในการฉวยโอกาสขึ้นไปอยู่บนตัวมัน หรือบางตัวเราก็ต้องตรวจดูสิ่งแวดล้อมรอบๆ ว่ามีจุดให้เราไปอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบเพื่อใช้มันในการลอบขึ้นไปอยู่บนตัวมันหรือไม่

นอกจากนี้ระหว่างที่เราเผชิญหน้ากับยักษ์ หากผู้เล่นใช้เวลานานเกินไป หรือจนปัญญาไม่รู้จะขึ้นไปบนตัวมันยังไงดี ดอร์มินก็จะคอยใบ้วิธีให้เราเป็นระยะ และคำใบ้ที่มันบอกมาแต่ละอย่างจะไม่ใช่คำพูดเฉลยตรงๆ ทว่าจะมาในรูปแบบของสำนวนเชิงพรรณาให้ผู้เล่นนึกภาพตาม ซึ่งถือเป็นชั้นเชิงของการใช้ภาษาและมองเป็นปริศนาได้รูปแบบหนึ่ง แน่นอนว่ายักษ์เองก็ไม่ยอมให้เราเอาชีวิตง่ายๆ มันจะพยายามดิ้นและสะบัดตัวไปมาสุดแรง เราก็ต้องหาจุดที่เป็นผิวหนังมีขนบนตัวมันในการยึดเกาะ และหาทางไปยังจุดอ่อนบนร่างกายมันต่อไป ฟีลตรงนี้จะมาแนวๆ แจ็คผู้ฆ่ายักษ์แบบเต็มๆ (สมัยยุค PS2 เกมนี้เคยถูกตั้งชื่อโดยเกมเมอร์ไทยกลุ่มนึงว่า "ไต่ยักษ์เพราะรักเมีย" ด้วยนะเออ)

เมื่อเล่นเกมจนจบแล้ว ผู้เล่นสามารถวกกลับมาปราบยักษ์ในโหมด Time Attack ได้ทุกเมื่อ เพื่อเป็นการทดสอบความสามารถของตัวเองว่าจะปราบได้เร็วแค่ไหน ซึ่งจะมีรางวัลให้กับคนที่ทำเวลาได้ดีๆ ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเกมยังมี Photo Mode ให้ผู้เล่นได้ถ่ายภาพต่างๆ ภายในเกม โดยสามารถจัดมุม องศา และพร็อพเล็กๆ น้อยๆ ในการถ่ายได้เช่นกัน ซึ่งก็น่าจะเป็นฟีเจอร์หลักอีกอย่างนึงสำหรับเกมเวอร์ชั่นรีเมคหรือรีมาสเตอร์ของฝั่ง Sony ไปแล้ว และลำพังโหมดนี้โหมดเดียวก็ทำให้เล่นเกมคุ้มแล้วครับ เพราะโลเคชั่นสวยๆ ในเกมนั้นมีเพียบเลยขอบอก


จุดเด่น

- งานภาพดีมาก ความสวยงามของสถาปัตยกรรมโดยรอบ รวมถึงธรรมชาตินั้นดูละเมียดละไมและมีชีวิตชีวา ทั้งๆ ที่บรรยากาศในตัวเกมจะชวนดูวังเวงและเหงาจับจิตจับใจก็ตาม

- ตัวเกมเน้นขายไอเดีย โครงสร้างของเกมเพลย์จริงๆ ไม่ซับซ้อน แต่ไปแน่นที่รายละเอียดตรงแก่นของการผจญภัย เอกลักษณ์ของเกมที่ยังตราตรึงในหมู่เกมเมอร์มาตลอด 13 ปีคือการค้นหาวิธีกำจัดยักษ์ที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งต้องอาศัยการสังเกตพฤติกรรม รวมถึงสิ่งแวดล้อมภายในฉากในการรับมือกับพวกมัน ตลอดจนเนื้อเรื่องที่ขยี้หัวใจคนเล่นเหลือเกิน

- Photo Mode น่าจะกลายเป็นมาตรฐานที่ต้องมีของเกมเวอร์ชั่นรีเมค/รีมาสเตอร์ของทาง Sony ไปแล้ว การได้แคปภาพแอ็กชั่นสวยๆ บนโลเคชั่นงามๆ เก็บไว้ดูหรืออวดเพื่อน เป็นอะไรที่ฟินสุดๆ


จุดด้อย

- โหมด Story ของตัวเกมมี Replay Value ที่ค่อนข้างต่ำ นั่นก็เพราะว่าเสน่ห์และความท้าทายของเกมนี้จะอยู่ที่การค้นหาวิธีขึ้นไปบนตัวยักษ์และกำจัดมัน หากเคยปราบมันได้แล้ว พอมาเล่นในรอบถัดไปเกมจะง่ายขึ้นเป็นกองเลย (เว้นแต่จะไปเล่นโหมด Time Attack ที่ต้องแข่งกับเวลาอีกที)

- มุมกล้องขณะที่ยิงธนูในบางจุดไม่สมูธนัก ส่วนหนึ่งเพราะเกมนี้ยังยึดเอาเมคานิกการเล็งของเวอร์ชั่นเมื่อ 13 ปีที่แล้วมาใช้ ซึ่งผู้เล่นที่เติบโตกับเกมยุคปัจจุบันอาจต้องทำความคุ้นชินกับมันสักระยะนึง


สรุป

นอกจากเกมนี้จะเป็นผลงานที่ถูกสร้างขึ้นตามคำเรียกร้องของแฟนๆ ทั่วโลกที่อยากให้รีเมคขึ้นมาใหม่อีกครั้ง การ Localize ตัวเกมให้เป็นภาษาไทยทั้งหมดก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดีอีกอย่างที่ทาง Sony เล็งเห็นความสำคัญของการทำตลาดเกมคอนโซลในบ้านเรา และมันก็เป็นผลพวงจากการที่คนไทยหันมาสนับสนุนเกมแท้กันมากขึ้น ถ้าใครที่ยังโหยหาความสนุกเมื่อครั้งที่เคยสัมผัสบน PS2 ก็รีบจัดได้เลย เพราะฟีลเดิมๆ มาครบหมด หรือใครที่ไม่เคยเล่นมาก่อนก็น่าลองดูนะครับ แล้วจะเข้าใจได้ว่าทำไมเกมนี้ถึง "มีดี" ขนาดที่แฟนๆ เรียกร้องให้รีเมคกันมากที่สุดเกมหนึ่งเลยทีเดียว

คะแนน 10 (ถ้าเล่นบน PS4 Pro) | 9.5 (ถ้าเล่นบน PS4 ธรรมดา)

***ขอขอบคุณทาง Sony Interactive Entertainment Singapore ที่เอื้อเฟื้อตัวเกมในการรีวิวครั้งนี้ด้วยครับ***

แชร์เรื่องนี้:
Vesper
About the Author

Vesper

เซเว่นที่ว่าแน่ ก็ยังหารักแท้มาขายไม่ได้

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

Online Station