ก่อนอื่นเลยต้องอธิบายก่อนว่าระบบ Micro-Transactions คือระบบที่เราต้องเสียเงินเพิ่มในเกม เพื่อที่จะซื้อไอเทม, เลเวล หรือระบบพิเศษที่ไม่ต้องไปนั่งเล่นให้เสียเวลาเพื่อไปปลดล็อคหรือไม่ต้องนั่งเก็บเงินในเกมซื้อนั้นเอง ยกตัวอย่างเช่น Star Wars Battlefront 2 ที่มีระบบ Micro-Transactions อาจจะมีให้ซื้อไอเทมหรือตัวละครฮีโร่ในราคา 1,000 กว่าบาท เพื่อใช้ปลดล็อคตัวละคร (ไม่งั้นเล่นเองนานมาก) เป็นต้น ดังนั้นเราจึงขอนำเสนอบทความ "รวมมิตรเกมดังแนวเทพทรู ใครใจไม่ถึงไม่ใช่สายเปย์หลบไป!" ซึ่งจะมีเกมอะไรกันบ้างนั้นไปดูกันเลยดีกว่า
Mass Effect: Andromeda
ข้อมูล: https://www.masseffect.com/buy
เกมตะลุยทางช้างเผือกที่มีระบบ Micro-Transactions ไว้ใช้อัพเกรดอุปกรณ์ อุปกรณ์ตกแต่งชุด และเพิ่มค่าเก็บประสบการณ์ในโหมด Multiplayer ที่ราคาแต่ละอย่างไม่น้อยหน้า Star Wars Battlefront 2 เลย
Need for Speed: Payback
ข้อมูล: https://www.ea.com
เกมรถแข่งซึ่งระห่ำที่ตัวเกมต้องใช้การด์อัพเกรดรถเพื่อพัฒนารถให้ดียิ่งขึ้น แต่ตัวเกมกลับเน้นอัพเกรดรถและการเก็บคะแนนที่น้อยมาก จนบีบผู้เล่นทางอ้อมให้หันไปใช้ระบบ Micro-Transactions หรือเงินจริงซื้อการ์ดมาทดแทนเสียมากกว่า
Destiny 2
ข้อมูล: https://www.destinythegame.com/
เกมยิงปกป้องจักรวาลที่มีระบบ Micro-Transactions เป็นทางลัดในการอัพเกรดอาวุธใช้สำหรับไปลุยออนไลน์ในโหมด PVE และ PVP รวมไปถึงเสริมความสามารถและระบบปรับแต่งอื่นๆ เพื่อให้ตัวละครมีความโดดเด่นเป็นของตนเองได้อีกด้วย
Middle-Earth: Shadow of War
ข้อมูล: http://store.steampowered.com
เกมจักรวาล The Lord of The Ring ที่ใช้เงินจริงเพื่อเปิดกล่องหาไอเทม โดยหีบหลายๆ อย่างที่สุ่มไอเทมนั้นปะปนตั้งแต่ระดับจนถึงระดับสูง รวมถึงปลด Challenge หรือ Achievement บางตัวได้อีกด้วย
FIFA 18
ข้อมูล: https://www.origin.com
เกมซีรี่ส์นักเตะแข้งทอง ที่ภาคหลังๆ พยายามผลักดันให้ผู้เล่นต้องเติมเงินถึงจะเก่งไว จ่ายแหลกเปิดแพ็คหาตัวนักเตะแข้งทองเก่งๆ เพื่อแข่งกับคนอื่นได้ มิเช่นนั้นก็ต้องพึ่งพาที่ดวงไม่ก็ผู้เล่นฝีมือเก่งๆ โดยที่ EA ไม่ได้สนใจที่จะแก้ไขปัญหาในเกมเลย
หวังว่าบทความเหล่านี้คงถูกใจเพื่อนๆ ทุกท่านไม่มากก็น้อย หากใครที่มีเกมอื่นที่เห็นว่าใส่ระบบ Micro-Transactions เพื่อสูบเลือดเงินนอกเหนือจากนี้ เพื่อนๆ สามารถมาแบ่งปันและแชร์ความคิดเห็นกันได้นะครับ
เรื่องโดย: คุณแว่นหมาป่า
ที่มา: http://whatculture.com