แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, PC
ผู้พัฒนา: Sledgehammer Games
ผู้จัดจำหน่าย: Activision
เรต: 17 ปีขึ้นไป
**ทาง OS ขอขอบคุณทางบริษัท Sony Interactive Entertainment Singapore (SIES) ที่เอื้อเฟื้อตัวเกมเวอร์ชั่น PS4 สำหรับการรีวิวครั้งนี้ด้วยครับ**
ภาพลักษณ์ของซีรีส์ Call of Duty นั้นเป็นเกมแนว FPS ซึ่งมีภาคต่างๆ ออกมาให้เล่นกันมากมายตั้งแต่ปี 2003 เลยทีเดียว โดยเริ่มสร้างชื่อจากการเป็นเกมที่มีเนื้อหาในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ได้รับความนิยมจากความโดดเด่นของเนื้อเรื่องที่เข้มข้นและมีภารกิจให้ทำหลากหลายรูปแบบ จากนั้นมาก็ออกภาคต่างๆ มาอย่างต่อเนื่องเกือบทุกปี ทั้งนี้ก็เพราะว่าทาง Activision มีการจัดทีมพัฒนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งปัจจุบันมีทีมพัฒนาใหญ่ๆ ถึงประมาณ 3 ทีม เพื่อใช้เวลาในการทำภาคละ 3 ปีจนสามารถออกเกมได้ทุกปี และจากที่เกมออกมาเรื่อยๆ นี้เองทำให้เนื้อเรื่องต้องเปลี่ยนจากยุคสงครามโลกไปกลายเป็นสงครามในยุคปัจจุปัน โลกอนาคต ไปจนถึงสงครามบนอวกาศด้วยอาวุธล้ำยุคราวกับสตาร์วอร์สกันเลย แต่กลับกลายเป็นว่าแฟนๆ ของซีรีส์ดูจะไม่ค่อยพอใจกับเนื้อเรื่องและอาวุธของภาคไซไฟกันเท่าไหร่ ในที่สุด Call of Duty ของปี 2017 ก็ได้ย้อนคืนสู่จุดกำเนิดในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกครั้งครับ
ก่อนอื่นเรามาพูดถึงโหมดแคมเปญกันก่อน โดยโหมดเนื้อเรื่องของภาคนี้ถือว่าเป็นโหมดที่มีความโดดเด่นที่สุดของภาคนี้เลย เพราะนอกจากจะปูพล็อตเรื่องกลับไปสู่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ยังมีการนำระบบเกมยุคเก่ากลับมาด้วย เราจะได้รับบทเป็นพลทหารแดเนียลส์ (Daniels) ตลอดทั้งเกม แต่เขาจะมีกลุ่มเพื่อนทหารร่วมสงครามที่คอยช่วยเหลืออีกหลายคน เช่น ซัสส์แมน (Zussman) ที่เป็นเพื่อนสนิทหรือ สไตลส์ (Stiles) ที่ต้องการจะถ่ายรูปสงคราม ซึ่งระหว่างการเล่นจะมีบทสนทนาและฉากเล่าเรื่องให้ผู้เล่นได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวตลอด ส่วนทางด้านเกมเพลย์นั้นมีการนำระบบในภาคแรกกลับมาใช้ นั่นก็คือพลังชีวิตของเราจะไม่ฟื้นคืนขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ การจะฟื้นพลังได้ต้องใช้ชุดพยาบาลฟื้นพลังเท่านั้น และผู้เล่นจะสามารถเก็บชุดพยาบาลติดตัวได้สูงสุดแค่ 4 ชิ้น จึงทำให้เกมเล่นยากขึ้น ไม่สามารถยื้อกับกลุ่มศัตรูจำนวนมากได้นานๆ อีกต่อไป ที่จริงแล้วซีรีส์ Call of Duty นี่แหละครับที่เป็นผู้ริเริ่มระบบการหลบอยู่เฉยๆ แล้วฟื้นพลังได้เอง เพราะจะทำให้ผู้เล่นสู้ได้อย่างต่อเนื่องกว่า กลายเป็นวิถีปฏิบัติที่ส่งต่อกันมายังเกมแนว FPS อื่นๆ จนต้องทำตามเป็นมาตรฐาน แต่โหมดเนื้อเรื่องของภาคนี้ได้กลับไปใช้ระบบเดิมเพราะต้องการให้เกมมีความท้าทายและยังต้องการให้ผู้เล่นพึ่งพาตัวละครเพื่อนร่วมทีม ที่เราจะสามารถเข้าไปขอยาและไอเทมอื่นๆ เช่น กระสุนหรือระเบิดได้
แน่นอนว่าการเล่นจะไม่มีการกระโดดสองจังหวะหรือลอยตัวกลางอากาศเหมือนภาคล้ำยุคอีกต่อไปแล้ว แต่จะเล่นกันแบบพื้นฐานดั้งเดิม วิ่งมอบคลาน พกอาวุธได้สองชิ้น โจมตีประชิดด้วยด้ามปืนหรือมีดปลายปืน และโยนระเบิด ซึ่งก็เป็นวิธีการเล่นแบบดั้งเดิมที่เรียกว่าสูงสุดคืนสู่สามัญ เน้นการผ่านด้วยฝีมือของผู้เล่นแทนการใช้ลูกเล่นพิเศษของเกม มิชชั่นจะมีทั้งหมดมากกว่า 10 ฉากและแต่ละฉากก็จะให้เราทำหน้าที่แตกต่างกันไป ทั้งขับยานพาหนะไล่ตาม ลอบเร้นเข้าไปในกองกำลังศัตรู หรือยิงสไนเปอร์ช่วยเหลือเพื่อน อย่างไรก็ดี ความยากของเกมจัดได้ว่าอยู่ในระดับสูง แค่เริ่มมาในมิชชั่นแรกยกพลขึ้นหาดนอร์มังดีก็ทำเอาคนที่ยังไม่คุ้นกับเกมโดนยิงตายได้ในไม่กี่วินาที แต่ถ้ารู้สึกหัวร้อนขึ้นมาผู้เล่นก็สามารถปรับความยากของเกมที่มีอยู่ 4 ระดับขึ้นลงได้ตลอดเวลา และโหมดเนื้อเรื่องของเกมนี้จะมีระบบ Quicktime Event ที่ต้องกดปุ่มให้ตรงตามหน้าจอเพื่อเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ด้วย โดยจะต้องใช้ทั้งการขยับอนาล็อกและการกดปุ่มควบคู่กัน ถ้าเผลอก็มีตายได้ง่ายๆ แต่เกมจะให้เราเริ่มใหม่ในช่วงนั้นพอดี ในส่วนนี้จึงไม่ค่อยเป็นปัญหามาก
สำหรับโหมดมัลติเพลเยอร์นั้นจะเป็นการทำสงครามกับผู้เล่นคนอื่นๆ แบบออนไลน์ แม้ว่าจะสามารถเลือกเล่นแบบคนเดียวกับบอทที่เซ็ตไว้ได้ แต่ตัวละครที่สร้างกับของที่ปลดให้ใช้ได้ก็จะไม่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งในตอนเริ่มเล่นนั้น เราจะต้องสร้างตัวละครเป็นทหารใหม่แล้วเลือกเข้าประจำการกับกรมกองต่างๆ โดยจะแตกต่างกันตรงที่จะได้รับรางวัลในการเล่นเป็นสกิลความสามารถแตกต่างกันไป และก็ยังมีระบบการสุ่มของที่ได้จาก Supply Drop ที่จะได้รับเป็นรางวัลในการเล่น หรือสามารถใช้เงินจริงซื้อผ่านทางสโตร์เอาก็ได้เช่นกัน ซึ่งระบบนี้ก็ทำให้ผู้เล่นสามารถพัฒนาตัวละครได้หลากหลายขึ้น แต่ในทางกลับกันก็มีข้อเสียคือผู้เล่นที่เพิ่งเริ่มเล่นใหม่และผู้เล่นที่ไม่อยากเสียเงินจริงซื้อก็จะเสียเปรียบค่อนข้างมาก อีกทั้งเกมนี้จะสุ่มผู้เล่นไม่ว่าจะมือใหม่หรือมีของเทพพร้อมแล้วมาเจอกันหมดอีกด้วย สำหรับการเล่นมัลติเพลเยอร์ก็จะมีโหมดให้เลือกหลากหลายหลายรูปแบบ เช่น เดธแมตช์ หรือชิงธง หรือนำรถถังเข้ายึดพื้นที่ ซึ่งการเล่นแต่ละครั้งก็จะค่อนข้างรวดเร็วและก็จะใช้ระบบฟื้นพลังเองเมื่อไม่ถูกโจมตี ซึ่งเหมาะกับการแข่งกับผู้คนจำนวนมากอยู่แล้ว
และสุดท้ายที่จะพูดถึงก็คือโหมดซอมบี้ที่เป็นของอยู่คู่ซีรีส์ Call of Duty มาหลายต่อหลายภาค โดยในโหมดนี้จะไม่ได้มีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องโดยตรงกับกับสงครามโลก แต่ว่าจะเป็นการต่อสู้เอาชีวิตรอดจากฝูงนาซีซอมบี้ที่จะกรูเข้ามาไล่ล่าเหล่าผู้เล่น ขณะเดียวกัน โหมดซอมบี้ของภาคนี้จะมีลูกเล่นแปลกใหม่เพิ่มขึ้นมานั่นก็คือการใช้ท่าไม้ตายพิเศษ ซึ่งเราจะเลือกติดตั้งท่าไม้ตายได้มากมาย เช่น ระเบิดพลังกระแทกรอบตัว ล่องหน ยิงกระสุนได้ไม่จำกัด หรือเรียกศัตรูให้วิ่งมาหาเราแต่เราจะโจมตีแรงขึ้น ในระหว่างเล่นก็จะมีเกจไม้ตายที่เมื่อเก็บจนเต็มแล้วก็จะสามารถใช้ท่าที่ตั้งไว้ได้ ส่วนวิธีการเล่นอื่นก็คล้ายกับภาคก่อนๆ ในซีรีส์ ที่เราจะต้องกำจัดซอมบี้แล้วจะได้เงินมาเพื่อใช้ซื้ออาวุธหรือเติมกระสุนจากเครื่องขายอัตโนมัติ รวมทั้งต้องใช้เงินเพื่อเปิดประตูเชื่อมทางไปต่อด้วย ถ้าเอาแต่ยิงศัตรูอยู่ตำแหน่งเดิมศัตรูก็จะโหดขึ้นจนปืนที่มีขายในบริเวณนั้นไม่มีพลังพอจะรับมือได้ โหมดนี้สามารถเล่นได้ทั้งคนเดียว, แบ่งจอเล่นกับเพื่อน หรือออนไลน์ร่วมกับคนแปลกหน้าก็ได้ แต่จริงๆ แล้วการเล่นคนเดียวก็ค่อนข้างจะยากมาก เพราะจะไม่มีคนมาช่วยชุบชีวิตให้ อีกทั้งการเปิดประตูก็ยังต้องทำคนเดียวจึงเปลืองเงินเข้าไปอีก ถ้าไม่เซียนจริงๆ จะไม่ขอแนะนำ สู้ไปเล่นกับคนอื่นในโลกออนไลน์ยังจะดีกว่า
จุดเด่น
1. เนื้อหาอิงจากสงครามโลกครั้งที่ 2 อันเป็นเนื้อเรื่องที่กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงตามที่แฟนๆ เรียกร้อง
2. กราฟิกตัวละครที่สมจริง ช่วงคัทซีนทำออกมาราวกับกำลังดูภาพยนตร์สงครามชั้นนำ พล็อตเรื่องเข้มข้นน่าติดตาม บางทีเผลอเล่นจนเพลินไปเลย
3. มีโหมดให้เลือกเล่น 3 แบบที่ต่างกัน ทุกโหมดล้วนมีความแปลกใหม่ของตัวเอง เช่นโหมดเนื้อเรื่องก็กลับไปใช้ชุดพยาบาล โหมดซอมบี้ก็เพิ่มท่าไม้ตายเข้ามา
จุดด้อย
1. สำหรับโหมดแข่งขันออนไลน์ค่อนข้างจะออกแบบมาให้ผู้เล่นที่มีเลเวลเยอะและของเยอะได้เปรียบมาก อีกทั้งยังไม่มีการแบ่งประเภทของผู้เล่น
2. โหมดเนื้อเรื่องถือว่าสั้นมาก ไม่กี่ชั่วโมงก็เล่นจบเสียแล้ว
3. แม้ว่าเกมจะตัดลูกเล่นล้ำยุค เช่น การเหาะเหินเดินอากาศออกไป แต่ว่าตัวละครในภาคสงครามโลกมันก็ควรมีลูกเล่นอะไรอย่างอื่นมาทดแทน มากกว่าจะปล่อยให้วิ่ง ก้ม คลานที่มันสุดๆ จะเบสิคบ้าง
สรุป
Call of Duty: WW II เหมาะกับคนที่ชอบเล่นเกมแนวภาพสวยงามแต่ระบบไม่หวือหวามาก เพราะวิธีเล่นก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากกว่าขั้นพื้นฐานที่เกม FPS ต้องมีเลย ทว่างานภาพต้องยอมรับเลยว่าเข้าขั้นเยี่ยม ที่เด็ดสุดคือกราฟิกตัวละครในโหมดเนื้อเรื่องที่ทำออกมาได้เหมือนตัวละครจากหนังฮอลลีวู้ดมากๆ ส่วนเฟรมเรตของเกมเท่าที่เล่นมาบน PS4 Pro ก็พบการกระตุกในบางฉากบ้างแต่ค่อนข้างน้อย ในขณะที่เสียงประกอบก็ทำได้ดุดันสมจริงราวกับอยู่ในเหตุการณ์วิ่งฝ่ากระสุนและระเบิดจริง แม้ว่าเกมจะทำมาค่อนข้างยากแต่ก็ยังปรับระดับความยากได้ และก็มีจุดเช็คพอยต์ค่อนข้างถี่ ทำให้เวลาพลาดก็ไม่ต้องไปเริ่มย้อนไปไกลมาก สำหรับคนที่มีเวลาเล่นน้อยหรือไม่ได้เล่นจริงจัง อาจจะไม่ค่อยสนุกกับโหมดออนไลน์ของเกมนี้นัก เพราะว่าความแตกต่างของเลเวลและสกิลมีผลกับการเล่นจริงๆ ผู้เล่นที่เลเวลน้อยแทบจะสู้ผู้เล่นเลเวลสูงๆ ไม่ได้เลย ตรงนี้อาจจะนับได้ว่าเป็นข้อเสียก็ได้ที่สุ่มผู้เล่นให้มาสู้กันโดยไม่แบ่งตามระดับ
คะแนน 8 / 10