ช่วงนี้เป็นช่วงที่เทรนด์ของจอโค้งกำลังมาแรงจริงๆ ซึ่งนี่ยังไม่รวมไปถึงจอมอนิเตอร์ที่มี Refresh Rate 144 Hz อีกนะ แต่ถ้าได้จอโค้งแบบ 144Hz ก็จะดีมาก และถ้าจะดีมากไปกว่านี้ก็ต้องจอโค้งแบบกว้างเป็นพิเศษ อย่าง LG UC79G Curved Ultrawide Game Monitor เครื่องนี้ไง จะอันไหนอีกล่ะ เพราะว่ามันได้รวมความกว้างในระดับ 21:9 เป็นจอมอนิเตอร์แบบโค้งที่มี Refresh Rate 144Hz แถมยังรองรับ FreeSync ในตัวอีก ครบเครื่องแบบนี้เราต้องมาดูกันหน่อยแล้วว่าเกมมิ่งมอนิเตอร์ของ LG รุ่นนี้จะดีขนาดไหนกัน
จุดเด่นของ LG 34UC79G Curved Ultrawide Game Monitor
– หน้าจอแบบ Ultra Wide ขนาด 34” บนอัตราส่วน 21:9 หน้าจอแบบ Anti-Glare
– หน้าจอความละเอียด 2560×1080 พิกเซล (2K) มี Refresh Rate 144Hz ตอบสนองความเร็วสูงสุด 1ms
– มีค่าชุดสีสำหรับเกมทุกประเภทเช่น FPS, Racing, RTS ปรับเลือกได้ในทันที
– รองรับเทคโนโลยี AMD FreeSync ป้องกันภาพฉีกขาดในขณะเล่นเกมโดยไม่ต้องเปิด V-Sync
– ปรับตั้งค่าหน้าจอให้แบ่งใช้งานได้ถึง 2 หน้าจอ
– พอร์ตเชื่อมต่อ 1x Display Port, 2x HDMI
– มีโหมดประหยัดพลังงาน
นี่เป็นจุดเด่นหลักๆ ของเจ้ามอนิเตอร์รุ่นนี้ ซึ่งเรามาดูตัวจริงกันเลยดีกว่าครับ
รูปหน้าตรงของตัวจอมอนิเตอร์ตัวนี้ เมื่อเรามองหน้าจอ UltraWide ขนาดหน้าจอที่ 34” ซึ่งมีขนาดพอๆ กับ LED TV ขนาดเริ่มต้น มีความสูงที่น้อยกว่าแต่กว้างกว่าจอปกติ ทั้งนี้โดยหลักการของจอในอัตราส่วนขนาด 21:9 จะให้ความกว้างที่กว้างมากกว่า โดยเน้นในเรื่องของความกว้างทางด้านแนวสายตาที่ทำให้ใกล้เคียงกับความสมจริงเวลาเรามองเห็นในสภาพแวดล้อมปกตินั่นเอง
จุดเด่นของการใช้จอตัวนี้สำหรับเล่นเกม คือเราจะได้ภาพทางระยะสายตาทั้งในด้านซ้ายและด้านขวาที่เพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นหากเราเล่น Dead by Daylight โดยเล่นเป็นฆาตกร เราสามารถเห็นผู้เล่นที่เป็นฝ่ายหลบหนีเราในระยะที่จอมอนิเตอร์แบบ 16:9 จะมองไม่เห็นทางด้านซ้าย แต่ถ้าเป็น LG 34UC79G Curved Ultrawide Game Monitor ตัวนี้ เราจะสามารถเห็นคนที่หนีทำการแอบซุ่มอยู่ทางด้านซ้ายได้ ด้วยระยะของความกว้างหน้าจอที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเองครับ และอีกอย่างหนึ่งคือภาพจะเป็นภาพเดียว และดูดีกว่าการเอาจอมอนิเตอร์แบบปกติ 2 ตัวมาต่อกันแล้วมีขอบของหน้าจอเป็นตัวคั่นกลางที่เล่นแล้วทำให้เสียอารมณ์ไปพอสมควร โดยเฉพาะการเล่นเกมแนว Racing หรือถ้าในเรื่องของการทำงาน หากเราทำงานตัดต่อวิดีโอ มันจะได้ระยะความยาวที่เราทำงานได้มากขึ้นด้วยนั่นเอง หรือแม้กระทั่งการสตรีมเกมโดยใช้ OBS หรือ Xpslit พร้อมดูคอมเมนต์ต่างๆ จากหน้าจอนี้พร้อมๆ กันได้โดยที่ไม่ต้องซื้อจอมอนิเตอร์ทั้งสองจอมาติดๆ กันเลย
การใช้งานหรือปุ่มฟังก์ชั่นต่างๆ สำหรับจอตัวนี้มีเพียงปุ่ม Dial ปุ่มเดียวเท่านั่น ซึ่งเป็นปุ่มเดียวที่ทำงานได้ทุกอย่าง ตั้งแต่การเปิดเครื่อง เข้าเมนูการตั้งค่าหน้าจอ รวมถึงเมนูลัดต่างๆ ได้ผ่านปุ่มนี้เพียงปุ่มเดียวที่อยู่ใต้หน้าจอบริเวณตำแหน่งโลโก้ตรงกลาง ทำให้เข้ากดได้ง่ายไม่ต้องอ้อมซ้ายอ้อมขวาหรือว่ามีปุ่มมากมายให้ใช้แล้วมึนงง ปุ่มเดียวจบ
ตัวฐานมีการออกแบบให้มีดีไซน์ที่มีความเป็นเกมมากขึ้นโดยที่ตัวฐานมีความโฉบเฉี่ยว ใช้รูปทรงขาเป็นแบบแฉกเพื่อรับน้ำหนักของหน้าจอขนาดกว้างเป็นพิเศษแบบนี้ ซึ่งมีความแข็งแรงไม่ล้มพับง่ายๆ แต่หน้าจอไม่สามารถขยับหันซ้ายขวาได้ เพราะอาจจะเสียสมดุล ซึ่งในส่วนมากของหน้าจอกว้างเป็นพิเศษแบบนี้จะไม่ค่อยมีการหมุนหน้าจอได้ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ครับ
ด้วยความที่จอหมุนซ้ายขวาไม่ได้ แต่ก็สามารถปรับความสูงขึ้นลงได้ตามต้องการโดยที่เราขยับจอเลื่อนขึ้นลงตามความต้องการได้เลย โดยที่เมื่อได้ระดับที่ต้องการแล้ว ไม่ต้องทำการล็อคตำแหน่งอะไร รวมถึงสามารถปรับมุมก้มเงยตามความสะดวกในการใช้งานได้
พอร์ตการเชื่อมต่อของมอนิเตอร์ตัวนี้มีให้ครบครันทั้ง HDMI จำนวน 2 พอร์ต และ DisplayPort จำนวน 1 พอร์ต ซึ่งในการใช้ AMD FreeSync ใช้สายต่อได้ทั้ง HDMI และ DisplayPort แต่หากต้องการ Refresh Rate ที่ 144Hz ด้วยให้ต่อกับ DisplayPort เท่านั้นครับ เพราะตามสเปคของ HDMI โดยมาตรฐานแล้วจะรองรับได้สูงสุดที่ 120Hz นั่นเองครับ
มาดูในส่วนของเมนูกันง่ายๆ จากการกดแค่ปุ่ม Dial โดยจะพบกับปุ่มลัดและเมนูหลัก ตั้งแต่ปิดจอ, เมนูหลัก, ปรับค่าสีหน้าจอสำหรับเกม, และการเลือกพอร์ตการเชื่อมต่อนั่นเองครับ
ในส่วนของเมนูหลักเป็นเมนูที่ลงลึกในการปรับค่าส่วนต่างๆ ของหน้าจอทั้งหมด โดยที่เราสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมจากชุดค่าสีของหน้าจอได้ รวมถึงการปรับตั้งค่าความละเอียดของหน้าจอเป็นแบบขนาดปกติเพื่อไม่ให้ภาพยืดได้ อย่างเช่นในกรณีที่เกมนั้นๆ ไม่ได้รองรับอัตราส่วนที่ 21:9 ก็สามารถปรับแต่งลงมาให้มีอัตราส่วนที่เกมนั้นๆ สามารถรองรับได้ อย่างเช่นหากเราต่อเครื่องคอนโซลอย่าง SONY PlayStation 4 อยู่แล้วเล่นเกม Overwatch เกิดภาพยืด ก็ปรับค่าหน้าจอให้เป็นอัตราส่วน 16:9 โดยที่ภาพไม่เสียสมดุลนั่นเองครับ ทั้งนี้การปรับค่าอื่นๆ ก็สามารถดูตามภาพประกอบด้านบนได้เลย
ถัดมาเป็นเมนูในส่วนของเกมกันบ้าง สำหรับ Game Mode ส่วนแรกจะเป็นการปรับค่าหน้าจอสีให้แหมาะกับแต่ละเกมที่เราเล่นหรือจะเลือกเองก็ได้โดยมีให้เลือกทั้งหมด 4 ค่าด้วยกัน
ถัดมาเป็น Black Stabilizer เพิ่มความเข้มของโทนสีดำเพื่อให้ภาพมีความนุ่มนวลและเสมือนจริงได้มากยิ่งขึ้น
ถัดมาคือในส่วนของ AMD FreeSync เพื่อเปิดใช้งานจำเป็นต้องเปิดใชงานที่หน้าจอก่อน หลังจากนั้นเข้าไปในซอฟต์แวร์ของ AMD ก็จะขึ้นว่าหน้าจอรองรับการทำงานในส่วนของ FreeSync แล้วนั่นเองครับ
ในส่วนนี้เป็นการลดความเบลอของภาพเมื่อมีการตอบสนองเร็วสุดที่ 1ms ซึ่งโดยปกติแล้วมอนิเตอร์น้อยรุ่นที่จะมีฟีเจอร์นี้เข้ามา
ท้ายสุดกับการปรับตั้งค่าการตอบสนองหน้าจอโดยมีการลดหรือเพิ่มระดับของหน้าจอนั่นเองครับ แต่สำหรับเกมเมอร์แล้ว 4ms เป็นค่าที่น้อยที่สุดแล้ว
ดูการรีวิวตัวเป็นๆ จากทีมของ OS กันได้เลยน้า
สำหรับในเรื่องของการทดสอบ LG34UC97 Curved Ultrawide Game Monitor คงไม่เรียกว่าการทดสอบดีกว่า เพราะเราจับมาเล่นเกมเป็นหลักอย่างเดียวเท่านั้นเลย ไม่ว่าจะเป็น Overwatch, Player’s Unknown Battleground และ Dead by Daylight โดยที่ในทุกๆ เกมกังกล่าวนั้นสามารถรองรับอัตราส่วน 21:9 เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งทำให้การเล่นเกมต่างๆ ได้อรรถรสมากขึ้นจากการเห็นวิสัยทัศน์จากหน้าจอ 21:9 ทำให้มองเห็นด้านซ้ายและขวาของจอมากขึ้น ก็ทำให้เกิดข้อได้เปรียบกว่าคนที่ใช้จอแบบ 16:9 อยู่พอสมควรเลยล่ะ อีกทั้งในเรื่องของการทำงานอย่างที่บอกว่าข้างต้นว่ามันเหมาะอย่างยิ่งกับคนที่ทำงานทั้งตัดต่อวิดีโอ หรือ YouTuber ที่ต้องการใช้ไว้ตัดต่องานที่ตัวเองทำเสร็จก็เหมาะอย่างยิ่งครับ รวมถึงทำงานเปิดสองหน้าจอพร้อมกันโดยที่ได้ขนาดในอัตราส่วนที่ทำให้ใช้งานพร้อมกันได้ไม่ขัดตา
นอกจากนี้แล้วการรองรับ AMD FreeSync ช่วยให้การเล่นเกมนั้นลื่นขึ้นมากกว่าเดิม แถมยังมี Refresh Rate ที่ 144Hz ที่เหมาะกับคอเกมแนว FPS เป็นอย่างมาก เล่นได้เฟรมเรทสูงแถมภาพไม่ฉีกขาดเจ้าตัวนี้จึงค่อนข้างที่จะตอบโจทย์ของคอเกมแนวนี้เป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน สำหรับในเรื่องของสีสันหน้าจอแล้วก็ได้ความสดของภาพที่ดี รวมถึงการใช้พลังงานของจอที่เราสามารถตั้งค่าในโหมดประหยัดพลังงานได้ ทั้งสวย ทั้งแรง แถมได้มุมมองที่กว้างกว่าคนอื่นแบบนี้ น่าเอาไปเป็นเจ้าของที่บ้านสักตัวจังครับ!!