[รีวิว] Wolfenstein II: The New Colossus – ลุยแหลกแหวกค่ายนาซี ภาค 2

แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, PC (ส่วน Nintendo Switch มีกำหนดวางขายในปี 2018)
ผู้พัฒนา: MachineGames
ผู้จัดจำหน่าย: Bethesda Softworks
เรต: 17 ปีขึ้นไป
ระยะเวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการเล่นจนจบเกม: ประมาณ 6-7 ชม.
ระยะเวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการเล่นแบบเก็บทุกรายละเอียด: ประมาณ 8-10 ชม.

**ทีมงาน OS ขอขอบคุณบริษัท Sony Interactive Entertainment Singapore ที่เอื้อเฟื้อตัวเกมเวอร์ชั่น PS4 มาให้รีวิวด้วยนะครับ**

หากพูดถึงเกมที่เล่นกับเนื้อเรื่องที่มีรายละเอียดเกี่ยวข้องกับกลุ่มนาซีได้ดีที่สุด เชื่อว่าชื่อเกม Wolfenstein นั้นคงเด้งขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในหัวเกมเมอร์หลายๆ คนแน่ๆ เพราะแก่นเนื้อเรื่องหลักของเกมนี้นับตั้งแต่ภาค The New Order ซึ่งถือเป็นภาคแรกของการรีบูตนั้นวนเวียนอยู่กับคำถามที่ว่า ‘จะเกิดอะไรขึ้นหากนาซีหรือเยอรมันเป็นผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2’ หากฮิตเลอร์คือผู้กำชัยในศึกสงครามครั้งนี้ โลกของเราจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน คำตอบก็อยู่ในเกมซีรีส์นี้นี่ละครับ

เนื้อเรื่องในภาคนี้ดำเนินต่อจากฉากจบในภาค The New Order แบบฉากต่อฉาก โดยในช่วงเริ่มแรก ตัวเกมจะทำการปูเนื้อเรื่องในภาคแรกให้คร่าวๆ สำหรับผู้เล่นใหม่หรือผู้เล่นเก่าที่อาจจะลืมๆ เนื้อเรื่องไปบ้างแล้ว หลังจากนั้นก็จะเดินเรื่องต่อแบบไม่ให้ขาดช่วงกันเลย ดังนั้นเนื้อเรื่องในภาคนี้จะดำเนินต่อจากฉากที่ตัวเอกของเรานามว่า วิลเลียม โจเซฟ ‘บีเจ’ บลาซโควิซ (ซึ่งต่อไปนี้จะขอเรียกย่อๆ ว่าบีเจ) ได้โดนระเบิดจากการต่อสู้กับบอสใหญ่นายพล Deathshead จนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่ด้วยการช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมคณะปฏิวัติ เขาจึงเอาชีวิตรอดมาได้ แต่ก็ต้องแลกกับการนอนโคม่าอยู่เป็นเวลานานถึง 5 เดือนเต็ม แถมตื่นมาก็ต้องเจอกับสภาพร่างกายที่จะพังมิพังแหล่ ซึ่งทำให้ในช่วงต้นของตัวเกมนั้น เราจะได้เล่นเป็นบีเจที่นั่งอยู่บนรถเข็น มือควงปืนไล่กราดยิงพวกนาซีทิ้งแบบไม่แคร์สภาพร่างกายเลยทีเดียว แต่สำหรับเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ที่อยากจะบู๊ล้างผลาญก็ไม่ต้องเป็นห่วงกันไป เพราะหลังจากนี้ ตัวเอกของเราก็จะได้รับการอัพเกรดขึ้นเรื่อยๆ ตามเนื้อเรื่องของเกมเองครับ

แก่นหลักๆ ของเกมในภาคนี้ก็ยังคงวงเวียนอยู่กับการฆ่าล้างบางพวกนาซีเพื่อช่วงชิงอิสรภาพที่เสียไปกลับคืนมา แต่ถ้าพูดถึงความเข้มข้นของเนื้อเรื่องนั้น ขอบอกเลยว่าภาคนี้แซงภาคก่อนไปไกลมาก ทั้งพลิกล็อค หักมุม คาดเดาไม่ได้ แถมประเด็นไหนที่พอจะหยิบมาขยี้ได้ ตัวเกมก็นำออกมาขยี้เละคาฝ่าเท้าหมดทุกเรื่อง ทั้งประเด็นด้านการเมืองต่างๆ เรื่องการกดขี่ การเหยียดสีผิว แม้กระทั่งเรื่องความเป็นฮีโร่อย่างที่บีเจของเราต้องเผชิญ ตัวเกมก็ไม่ลืมที่จะขยี้ด้วยการย้ำแล้วย้ำอีกให้เห็นในช่วงแรกๆ ว่าวีรบุรุษที่ภายนอกดูแข็งแกร่งไม่มีใครทัดเทียมได้นั้น แท้จริงแล้วก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงสภาพร่างกายที่เสื่อมโทรมไปตามธรรมชาติได้ แถมนอกจากประเด็นนี้ก็ยังมีประเด็นต่างๆ อีกเป็นโขยงที่โดนจิกกัดจนพรุนไปหมด เรียกได้ว่าสำหรับใครที่ตามประวัติศาสตร์ความขัดแย้งช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มาจะต้องร้องซี้ดไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งอย่างแน่นอน

แต่สำหรับใครที่กลัวว่าแล้วแบบนี้เกมมันจะเครียดเกินไปรึเปล่า…ไม่เลยครับ เหล่าตัวละครต่างๆ จะมีการยิงมุกตลกออกมาเป็นระยะๆ เพื่อบรรเทาไม่ให้บรรยากาศภายในเกมตึงเครียดเกินไป ซึ่งจุดนี้เองที่ยิ่งช่วยเสริมให้ตัวเกมดูมีเสน่ห์มากขึ้น เพราะเหล่าตัวละครต่างๆ ทั้งใหม่และเก่านั้นต่างมีชีวิตชีวาและชวนให้หลงรักได้หมดทุกตัว ชนิดที่ว่าไม่ต้องการเนื้อเรื่องเบื้องหลังอะไรมากมายให้ยุ่งยาก โดยเฉพาะคุณป้าตัวร้ายอย่างนายพล Engel ขอบอกเลยว่าถึงพริกถึงขิงสุดๆ ทุกๆ ฉากที่ป้าแกโผล่หน้ามาเยี่ยมเยือนนี่ตราตรึงหัวใจมากๆ แต่จะเป็นในด้านไหนนั้น ต้องไปลองสัมผัสกันดูครับ

พูดถึงเนื้อเรื่องกันมาเยอะแล้ว เปลี่ยนบรรยากาศมาพูดถึงระบบของเกมกันบ้าง ในภาคนี้ยังคงความเป็นคลาสสิค FPS เหมือนภาคก่อนอยู่ครบถ้วนทุกประการ ทั้งระบบพลังชีวิตและเกราะคุ้มกันที่ยังคงเป็นขีดตัวเลขแบบเกมเก่าๆ ซึ่งจริงๆ แล้วก็ต้องบอกว่าเป็นดาบสองคมเหมือนกัน โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เคยชินกับเกม FPS สมัยใหม่ไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่นเมื่อตัวละครของเราโดนยิงใกล้ตาย ถ้าเป็นเกมทั่วๆ ไป หน้าจอก็จะกลายเป็นสีแดงเพื่อเตือนว่า ‘เฮ้ย…ถึงเวลาหลบเข้าที่กำบังแล้วนะ’ แต่ในเกมนี้นั้นจะมีเพียงแค่เสียงร้องเอื้ออ้าของบีเจของเราคอยเตือนเท่านั้น และเชื่อได้เลยว่าในตอนที่กำลังวิ่งฝ่าดงกระสุนอยู่ คงไม่มีใครเสียเวลาเหลือบตามามองดูค่าพลังชีวิตแน่ๆ ผลลัพธ์ก็คือมีหลายๆ ครั้งที่จู่ๆ บีเจก็ลงไปนอนวัดพื้นซะอย่างนั้น ยิ่งเมื่อบวกกับระบบการเก็บกระสุนและไอเทมเติมพลังชีวิตที่ผู้เล่นต้องมาคอยกดปุ่มเก็บเอง (จริงๆ ตัวเกมมีระบบเก็บของแบบอัตโนมัติให้ แต่ขอบเขตการเก็บนั้นแคบเสียจนไม่รู้จะแคบยังไง) ขอบอกเลยว่าลำบากสุดๆ

แม้จะเป็นเกม FPS แต่ซีรีส์ Wolfenstein นั้นก็ยังคงมีระบบ Stealth อยู่เหมือนกัน โดยระบบลอบเร้นในภาคนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นจากภาคก่อนเยอะมาก โดยเฉพาะเหล่า NPC ที่ได้รับการอัพเกรดให้ฉลาดและตาไวขึ้นกว่าเดิม (จนบางครั้งก็เหมือนจะตาไวไปนิด) และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือระบบ Broadcasting Alarm หรือระบบสังหารเหล่าผู้บังคับบัญชาการซึ่งเพิ่มความสนุกและความยากให้กับตัวเกมอีกหลายขุม โดยในภาคนี้หากเราเผลอไปทำให้ศัตรูรู้ตัวขึ้นมา เราจะได้พบกับเหล่าทหารนาซีที่จะยกขบวนกันมาไล่ฆ่าเราเป็นโขยงไม่มีหยุด จนกว่าเราจะหาตัวผู้นำในด่านนั้นๆ พบและจัดการสังหารลงได้นั่นเอง สำหรับสายบู๊แหลกก็มันส์กันไป ขณะเดียวกัน ใครที่เป็นสายลอบเร้นรับรองเลยว่าตื่นเต้นกันทั้งด่านแน่นอน

ระบบอาวุธและการอัพเกรดสกิลโดยหลักๆ นั้นก็ยังคงเหมือนในภาค The New Order แต่ในภาคนี้จะมีชุด Upgrade Kit ให้คอยเก็บตามฉากเพื่อนำมาอัพเกรดอาวุธให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเราสามารถอัพเกรดอาวุธได้ทุกชนิดตั้งแต่ปืนพกยันลูกระเบิด อีกทั้งปืนบางชนิดยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นเลือกได้ด้วยว่าจะเปลี่ยนการยิงให้เป็นแบบไหน จะให้ยิงแบบกึ่งออโต้หรือยิงทีละนัด และในส่วนของระบบสกิลก็จะอัพเกรดขึ้นตามการใช้งานของผู้เล่นเหมือนในภาคก่อน เช่นถ้าใครเล่นสายลอบเร้นก็จะได้สกิลแนวย่องไวมาใช้งานกัน หรือถ้าใครชอบบู๊ล้างผลาญก็จะได้สกิลที่ทำให้ตัวละครของเรายิงได้แรงขึ้น เติมกระสุนได้ไวขึ้น แต่ลูกเล่นใหม่ที่เพิ่มเข้ามาอีกอย่างก็คือระบบ Contraption หรือเรียกอีกอย่างว่าอุปกรณ์เสริมความสามารถ โดยในตัวเกมจะมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 3 ชนิด ซึ่งผู้เล่นอย่างเราๆ ก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับสไตล์การเล่นของแต่ละคน อย่างใครที่เป็นสายบู๊ก็อาจจะเลือกเกราะเสริมพลังที่เปลี่ยนบีเจของเราให้กลายเป็นรถถังสายพุ่งชนไม่เลือกหน้า หรือถ้าใครเป็นสายลอบเร้นก็อาจจะเลือกเกราะบีบร่างกายที่ทำให้เราสามารถมุดเข้าไปในช่องแคบๆ หรือตามท่อต่างๆ ได้ ซึ่งเจ้าอุปกรณ์ที่กล่าวมานี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกมนี้แตกต่างไปจากเกม FPS ธรรมดาทั่วๆ ไปนั่นเอง

อีกจุดหนึ่งที่ทำให้ Wolfenstein II แตกต่างจากเกม FPS อื่นๆ ก็คือระบบการถอดรหัส Enigma Code หรือจะเรียกว่าเป็นระบบภารกิจเสริมก็ได้ โดยภายหลังจากที่เราสังหารผู้บังคับบัญชาการตามด่านต่างๆ ได้นั้น เราจะได้รับแผ่น Enigma Code มาให้ถอดรหัสกัน ซึ่งการถอดรหัสก็จะเป็นเหมือนพัซเซิลเล็กๆ ให้ขบคิด และหลังจากถอดรหัสมาได้ เราก็จะได้ตำแหน่งที่อยู่ของท่านผู้นำคนใหม่มา ซึ่งเราก็สามารถไปที่โต๊ะวางแผนและเลือกไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อสังหารเป้าหมายได้ตามต้องการ

ส่วนสุดท้ายที่ทำให้เกมนี้มีเสน่ห์ยิ่งกว่าเกมไหนๆ เลยก็คือเรื่องระดับความยากนี่ละครับ ตัวเกมแบ่งระดับความยากออกเป็นทั้งหมด 7 ระดับ ซึ่งขอบอกเลยว่าแม้แต่ในระดับ Medium หรือปานกลางก็ยังจัดว่ายากเอาเรื่องเมื่อเทียบกับเกมเดินยิงเกมอื่นๆ อย่าง Battlefield หรือ Call of Duty แถมระบบ Aim Assist ของตัวเกมก็แคบมากๆ ใครที่เล่นกับจอยก็อาจจะลำบากกันหน่อย แต่ประเด็นนี้ไม่ต้องเป็นห่วงไปครับ เพราะเราสามารถเลือกปรับระดับความยากได้ตลอดทั้งเกม ถ้ารู้สึกว่าเริ่มหัวร้อนแล้วก็อาจจะปรับให้ง่ายลงมาหน่อย หรือถ้าหากอยากลองบู๊มันส์ๆ ก็เลือกให้ยากขึ้นได้ตามต้องการได้เลย

ในด้านของกราฟิกนั้น ตัวเกมได้รับการพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีจากเอนจิ้น id Tech 6 ซึ่งบอกได้คำเดียวเลยว่าสวยมากๆ โดยเฉพาะรายละเอียดของควันและระเบิดต่างๆ นี่ มันช่างจ้าเสียเหลือเกิน ยิ่งเมื่อบวกกับภาพคัทซีนและเพลงประกอบฉากที่ชวนให้ฮึกเหิมเอามากๆ แล้ว บางทีก็รู้สึกเหมือนกับกำลังดูภาพยนตร์อยู่เหมือนกัน


จุดเด่น

– เนื้อเรื่องที่พลิกแพลงอยู่แทบจะตลอดเวลา และการออกแบบตัวละครที่ดูมีชีวิตชีวา รู้สึกได้ว่าเป็นฮีโร่ที่ ‘เข้าถึงได้’
– ระบบการเล่นต่างๆ ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว อีกทั้งความยากของเกมที่เข้าขั้นท้าทายฝีมือคนเล่นได้ดีเลย
– เพลงประกอบของเกมมีธีมที่เร้าใจ ชวนให้รู้สึกฮึกเหิมตามได้ตลอดทั้งเกม
– ระหว่างดำเนินเนื้อเรื่องในเกมจะพบเห็นการจิกกัดต่างๆ ที่ทำให้เกมเมอร์ที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์มีสะดุ้งกันเรื่อยๆ

จุดด้อย

– ระบบการเก็บไอเทมที่บางทีก็ชวนให้ตายได้ง่ายๆ
– การวางจุดเช็คพอยต์ในเกมค่อนข้างจะห่างกันพอสมควร ถ้าตายทีมีวิ่งย้อนกันยาวเลย

    
สรุป

โดยรวมแล้ว Wolfenstein II: The New Colossus นั้นถือเป็นเกม FPS ระดับมาสเตอร์พีซอีกเกมหนึ่งเลยครับ แม้จะมีบางจุดที่อาจดูฮาร์ดคอร์เกินไปจนดูป่าเถื่อนไปบ้าง แต่ถ้าหากเพื่อนๆ คนไหนอยากลองสัมผัสกับความโหดร้ายของกลุ่มนาซีและการเล่นเกมที่ชวนให้เดือดเลือดพล่านแล้ว เกมนี้ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสุดๆ เลยขอบอก

คะแนน 9 / 10

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้