เชื่อว่าเกมเมอร์คนไหนที่เคยไปเที่ยวญี่ปุ่น โดยเฉพาะโตเกียว น่าจะรู้จักกับย่านอากิฮาบาระ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า 'อากิบะ' ดินแดนสนธยาที่พร้อมจะละลายเงินในกระเป๋าของเหล่าเกมเมอร์ทุกคนที่ย่างกรายเข้าไปกันนะครับ ซึ่งชื่อเสียงของอากิฮาบาระนี่ก็ไม่ใช่แค่เป็นที่รู้จักกันในฐานะแหล่งขายเกมธรรมดาๆ แต่อย่างใด หากแต่มันยังเป็นแหล่งที่เกมเมอร์รุ่นเดอะสามารถหาซื้อเกมเรโทร (Retro) ยุคก่อนๆ ที่กลายเป็นแรร์ไอเทมและมีราคาสูงลิ่วได้อีกด้วย โดยตลาดเกมเรโทรที่ญี่ปุ่นถือว่าคึกคักใช่เล่นครับ เพราะเมื่อมีคนตามล่าเกมเก่าๆ มาสะสม ก็ย่อมมีกลไกตลาดที่พร้อมปั่นราคาตามสภาพของเกมและระดับความหายากเช่นกัน เรามาชมกันดีกว่าครับว่าสภาพตลาดและสินค้าที่วางขายตามร้านเกมเรโทรจะเป็นอย่างไรกันบ้าง
(บน) ตลับเกม คุนิโอะคุง Dodge Ball Tournament Special ของเครื่อง Super Famicom ที่เคยวางจำหน่ายเมื่อปี 1993 หรือ 24 ปีที่แล้ว แต่ตลับรุ่นนี้จะเป็นรุ่นลิมิเตดที่ทำเป็นตลับทอง ซึ่งทำออกมาขายเพียงไม่กี่ตลับเท่านั้น ราคาขายตามป้ายจึงอยู่ที่ 98,000 เยน (ราวๆ 29,400 บาท) เห็นแล้วแทบสะพรึงเลย
(บน) กลุ่มเกมหายากของเครื่อง Super Famicom ซึ่งบางเกมก็เป็นที่รู้จักในหมู่เกมเมอร์รุ่นเดอะในไทยอยู่ระดับนึง อย่างในรูปนี้ก็จะมีเกม Rendering Ranger R2 ที่อยู่ในข่ายของเกมที่หายากระดับท็อป ราคาขายก็ตามป้ายเลยครับ 240,000 เยน ประมาณ 72,000 บาท) แพงได้อี๊กกกก!
(บน) นอกจากเกมแล้วก็ยังมีนิตยสารแฟนเมดที่เรียกว่า แฟนซีน (แม็กกาซีนที่ทำขึ้นโดยแฟนเกม มีการตีพิมพ์เป็นเรื่องเป็นราวในลักษณะกึ่งทางการ) ซึ่งปัจจุบันผู้จัดทำแฟนซีน Game Freak ก็ได้กลายมาเป็นผู้บริหารของบริษัท Game Freak ที่สร้างโปเกม่อนจนโด่งดังนั่นเอง สำหรับแฟนซีนเล่มนี้แม้ว่าจะเป็นสินค้าหายากเพราะไม่มีการผลิตอีกแล้วก็จริง แต่ระดับความหายากก็ไม่ใช่ว่าสูงนัก ราคาเลยอยู่ที่ 7,000 เยน (ประมาณ 2,100 บาท) ครับ
(บน) มุมนี้เป็นโซนตลับเกมของเครื่อง Virtual Boy ซึ่งเป็นเครื่องคอนโซลที่พัฒนาโดย Nintendo และไม่ประสบความสำเร็จอย่างแรง หลักๆ เลยก็คือรูปแบบการเล่นที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับสายตาผู้เล่นสักเท่าไหร่ เนื่องจากมอนิเตอร์แสดงผลจะเป็นสีแดงๆ เล่นแล้วปวดตาสุดๆ พอเครื่องเกมไปไม่ถึงดวงดาว เกมก็เลยหยุดผลิตตาม ที่ค้างอยู่ในท้องตลาดเลยเป็นของแรร์ไปโดยปริยาย ยกตัวอย่างเกม Virtual Lab ที่อยู่มุมซ้ายล่างก็มีราคาปาไป 85,000 เยน (ประมาณ 25,500 บาท) นู่นเลย
(บน) ถัดมาก็เป็นแผ่นซีดีซาวด์แทร็คของเกมกันบ้าง ในรูปนี้จะเป็นซาวด์แทร็คของเกม Mario Kart 64 สมัยเครื่อง Nintendo 64 ที่มีราคาแปะไว้เด่นหราที่ 100,000 เยน หรือประมาณ 30,000 บาท (นี่แค่เพลงประกอบเกมนะเนี่ยยยย!!)
(บน) หากเพื่อนๆ คนไหนไม่ชอบฟังเพลงซาวด์แทร็ค แต่อยากลองเล่นเปียโนเป็นเพลงจากเกมเองเลย ก็มีพวกโน้ตเปียโนขายด้วยครับ อย่าง Super Mario World นี่ก็ขายอยู่ที่ 15,000 เยน หรือราวๆ 4,500 บาท ซื้อแล้วสามารถเอาไปเล่นตามได้ทันที
(บน) สำหรับเกมเรโทรที่มีราคาแพงเป็นอันดับต้นๆ ของย่านอากิฮาบาระ ก็เช่น Galactic Wars 1 ที่เป็นเกมแนว RPG ของเครื่อง NEC PC88 วางจำหน่ายเมื่อปี 1982 หรือ 35 ปีที่แล้ว ราคาอยู่ที่ 450,000 เยน (135,000 บาท) แทบจะดาวน์รถยนต์ได้คันนึงเลยทีเดียว
(บน) NeoGeo เป็นเครื่องเกมคอนโซลอีกเครื่องที่ขึ้นชื่อเรื่องความแพงของตลับเกม ลำพังตัวเครื่องนี่ราคาไม่กี่พันบาทหรอกครับ แต่ตลับเกมนี่ต้องเรียกว่าแพงกว่าเครื่องเป็นสิบเท่า ซึ่งในวงการเกมเรโทรในบ้านเรายังมีคำกล่าวกันถึงเครื่องนี้เลยว่า "มีเงิน 1 ล้านบาทก็ซื้อตลับของ NeoGeo ไม่ได้ทุกเกม" และมันก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงครับ เพราะดูอย่างในรูปนี้ ราคาตลับของเกม Metal Slug 2 ก็พุ่งไปที่ 350,000 เยน (ประมาณ 105,000 บาท) แล้ว บอกเลยว่า รวยอย่างเดียวซื้อไม่ได้ครับ เพราะคุณต้อง "โคตรรวย" ด้วยถึงจะได้มาเชยชม
(บน) Punch-Out เกมมวยสุดคลาสสิคของเครื่อง Famicom อย่างในรูปก็จะเป็นตลับทองที่เป็นเวอร์ชั่นแรกสุดของเกม ราคาขายอยู่ที่ 57,000 เยน (ประมาณ 17,100 บาท)
(บน) ทิ้งท้ายด้วยตลับเกม Super Maruo ของเครื่อง Famicom ครับ โดยเกมนี้เป็นเกม "ใต้ดิน" เกมแรกๆ ที่ออกมาเมื่อปี 1986 และไม่ผ่านการรับรองจาก Nintendo ซึ่งเนื้อหาก็จะเกี่ยวกับแนววาบหวิว แต่ด้วยกราฟิกระดับ 8 บิต เพื่อนๆ ก็คงพอจะจินตนาการออกนะครับว่าภาพจะออกมาห่วยขนาดไหน และด้วยความที่มันเป็นเกมใต้ดิน ก็ยิ่งเพิ่มความหายากและอยากรู้อยากลองของเหล่าเกมเมอร์ว่ามันจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ราคาจึงออกมาอย่างที่เห็นครับ 270,000 เยน หรือประมาณ 81,000 บาท เห็นราคาแล้วหลายคนคงคิดว่าไปหาหนังใต้ดินดูเป็นเรื่องเป็นราวเลยดีกว่ามั้ง เหมือนจริงกว่าด้วย (ฮา)
เครดิต: Kotaku