[รีวิว] Power Rangers: สลัดภาพจำเก่าๆ ทิ้งไป นี่คือขบวนการ 5 สีฉบับใหม่ที่เยี่ยมกว่าที่คิด!

แชร์เรื่องนี้:
[รีวิว] Power Rangers: สลัดภาพจำเก่าๆ ทิ้งไป นี่คือขบวนการ 5 สีฉบับใหม่ที่เยี่ยมกว่าที่คิด!

Power Rangers

ขอขอบคุณทาง สหมงคลฟิล์ม สำหรับการเชิญพวกเราไปดูรอบสื่อครับ

     ในความทรงจำวัยเด็กของผม ขบวนการ 5 สีไม่ใช่สิ่งที่ผมเคยคลุกคลีกันไปตลอดรอดฝั่ง ผมไม่เคยดูขบวนการใดจบ จะเจ็ทแมน, ไลฟ์แมน, ไฟว์แมน, จูเรนเจอร์, ไดเรนเจอร์, เทอร์โบร์เรนเจอร์ แม้กระทั่ง เดกกะเรนเจอร์ที่ใช้ความหื่นในการตามส่องเดกกะเยลโล่ว์ (คิโนะชิตะ อายูมิ) ช่วยดูมาตลอดก็ยังไม่จบอยู่ดี

     แน่นอนว่ากับพาวเวอร์เรนเจอร์สฝั่งอเมริกาก็เช่นกัน ผมไม่เคยจำและจำแนกได้ว่าเรื่องไหนคือของใคร ไม่เคยสนใจว่าอเมริกามาซื้อจากญี่ปุ่นตอนไหน จำได้แค่รูปลักษณ์ของพวกเขาตอนแปลงร่างเป็นขบวนการ 5 สี และคนพวกนี้มีหุ่นหลักตัวโตประกอบจากหุ่นไดโนเสาร์ 5 ตัวชื่อ Mega Zord หรือไดจูจิน ซึ่งมีสถิติการโดนฟันแขนขาดน้อยครั้งกว่าเจ็ทอิคารอสประมาณ 5 พันเท่าเห็นจะได้ ด้วยความทรงจำประดับสมองเพียงเท่านั้นกอปรกับผมเป็นคนที่ชอบเห็นอะไรเก่าๆ ถูกขุดมาสร้างแบบคิดใหม่ทำใหม่โดยที่คงไว้เพียงกลิ่นอายซึ่งบ่งบอกให้รู้ถึงรากเหง้าดั้งเดิมของมัน

     ดังนั้นผมจึงแทบไม่มีปัญหากับ Power Rangers ภาค 2017 นี้ที่เกือบจะโละความดั้งเดิมออกไปหมด ไม่ว่าจะทั้งตัวหุ่น ทั้งเพลง การแปลงร่าง แม้กระทั่งการประกอบร่าง ซึ่งถึงจะขัดใจในบางเรื่องอยู่บ้าง แต่มันก็เป็นอารามที่พอจะเข้าใจในบริบทรวมๆ ของความพยายามกระบวนล่าสุดที่จะนำแฟรนไชส์นี้กลับมาโลดแล่นในยุคสมัยปัจจุบัน

     กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของหนังทั้งเรื่องนั้นจะวนเวียนอยู่กับเหล่าวัยรุ่นผู้ถูกเลือกทั้ง 5 จากเมืองแองเจิลโกรฟ ซึ่งต่างก็มีปัญหาในใจและไม่อาจจะบอกใครได้ นี่คือ Power Rangers ภาคที่จะพาผู้ชมไปเจาะลึกจิตใจและความไม่สมบูรณ์พร้อมของทั้ง 5 คน ที่ต้องรับมือกับความเป็นวัยต่อต้านอันพร้อมจะมีปัญหากับสังคมรอบข้างทุกเมื่อ อีกทั้งขณะเดียวกันก็ต้องแบกรับความกดดันในความพยายามกลายเป็น Power Rangers ที่คู่ควรเพื่อกอบกู้โลกภายในระยะเวลาเพียง 11 วันหลังจากที่ค้นพบยานอวกาศของ Zordon ซึ่งจอดแน่นิ่งอยู่ใต้เหมืองทองมาตั้งแต่ยุคครีเตเชียสเมื่อ 65 ล้านปีก่อน

     ในจุดนี้ถือเป็นการตีความใหม่ของหนังอันเด่นชัดสุดๆ ซึ่งทำให้มันแลดูเป็นชิ้นงานแนวๆ Coming of Age กลายๆ หากใครสังเกตดีๆ จะรู้สึกได้ว่าตัวหนังค่อนข้างจะเน้นเมสเสจที่เกี่ยวกับ "วัยรุ่น" ค่อนข้างเยอะ และผมโอเคกับมันมากๆ ครับ เพราะวัยนี้คือวัยที่มีพลังพร้อมจะเปลี่ยนโลก แต่ก็เปราะบางและแตกสลายได้ง่าย เราจะได้เห็นความเป็นวัยรุ่นผู้เต็มไปด้วยจุดบกพร่องในการเข้าสังคมคนปกติรวมถึงความพยายามจะผ่านพ้นอารามทุกข์ทนและสถานการณ์เลวร้ายต่างๆ ไปให้ได้ ด้วยหนทางแก้ปัญหาที่ส่วนใหญ่มักจะนำมาซึ่งหายนะยิ่งกว่า ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าอิมเมจของเด็กวัยรุ่นผู้ถูกเลือกทั้ง 5 ของเวอร์ชั่นนี้มีความต่างจาก 5 คนเวอร์ชั่นต้นฉบับผู้เพียบพร้อมชนิดคนละโลกเลยทีเดียว

     โดยวัยรุ่น 5 หน่ออันได้แก่ เจสัน (สีแดง), คิมเบอร์ลี (สีชมพู), บิลลี่ (สีนํ้าเงิน), แซค (สีดำ) และ ทรินี (สีเหลือง) นั้นก็รับบทโดยนักแสดงที่อาจไม่ถึงกับหน้าใหม่นัก ทว่าแต่ละคนก็มีประสบการณ์ในวงการฮอลลีวูดไม่เยอะเท่าไหร่ ทำให้อดห่วงไม่ได้ในทีแรกๆ ว่าพวกเขาจะแบกหนังทั้งเรื่องได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ แต่หลังจากหนังได้จบลงความกังวลก็พลันเปลี่ยนเป็นเสียงชื่นชม เพราะพวกเขาทำหน้าที่ของตนได้เป็นอย่างดีไม่มีขัดเขิน โดยเฉพาะบิลลี่ (รับบทโดย RJ Cyler) หรือ Blue Ranger ซึ่งโคตรจะแย่งซีนคนอื่นอย่างเห็นได้ชัดครับ งานนี้ถ้าจะมีอะไรที่พร้อมสุดๆ สำหรับภาคต่อก็คงเป็นตัวเอกทั้ง 5 คนนี้แหละ

     อีกสิ่งหนึ่งที่ชอบก็คือตัวหนังค่อนข้างจะชัดเจนในแนวทางของตัวเอง คือเป็น Power Rangers ที่มีความเรียลกว่าเวอร์ชั่นดั้งเดิมแม้กระนั้นก็ยังเป็นหนังที่มีกลุ่มเด็กๆ เป็นเป้าหมายหลัก ดังนั้นมันจึงมีความตลกขบขันแม้ในบางสถานการณ์ที่ความตึงเครียดครอบงำ รวมถึงการที่ต้องเป็นชิ้นงานที่ดูง่าย ย่อยง่าย ไม่ซับซ้อน ในหลายๆ บริบทเราจึงเห็นการคลายซีเควนซ์ด้วยความง่ายเข้าว่า จนหลายๆ คนอาจจะรู้สึกหงุดหงิดว่าทำไมจุดนี้มันปรับอารมณ์กันเร็วจัง หรือทำไมเหตุการณ์มันบังเอิญขนาดนั้น ไม่สมเหตุสมผลเลย กลายเป็นว่าไอ้สิ่งที่พยายามจะลึกลํ้าสุดท้ายก็ลึกได้ไม่สุดอยู่ดี ซึ่งเอาเข้าจริงหากลองมองย้อนกลับไปยังเวอร์ชั่นต้นฉบับ เราก็จะพบว่าไอ้สิ่งที่ทำให้หงุดหงิดนี่แหละครับที่ต้นฉบับก็มีไม่ต่างกันเลย ทั้งพลังมิตรภาพ เน้นยํ้าความสามัคคี หรือมีเหตุโคตรจะบังเอิญเกิดขึ้นอยู่ในเรื่องบ่อยๆ Power Rangers จึงเป็นดั่งบล็อกบัสเตอร์ผู้ทำหน้าที่ดึงเราออกมาจากยุคที่หนังต้องถึงพร้อมด้วยความสมจริง ดราม่าต้องข้้นคลั่ก ทุกอย่างต้องเชื่อมโยงกันอย่างมีเหตุมีผลหรือนัยยะ กลับไปสู่ยุคสมัยที่เหล่าขบวนการ 5 สี กระโดดตีลังกาข้ามกล้องไปมา และเราไม่เคยตั้งคำถามกลับว่าเวลาหุ่นรวมร่างพวกพี่แกมานั่งรวมกันในตอกพิทได้อย่างไร

     พูดถึงหุ่นแล้วตอนไปดูรอบสื่อพร้อมกับเซียนโอ็ตโตะและชาโม่คุง ทุกคนต่างเห็นพ้องกันว่าตอนเป็นหุ่น Zord หรือหุ่นไดโนเสาร์นั้นสวยมาก มีดีเทลและรูปทรงที่ออกแบบมาได้ลงตัวสุดๆ แต่ตอนรวมร่างเป็น Mega Zord ตัวเบิ้มแล้วดันกลายเป็นทรงนักบินอวกาศที่ดูยังไงก็ไม่เข้าท่า ถึงอย่างนั้นผมก็ว่ามันดูดีกว่าในเทรลเลอร์หรือของเล่นอยู่มากนะครับ ฮ่าๆ อย่างไรก็ตามซีนที่ทรงพลังสุดๆ ในเรื่องก็คงต้องยกให้ตอนหุ่น Zord ออกประจัญบานนี่แหละ ไม่สปอยไปกว่านี้ ไปดูเอาเองแล้วกันครับ ขณะที่ฉากต่อสู้อาจจะน้อยกว่าความคาดหวังของหลายๆ คนไปหน่อย เพราะหนังใช้เวลาปูพื้นฐานตัวละครนานเอาเรื่อง กว่าจะได้แปลงร่างแล้วออกลุยจริงก็ปาไปองค์ที่ 3 ของเรื่องแล้ว แต่จากจุดนั้นที่ต้องบอกเลยว่าความมันส์ความบันเทิงนี่มาแบบไม่หยุดยั้งนันสต็อปจนจบเรื่องยันฉาก End Credit เลยทีเดียว

     แต่อาจจะด้วยเพราะโครงการภาพยนตร์ Power Rangers ถูกวางไว้ 6 ภาคตั้งแต่แรก แบบว่าอาจจะยังไม่สร้างเลย แต่หากภาคแรกรายได้ไปรอดก็พร้อมดำเนินการภาคต่อทันที ดังนั้นแล้วนอกจากการปูพื้นตัวละครอย่างนาน ตัวหนังก็ยังคงจงใจ "กั๊ก" หลายๆ อย่างไว้ครับ โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะของ Power Rangers ซึ่งไม่ยอมจัดเต็มให้หนำใจแฟนๆ ทั้งๆ ที่สามารถทำได้ดังนั้นหากจะมีอะไรติก็คงเป็นที่การกั๊กของไว้เผื่อทำภาคต่อมากไปนี่แหละครับ นอกจากนี้ก็เป็นงานไดเรคติ้งที่ขาดๆ เกินๆ และงานโปรดัคชั่นกับ CG ที่บางส่วนก็ดูไม่สมกับเป็นบล็อคบัสเตอร์ทุนสร้าง 120 ล้านเหรียญนักครับ

     Power Rangers อาจไม่ใช่หนังที่ทุกคนสามารถสนุกไปกับมันได้ เพราะนี่คือภาพยนตร์ฉบับคิดใหม่ทำใหม่ทุกอย่างเพื่อให้แฟนๆ ยุคเก่าได้เห็นฮีโร่สมัยเด็กของพวกเขากลับมาโลดแล่นอีกครั้งในแบบฉบับของชิ้นงาน พ.ศ. นี้ด้วยเส้นเรื่องที่ลึกกว่าและจริงจังกว่า แม้ว่าจะมีบางอย่างที่ด้อยกว่าหนังในสเกลเดียวกัน หรือพยายามกั๊กของเด็ดไว้เกินควรจนไม่เข้าท่า ทว่ามันก็ยังมีจิตวิญญาณของ Power Rangers อยู่อย่างเต็มเปี่ยม และจะอย่างไรเสียก็คงต้องขอคารวะทั้งคนสร้างและคนออกทุน ที่กล้าๆ ไฟเขียวให้ทำหนังซึ่งเด็กหนวดรวมถึงแฟนๆ หลายๆ คนได้ดูและสนุกสนานกันครับ เรียกว่าตอนนี้รอภาค 2 อย่างใจจดใจจ่อเลยล่ะ!


คำเตือน
คุณควรรู้จัก Power Rangers แต่ขอให้โยนภาพจำเก่าๆ ทิ้งไปให้หมด เพราะนี่คือหนังฉบับคิดใหม่ทำใหม่ ปลุกความเป็นเด็กโข่งขึ้นมาแล้วคุณจะสนุกกับหนังได้ไม่ยาก

แชร์เรื่องนี้:
Dark_Libra
About the Author

Dark_Libra

Everything in this world comes down to the matter of ponytail

เรื่องที่คุณอาจสนใจ