Not a Hero
นับตั้งแต่องค์กร Umbrella ได้ล่มสลายไปเมื่อช่วงปี 2003-2004 ในฐานะที่เป็นวายร้ายต่อความมั่นคงของโลก ซึ่งลักลอบผลิตอาวุธชีวภาพเพื่อพัฒนาและจำหน่ายสู่ตลาดมืด ผู้คนทั่วโลกต่างยังคงหวาดผวาและไม่เคยลืมสิ่งที่ Umbrella เคยก่อเอาไว้ในอดีต ทว่าในตอนนี้ ทางองค์กร Umbrella ได้ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ในรูปแบบขององค์กรทหารรับจ้างมาตั้งแต่ปี 2007 ซึ่งมีอดีตทหารหลายคนจาก Umbrella เดิมได้ถ่ายโอนมายัง Umbrella ที่เป็นโฉมใหม่ด้วย โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือตามล้างตามเช็ดในสิ่งที่ Umbrella เคยทำเลวเอาไว้ และมุ่งปราบปรามอาชญากรทุกคนที่คิดจะพัฒนาหรือจำหน่ายอาวุธชีวภาพ รวมถึงผู้ที่สนับสนุนการกระทำดังกล่าวให้หมดสิ้นไป
***ปกติแล้วทหารรับจ้างบนโลกเราจะมีการจำแนกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ครับ คือ ทหารรับจ้างอิสระ (Mercenary) และองค์กรทหารรับจ้าง (Private Military Company หรือเรียกแบบย่อว่า PMC) โดย PMC จะบริหารในลักษณะบริษัทและจะถูกรับรองโดยประเทศที่องค์กรทหารรับจ้างตั้งอยู่ บางแห่งจะรับเฉพาะงานด้านอารักขาและที่ปรึกษา บางแห่งก็รับงานเฉพาะในลักษณะของกองกำลังทหาร ในขณะที่ Mercenary จะเป็นลักษณะการจ้างทั่วไประหว่างผู้ว่าจ้างกับทหาร หรือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเอเย่นต์ของทหารนั้นๆ เลย ส่วนภารกิจของพวก Mercenary ก็แล้วแต่ที่ผู้ว่าจ้างกับตัวทหารจะตกลงกัน ซึ่งมีทั้งงานสุจริตและงานใต้ดิน
สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ บ้านตระกูลเบเกอร์ ในรัฐหลุยส์เซียน่า คริส เรดฟิลด์ เจ้าหน้าที่ผู้มากประสบการณ์จาก BSAA จึงถูกเชิญตัวมาร่วมปฏิบัติการกับ Umbrella ในภารกิจ Lurking Fear ซึ่งมีเป้าหมายคือตามจับตัว ลูคัส เบเกอร์ ที่ได้รับการยืนยันข้อมูลมาว่าเจ้าตัวได้ติดต่อกับองค์กรหนึ่งที่พัฒนาอาวุธชีวภาพ E-Series (ก็คือเด็กสาวนามว่า เอเวอลิน นั่นเอง) โดยลูคัสได้รับมอบหมายให้จับตาดูพฤติกรรมของเอเวอลินระหว่างที่นางอาศัยอยู่ในบ้านเบเกอร์และคอยรายงานผลกับทางองค์กรดังกล่าวเป็นระยะ
รายงานล่าสุดของทาง Umbrella ได้สืบทราบว่าลูคัสได้ใช้เหมืองที่อยู่ใกล้กับบ้านของตัวเองเป็นแหล่งกบดานและจับตัว 3 ทหารมือดีของหน่วยที่บุกเข้ามาก่อนหน้าไปเป็นตัวประกัน คริสเลยบุกเข้าไปเพียงลำพังและพบกับทหารสองคนนอนอยู่ พอคริสพยายามจะเข้าไปช่วย ทหารคนนึงกลับเอาระเบิดมาแปะที่แขนของคริส แล้วเฉลยว่าตนคือลูคัสที่แอบเอาชุดทหารมาใส่เพื่อปลอมตัว โดยลูคัสจัดการกดสวิตช์ระเบิดสังหารทหารคนแรกตายทันที พร้อมกับขู่ไม่ให้คริสเข้ามาขัดขวาง มิฉะนั้นจะระเบิดคริสให้ตายตามไปอีกคน
คริสไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไล่ตามลูคัสไป รวมถึงตามหาทหารอีกสองนายให้พบ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถช่วยชีวิตทั้งคู่ได้เลย นอกจากนี้ภายในเหมืองยังเต็มไปด้วยพวก Mold ชนิดใหม่ที่มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูร่างกายเร็วกว่าปกติ ทำให้ไม่สามารถจัดการพวกมันด้วยกระสุนปืนปกติได้ อีกทั้งการจะกำจัดมัน จำเป็นต้องมีกระสุนปืนพิเศษที่เรียกว่า Anti-Regen Ammo (RAMRODs) ที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการฟื้นตัวของพวก Mold ด้วย ต่อมาทางโอเปอเรเตอร์ของคริสได้แจ้งเข้ามาว่า จากวิดีโอที่บันทึกไว้โดยทหารกลุ่มแรกที่บุกเข้ามา พบว่าในเหมืองมีถังไนโตรเจนเหลวอยู่ ซึ่งไนโตรเจนเหลวจะสามารถใช้มันแช่แข็งระเบิดที่ติดอยู่บนแขนคริสให้มันหยุดทำงานชั่วขณะได้ คริสเลยตามหาจนพบแล้วใช้แขนจุ่มลงไปในถังไนโตรเจนเหลว จึงแกะระเบิดออกไปได้ทันเวลาพอดี
หน้าที่สุดท้ายที่เหลือตอนนี้มีเพียงตามล่าตัวลูคัสมาให้ได้ คริสพบว่าท้ายเหมืองมีทางเชื่อมทะลุไปถึงสถานีวิจัยอาวุธชีวภาพแห่งหนึ่ง โดยสถานที่แห่งนี้ลูคัสได้รับมอบหมายให้เฝ้าติดตามเอเวอลิน และรายงานอัพเดตผลกับทางองค์กร โดยที่ทางองค์กรได้ส่งนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนึงมาประจำอยู่ในสถานีดังกล่าว เพื่อทำการทดลองและจับตาดูลูคัสไปในตัวด้วย แต่ภายหลังลูคัสได้จัดการฆ่านักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ทิ้งทั้งหมดและดำเนินการทุกอย่างแบบลับๆ ด้วยตัวเอง (ในไฟล์ที่เจอในเนื้อเรื่องอีธานจะมีบอกว่าลูคัสได้รับวัคซีนจากองค์กร ที่ทำให้เอเวอลินไม่สามารถเข้าควบคุมจิตใจได้ ซึ่งก็ต้องแลกมากับการที่ลูคัสต้องทำงานให้องค์กรเป็นการตอบแทน) และแล้วในที่สุดคริสก็บุกมาถึงห้องโถงด้านใน จนเจอกับลูคัสที่โผล่พรวดเข้ามาทำร้าย คริสเลยยิงสวนไปจนลูคัสบาดเจ็บสาหัส ระหว่างนี้เชื้อในร่างกายลูคัสก็ได้ทำปฏิกิริยาทำให้เจ้าตัวกลายร่างเป็น Mold ขนาดยักษ์ แต่คริสก็สามารถจัดการลูคัสลงได้ และทำลายเซิร์ฟเวอร์ของสถานีวิจัยเพื่อป้องกันไม่ให้ลูคัสส่งข้อมูลไปถึงองค์กรที่พัฒนาเอเวอลินได้สำเร็จ
End of Zoe
หลังจากที่อีธานจำเป็นต้องใช้วัคซีน 1 หลอดเพื่อใช้ปราบแจ็ค เบเกอร์ไป ในมือของเขาจึงเหลือวัคซีนเพียงหลอดเดียว อีธานจำต้องเลือกว่าจะช่วยใครก่อน ระหว่าง มีอา ภรรยาของเขาเอง หรือ โซอี้ ลูกสาวของบ้านเบเกอร์ที่คอยช่วยเหลืออีธานมาตลอด แต่แล้วอีธานก็เลือกที่จะช่วยมีอา พร้อมกับสัญญากับโซอี้ว่าจะไปตามคนมาช่วย ทางด้านโซอี้ที่รู้สึกหมดหวัง คิดว่าคงไม่มีใครจะช่วยเธอได้ ก็เกิดอาการที่เชื้อในตัวทำปฏิกิริยาจนร่างกายเธอตกผลึกและแน่นิ่งไป กระทั่งเจ้าหน้าที่ของ Umbrella ตามมาเจอและเข้าตรวจสอบร่างของโซอี้ สักพักชายวัยกลางคนรายหนึ่งก็โผล่ออกมา และดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้จักกับโซอี้ด้วย ชายคนดังกล่าวโกรธจัดนึกว่าทหารของ Umbrella ทั้งสองนายเป็นคนทำร้ายโซอี้ เลยซัดพวกเขาจนสลบแล้วแบกโซอี้ไปไว้ที่กระท่อมของตัวเอง
ณ กระท่อมนั้น ชายคนนี้ก็เผยว่าตนเองคือ โจ ผู้เป็นลุงแท้ๆ ของโซอี้ ซึ่งทหาร Umbrella ที่โดนโจจับมาก็เล่าให้ฟังว่าโซอี้ติดเชื้อ และต้องได้รับวัคซีนเพื่อรักษา ซึ่งเพื่อนร่วมทีมของตนที่มีวัคซีนอยู่ได้รออยู่ที่กระท่อมอีกหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก โจเลยมุ่งหน้าไปที่กระท่อมนั้นทันที ซึ่งที่นั่นโจก็พบว่าทหารของ Umbrella ได้กลายเป็นศพไปเสียแล้ว โดยในมือของศพได้กำหลอดวัคซีนที่เหลือตัวยาอยู่นิดหน่อย โจเลยหยิบมาแล้วเดินทางกลับ ปรากฏว่าเกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่กระท่อมของโจ เจ้าตัวเลยรีบเข้าไปฉีดวัคซีนให้โซอี้ก่อน แต่อาการของโซอี้ก็ยังไม่ดีขึ้น ทหารของ Umbrella เลยบอกว่าปริมาณวัคซีนที่โจได้มามันไม่เพียงพอ การจะรักษานางได้ต้องฉีดวัคซีนให้ครบโดส เลยขอให้ช่วยแก้มัดให้ตนเองก่อน แล้วจะพาโจไปเอาวัคซีนที่แคมป์ด้วยกัน ทว่าขณะที่โจลังเลจะเข้าไปแก้มัดให้ ก็มีสิ่งมีชีวิตลึกลับพังกำแพงกระท่อมเป็นรูแล้วลากทหารคนนั้นไปฆ่าอย่างโหดเหี้ยม โจเลยรีบอุ้มโซอี้ขึ้นเรือแล้วหนีไป (ระหว่างที่นั่งเรือหนีจะเห็นว่าสิ่งมีชีวิตตัวนั้นมีรูปร่างคล้าย Mold)
พอถึงท่าเรืออีกฝั่ง โจนำร่างของโซอี้ไปพักที่กระท่อมใกล้ๆ กัน แล้วออกเดินทางต่อจนไปเจอซากเรือลำหนึ่ง ภายในนั้นโจก็ได้เจอเครื่องผลิตวัคซีนและสามารถสร้างวัคซีนสำหรับใช้รักษาโซอี้ได้สำเร็จ ทันใดนั้น Mold ที่พังกระท่อมของโจก็ตามมารังควานอีกรอบ โจเลยปราบมันแล้วรีบกลับไปหาโซอี้ แต่ Mold ก็ฉวยโอกาสโผล่ตามมาชิงตัวโซอี้ลงน้ำไปได้ก่อน โจจึงต้องรีบลงเรือแล้วบึ่งตามไป ไม่นานนัก โจก็ไล่ตามจนมาถึงโบสถ์แห่งหนึ่ง และพบกับโซอี้ที่นั่น ทันใดนั้น Mold ที่ดักรอโจอยู่ก่อนแล้วก็ปรากฏตัวขึ้น ระหว่างที่สู้กันโจได้จัดการแงะเปลือกที่หุ้มใบหน้าเจ้า Mold ออก จนรู้ความจริงว่าเจ้า Mold ตัวนี้ก็คือ แจ็ค เบเกอร์ น้องชายแท้ๆ ของโจนั่นเอง โจซึ่งกำลังตะลึงกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าก็พลาดท่าถูกแจ็คชกจนสลบไป พอฟื้นขึ้นมา โจก็พบว่าตัวเองถูกแจ็คยัดใส่หีบแล้วนำไปลอยในบึง เคราะห์ดีที่โจหลุดจากหีบออกมาได้ และไปเกยตื้นที่ฝั่ง
โจเดินทางต่อจนไปโผล่ที่บ้านริมบึงของตระกูลเบเกอร์ (บ้านที่เราเจอมาร์เกอรีธเดินถือตะเกียงในเนื้อเรื่องหลัก) จากนั้นก็เจอกับแคมป์ขององค์กร Umbrella ที่มากางเต๊นท์อยู่ตรงบริเวณลานกว้างหน้าบ้าน พร้อมกับศพทหารของ Umbrella นอนเกลื่อนเต็มไปหมด ซึ่งทหารเหล่านี้ถูกแจ็คบุกเข้ามาสังหารเรียบ และมีไฟล์ 2 ฉบับที่อยู่ในแคมป์ได้ระบุเกี่ยวกับผลการวิเคราะห์เนื้อเยื่อที่ได้มาจากร่างของแจ็ค เบเกอร์ โดยได้ข้อสรุปว่าเซลล์ของแจ็คนั้นมีความยืดหยุ่นต่อการรับความเสียหายทั้งทางกายภาพและทางเคมีมากกว่าสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ที่ติดเชื้อมาในเวลาไล่เลี่ยกัน จึงทำให้เซลล์ในร่างกายแจ็คสามารถฟื้นฟูและซ่อมแซมบาดแผลได้ไวมาก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเซลล์ของแจ็คจะสามารถซ่อมแซมตัวเองได้เร็วก็จริง แต่การเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้ซ้ำๆ บ่อยๆ มันได้ส่งผลเสียกับโครงสร้างภายในของเซลล์อย่างร้ายแรง (เพราะแจ็คถูกอีธานและคนอื่นๆ ยิงมาเยอะ ไหนจะโดนไฟคลอกอีก) ผลคือผิวหนังของแจ็คเกิดการลอกคราบเป็นเมือกเหลวจนไม่สามารถกลับคืนรูปเดิมได้ ทางทีมวิเคราะห์จึงตั้งข้อสันนิษฐานว่าสภาพของเซลล์ในตัวแจ็คน่าจะถึงจุดวิกฤตแล้ว
***ขณะเดียวกัน ไฟล์อีกฉบับจะเป็นรายละเอียดของปลอกแขนเหล็ก AMG-78 ที่โจเก็บมาใช้ก่อนที่จะมาถึงบ้านเบเกอร์ โดยมันเป็นอุปกรณ์ทุ่นแรงที่เมื่อสวมใส่แล้วจะเชื่อมต่อกับระบบประสาทของผู้สวม และเมื่อเหวี่ยงหมัดออกไปจะทำให้มีพลังโจมตีมากกว่า 50 แรงม้า แถมยังไม่มีแรงดีดกลับต่อผู้สวมใส่อีกด้วย
ภายในห้องโถงของบ้านเบเกอร์ โจพบกับโซอี้อีกครั้ง และแจ็คก็โผล่มาขวางอีกเช่นเคย ทว่าคราวนี้โจที่มีอาวุธล้ำยุคอย่าง AMG-78 เป็นฝ่ายกำชัยได้อย่างไม่ยากเย็น พร้อมกับอัดแจ็คจนเละคาที่ไปเลย จากนั้นโซอี้ก็ได้รับการฉีดวัคซีนที่โจดั้นด้นหามา ร่างกายของเธอเริ่มดีขึ้นจนได้สติกลับคืน ระหว่างที่โซอี้คุยกับโจผู้เป็นลุง คริสก็เดินเข้ามาพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้โซอี้คุยกับอีธาน ซึ่งอีธานเป็นคนที่แจ้งคริสกับหน่วยของ Umbrella ว่าให้มาช่วยเหลือโซอี้ที่ยังรอดชีวิตอยู่ โซอี้เลยซึ้งกับคำสัญญาที่อีธานให้ไว้ว่าจะไปตามคนมาช่วย และนั่นก็คือบทสรุปของโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมด ณ บ้านตระกูลเบเกอร์ ที่ต้องมาประสบเคราะห์ร้ายจากน้ำมือของเด็กผู้หญิงนามว่า เอเวอลิน นั่นเอง