ย้อนรอยตำนาน 22 ปีกับ Sony และแบรนด์ PlayStation (ตอนแรก)

แชร์เรื่องนี้:
ย้อนรอยตำนาน 22 ปีกับ Sony และแบรนด์ PlayStation (ตอนแรก)

วันที่ 3 ธันวาคม 2537 หรือเมื่อประมาณ 22 ปีที่แล้ว นับเป็นวันที่วงการเกมคอนโซลเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง เมื่อเครื่องเกมคอนโซลเครื่องหนึ่งจากอ้อมอกของ Sony ได้ถือกำเนิดขึ้นที่ญี่ปุ่น ในทีแรกนั้นเจ้าคอนโซลเครื่องน้อยยังคงเป็นเพียงแค่ทารกอ่อนวัยที่หล่นตุ้บลงมาท่ามกลางสมรภูมิรบของเหล่ายักษ์ใหญ่ผู้ชาญสนามอย่าง Nintendo และ Sega แต่ใครจะนึกละคะว่า คอนโซลเครื่องน้อยเครื่องนี้จะเติบใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นผู้ท้าชิงอันดับ 1 ของวงการเกมคอนโซลภายในระยะเวลาไม่ถึงปี และโค่นตำนานคอนโซลเครื่องอื่นที่เกิดขึ้นมาก่อนมันได้อย่างราบคาบ โดยเครื่องเกมคอนโซลเครื่องนั้นได้ขึ้นแท่นเป็นผู้นำของวงการเกมคอนโซลตั้งแต่นั้นมา แถมมันก็ได้สร้างความเคลื่อนไหวเด่นๆ บนโลกแห่งเกมคอนโซลมาแล้วมากมาย

หากถามว่าคอนโซลเครื่องนั้นคืออะไร? หลายคนก็คงจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "PlayStation" เจ้าของตำนานบทหนึ่งของวงการเกม ลูกรักของ Sony นั่นเอง แต่ใครจะรู้บ้างว่าเบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้ PlayStation และผู้ให้กำเนิดอย่าง Sony ต้องผ่านอุปสรรคขวากหนามอะไรมาบ้าง? ต้องล้มลุกคลุกคลานอยู่กี่รอบกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้? Sony ทำอย่างไรเพื่อดันให้ลูกรักอย่าง PlayStation ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดคอนโซลในช่วงยุคหลังๆ และได้ขึ้นไปอวดโฉมบนหน้าปกนิตยสารเกมแทบทุกเล่มกัน? เรามาขึ้นไทม์แมชชีนย้อนไปเมื่อราว 2 ทศวรรษที่แล้วกันดีกว่าค่ะ...

ก้าวแรกสู่สนามแข่ง

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2531 โลกแห่งเกมทั้งมวลยังคงตกอยู่ในอุ้งมือของ Nintendo อยู่ ด้วยพลังอันแข็งแกร่งของเครื่องเล่น 8 บิตนามว่า Famicom ที่ยังไม่เคยมีผู้ใดโค่นลงได้ แม้แต่ Sega เองก็ยังต้องถอยไปหลบอยู่หลักฉาก ในตอนนั้นเอง Sony ก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อยที่หวังจะได้ออกไปโชว์พาวในโลกแห่งเกมด้วยเท่านั้น

เพื่อทำตามความฝันที่ว่า Sony จึงเริ่มย่างก้าวแรกของตัวเองด้วยการตบปากรับคำกับ Nintendo ว่าจะยอมช่วยพัฒนาไดรฟ์สำหรับเล่นแผ่น CD สำหรับเครื่อง Super Famicom ให้ นับว่าเป็นครั้งแรกที่ Sony ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมเกมอย่างจริงจัง และถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่ Sony จะได้หาหนทางเติบใหญ่ต่อไปในอนาคต แม้มันจะยังเป็นเพียงแค่การเกาะหางยักษ์ใหญ่อย่าง Nintendo ไปก่อนก็ตาม…

แต่แม้กระทั่ง Sony หรือ Nintendo เองก็ไม่ทันได้คาดคิดว่า เจ้าเทคโนโลยี Super Disc นี้เองที่จะช่วยให้ Sony ต่อยอดจนสามารถคลอดเครื่อง PlayStation ออกมาได้สำเร็จ...

อกหัก

หลังจากซุ่มพัฒนากันอยู่พักหนึ่ง ไม่กี่ปีถัดมา ภายในงาน Consumer Electronics Show ที่จัดขึ้นที่เมืองชิคาโก้ ทาง Sony และ Nintendo ก็ได้ประกาศเปิดตัวเครื่อง “Play Station” (สังเกตดีๆ ว่ายังมีเว้นวรรคอยู่นะเออ) ที่สามารถเล่นได้ทั้งแผ่น CD Super Disc ของ Sony และตลับเกมของ Nintendo ที่สำคัญ มันยังสามารถใช้ทั้งเล่นวิดีโอเกม และเล่นสื่อบันเทิงอื่นๆ เช่นภาพยนตร์หรือเพลงได้อีกด้วย ซึ่งสำหรับ Sony แล้ว แม้จะเพิ่งย่างกรายเข้ามาในแวดวงอุตสาหกรรมวิดีโอเกม แต่ถ้าเป็นด้านสื่อบันเทิงอื่นๆ ล่ะก็ พี่ท่านไม่เป็นสองรองใครแน่นอน

และด้วยความเจิดจรัสในวงการสื่อของ Sony เจ้าตัวก็วางแผนซะดิบดีว่าจะดึงบริษัทพันธมิตรอื่นๆ มาร่วมช่วยพัฒนาซอฟท์แวร์ด้วย ตั้งแต่บริษัท Sony Music ไปจนถึงค่ายหนัง Columbia Pictures แถมยังรวมไปถึงตัวผู้กำกับชื่อดังอย่างสตีเว่น สปีลเบิร์กอีก เรียกได้ว่าพอจับกระแสได้ปุ๊บ Sony ก็เตรียมจะพุ่งขึ้นไปสาดแสงบนฟากฟ้าทันที

แต่ทว่าแค่หนึ่งวันหลังจาก Sony ประกาศแผนการหมั้นหมายกับ Nintendo โดยมีเทคโนโลยี Super Disc เป็นสินสอด ทาง Nintendo ก็แจ้งยื่นใบหย่าใส่หน้า Sony ไปเต็มๆ และหนีไปซบอก Philips คู่แข่งหมายเลข 1 ของ Sony แทนซะอย่างนั้น สร้างความอึดอัดคับข้องใจให้ Sony สุดๆ ที่จู่ๆ ก็ถูกคู่หมั้นหักอกไปคบกับศัตรูแทน

เมื่อไม่มี Nintendo หนทางในการก้าวเข้าสู่ตลาดเกมของ Sony ก็เหมือนจะยิ่งริบหรี่ลงทุกขณะ เพราะนอกจากจะไม่มีแผนกสำหรับพัฒนาเกมโดยเฉพาะแล้ว ประสบการณ์ในวงการอุตสาหกรรมอันโหดร้ายนี้ก็นับว่าน้อยนิดเสียเหลือเกิน สิ่งที่ Sony พอจะเหลืออยู่ก็มีแค่เจ้าเครื่อง Play Station (ที่พ่วงเทคโนโลยี Super Disc ติดมาด้วย) และทุนหนุนหลังจากบริษัทแม่เท่านั้น...

แต่ทว่า... แม้จะถูกผลักให้ตกลงมาอยู่ที่ก้นเหวลึกยังไง Sony ก็ยังไม่เลิกล้มความคิดที่จะสู้ต่อ...

รวมพลังวิ่งสู้ฟัด

หลังจากโดนใบหย่าของ Nintendo จนผงะไปชั่ววูบหนึ่ง ในเดือนถัดมาคุณ Norio Ohga ประธานบริษัท Sony ก็ได้เรียกประชุมใหญ่เพื่อวางแผนชำระแค้น ณ มหานครโตเกียวทันที เขาขึ้นไปยืนบนแท่นพร้อมกับป่าวประกาศต่อหน้าลูกเรือทั้งหมดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “แม้กฎหมายและกำลังเงินของเราอาจจะสู้ Nintendo ไม่ได้ แต่ผมรับรองเลยว่า เราจะไม่หันหลังให้กับวงการเกมเด็ดขาด”

“เราจะสู้ต่อไปจนกว่าจะตายกันไปข้าง!” เขาตะโกนย้ำกับลูกเรือทั้งหมด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือคุณ Ken Kutaragi ชายผู้ที่อีกเดี๋ยวทั้งโลกจะได้รู้จักเขาในนามของบิดาแห่ง PlayStation ด้วย

(ล่าง) โฉมหน้าคุณ Ken Kutaragi บิดาของ PlayStation ที่ยุคนั้นเกมเมอร์ไทยแซวกันว่าใบหน้าแกเหมือนหม่ำ จ๊กมก เลยล่ะ

เมื่อได้ยินกัปตันใหญ่ลั่นคำอนุญาตให้เดินหน้าต่อ คุณ Ken Kutaragi ซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่งอยู่ในทีมวิจัย ก็ได้จัดการรวบรวมทีม ทั้งนักออกแบบพร้อมด้วยนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีกราฟิก 3D และเคยฝากผลงานเอาไว้กับเอนจิ้น 3D ขั้นเทพนาม System-G มาแล้ว พวกเขาตกลงใจร่วมมือกันริเริ่มโครงการเทคโนโลยีคอนโซลตัวใหม่ที่จะกลายมาเป็นเครื่องจักรสังหารในการต่อกรกับ Nintendo พร้อมกับตั้งชื่อโครงการนี้ว่า “Codename PSX”

แต่ใช่ว่าโครงการนี้จะเป็นโครงการที่ผ่านฉลุยหรือได้รับเสียงสนับสนุนอย่างยิ่งใหญ่ กลับกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ Kutaragi เสนอโครงการนี้กับบอสใหญ่แห่ง Sony และคณะกรรมการบริหาร แค่ได้ยินคำว่า “เครื่องเล่นแผ่น CD ที่สามารถเล่นเกมด้วยเทคโนโลยีกราฟิกแบบ 3D ได้” เท่านั้น ทั้งบอร์ดก็พร้อมใจกันส่ายหน้ายิกๆ ทันที บ้างก็หาว่า Kutaragi นั้นบ้าไปแล้ว บ้างก็อ้างว่ามันเป็นเป้าหมายที่ไกลเกินเอื้อม แต่คุณ Kutaragi กลับพ่นลมหายใจพรืดอย่างแค้นเคือง พร้อมทั้งตอกกลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “แล้วพวกคุณจะทำยังไง? นั่งอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้ Nintendo หัวเราะเยาะแบบนี้รึไง?”

แม้จะเจ็บใจ แต่ Sony ในตอนนั้นยังอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมจะรับความเสี่ยงนัก และแผนการที่ Kutaragi ได้เสนอออกไปก็ยังไม่มีอะไรมารับรองว่าจะประสบความสำเร็จด้วย ความลังเลในตอนนี้เองที่เกือบจะทำให้ PlayStation (เว้นวรรคหายไปแล้วนะเออ) ถือกำเนิดออกมาพร้อมเทคโนโลยี 2D อยู่แล้ว ทว่า Sony ก็ต้องกลับมาคิดทบทวนเรื่องข้อเสนอของ Kutaragi อีกรอบ และเมื่อได้เห็นความสำเร็จของเกมตู้แนวไฟท์ติ้ง “Virtua Fighter” ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี 3D ของ Sega ประกอบกับคำรับรองจาก Sony Music ที่ยืนยันว่าแผ่น CD นั้นสามารถผลิตได้ง่ายและราคาถูกกว่าตลับเกมเยอะ ทำให้ในที่สุด...แผนการของ Kutaragi และทีมงาน ก็ได้ฤกษ์เดินหน้ากับเขาบ้างสักที

(ล่าง) Virtua Fighter เกมต่อสู้ยอดฮิตที่พัฒนาโดย Sega

แต่ลำพังเพียงแค่มีเครื่องคอนโซลอย่างเดียวก็ไม่อาจทำให้ Sony บรรลุเป้าหมายที่ฝันอยู่ได้ พวกเขายังต้องตามหากลุ่มพันธมิตรที่ยินดีผลิตเกมลงให้กับเครื่องคอนโซลที่กำลังจะลืมตาดูโลกด้วย และด้วยชื่อเสียงเรียงนามของ Sony ในด้านการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลือลั่นมาอย่างยาวนาน เพียงแค่ประกาศออกไปเท่านั้นก็มีค่ายเกมมากหน้าหลายตารวมไปถึง Namco กับ Konami ด้วย

นอกจากค่ายเกมมากกว่า 250 ค่ายที่ยินยอมตกลงปลงใจกับ Sony แล้ว Sony ยังได้จัดการซื้อบริษัท Psygnosis บริษัทสัญชาติยุโรปมาไว้ในครอบครองอีกราย ซึ่งในภายหลัง บริษัท Psygnosis นี้ก็ได้เปลี่ยนชื่อใหม่ตามคำสั่งของบริษัทแม่ กลายมาเป็นบริษัทผู้ผลิตเกมที่เรารู้จักกันดีในนามของ Sony Interactive Entertainment เจ้าของเกมดังๆ มากมายอย่าง WipeOut และ Destruction Derby นั่นเอง

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็ถึงเวลาที่ Sony จะเริ่มเดินทัพลุยตลาดกับเขาเสียที...

บุกตลาด

วันที่ 3 ธันวาคม 2537 หนึ่งสัปดาห์หลังจากที่เครื่อง Sega Saturn ของ Sega เพิ่งวางจำหน่ายไปหมาดๆ ในที่สุดเครื่อง PlayStation (PS1) ของ Sony ก็ได้ฤกษ์วางตลาดญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกกับเขาเสียที ราคาของเครื่องรุ่นบุกเบิกในตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ 37,000 เยน หรือประมาณ 10,000 กว่าบาทไทยในปัจจุบัน แถมยังเปิดตัวพร้อมกับเกมรุ่นพี่บิ๊กอีกหลากหลายเกมเช่น King’s Field, Crime Crackers และเกมแข่งรถในตำนานอย่าง Ridge Racer จาก Namco ด้วย

(ล่าง) PS1 เครื่องเกมรุ่นบุกเบิกของ Sony

เพียงแค่เปิดตัวมาวันแรกเท่านั้น ชาวญี่ปุ่นก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นเหล่าเกมเมอร์มากมายพากันมาต่อแถวรอเป็นเจ้าของเครื่อง PS1 จนยาวเหยียดจน Sony อดปลื้มใจไม่ได้ และก็ยิ่งปลื้มหนักกว่าเดิมเมื่อในเดือนมีนาคมปีถัดมาเจ้าเครื่องคอนโซลลูกรักคนใหม่นี้ก็มียอดจัดจำหน่ายทะลุ 1 ล้านเครื่องไปเรียบร้อย เอาชนะคู่แข่งอย่าง Sega Saturn ไปได้อย่างสบายๆ

ความโด่งดังของ PS1 ไม่ได้จบอยู่แค่ในช่วง 1 ปีแรกเท่านั้น หลังจากที่ Sony ได้บุกเข้าไปตั้งรกรากบนแผ่นดินอเมริกาในปี 2538 พวกเขาก็ได้หิ้วเจ้าเครื่อง PS1 ติดมือไปแนะนำให้ชาวมะกันรู้จักในงาน Electronic Entertainment Expo (E3) ที่ถูกจัดขึ้นในมหานครลอสแองเจลิสด้วย เสียงปรบมือในตอนที่ PS1 ถูกเปิดตัวบนเวทีระดับโลกนั้นแทบจะเรียกได้ว่าดังที่สุดในงานเลยทีเดียว และไม่กี่ปีหลังจากที่ Sony เปิดโอกาสให้ชาวเกมเมอร์ทั่วโลกได้สัมผัสกับลูกรักคนใหม่ ยอดขายของ PS1 ก็พุ่งสูงถึง 7 ล้านเครื่องเข้าไปแล้ว

ภายในปี 2539 เครื่อง PS1 ก็มีจำนวนเกมในครอบครองมากถึง 200 กว่าเกมด้วยกัน และมียอดขายที่ยังคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มแตะหลัก 20 ล้านเครื่องแล้ว ประกอบกับเหล่าสาวกที่กระจายตัวกันอยู่ทั่วทุกมุมโลก แถมยังมีกลุ่มสาวก Nintendo เก่าที่เปลี่ยนใจมาซบอก Sony แทนอีกหลายราย ด้วยผลงานทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธแน่นอนว่า PS1 คือเครื่องเกมที่นำพาตลาดเกมคอนโซลไปสู่ยุคใหม่อย่างแท้จริง

(ล่าง) นักเล่นเกมรุ่นเก๋าคงยังจำกันได้ แต่สำหรับเกมเมอร์ในสมัยนี้ คงมีส่วนน้อยที่จะเคยรู้จักกับเครื่อง PocketStation เจ้าเครื่องเล่นขนาดจิ๋วรูปทรงคล้ายทามาก็อตจินี้ นอกจากจะสามารถดึงข้อมูลในเกม PS1 มาเล่นได้แล้ว มันยังทำหน้าที่แทน Memory Card เพื่อช่วยเก็บข้อมูลได้ด้วย ถึงแม้จะสามารถเล่นได้แค่มินิเกมเล็กๆ น้อยๆ แถมเล่นได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม แต่ก็เป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับคอ PS1 ที่ได้รับความนิยมระดับนึงเลยทีเดียว

สู่ยุคใหม่

ด้วยความที่เครื่อง PS1 ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมายของ Sony ไปอย่างไม่น่าเชื่อ เรียกได้ว่าเกินกว่าที่ทีมบริหารของ Sony คาดหวังเอาไว้เสียอีก ถึงขั้นที่ว่าแผนกที่จัดจำหน่าย PlayStation กลายเป็นแผนกที่ทำรายได้สูงสุดให้กับบริษัท Sony ไปเลย (นำหน้าเครื่อง Walkman ซะอีกนะ) ด้วยเหตุนี้ ทีมงานของคุณ Ken Kutaragi เจ้าเก่าก็ได้ไฟเขียวให้ลงมือพัฒนาเครื่อง PlayStation รุ่นใหม่ทันทีภายในปี 2542

การพัฒนาในครั้งนี้แทบจะเรียกได้ว่าราบรื่นไร้อุปสรรค เนื่องจากผลงานอันงดงามที่ PS1 ได้สร้างเอาไว้ ประกอบกับเสียงเชียร์จากแฟนๆ อีกมากมายทั่วโลก และด้วยขุมพลังจากคุณ Ken Kutaragi และทีมพัฒนาที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้เพียงปีเดียวเท่านั้น เครื่อง “PlayStation 2” (PS2) ก็ได้ลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 4 มีนาคม 2543 และในสหรัฐอเมริกาวันที่ 26 ตุลาคม ปีเดียวกัน

(ล่าง) เครื่อง PS2 ที่สานต่อความสำเร็จจาก PS1

PS2 กำเนิดขึ้นพร้อมกับความคาดหวังจากฐานแฟนๆ ที่สั่งสมมาตั้งแต่ PS1 จนเหนียวแน่น ไม่ว่าจะเป็นเกมเมอร์รุ่นเก่าและเกมเมอร์หน้าใหม่ ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ Sony อยู่เหนือกว่า Nintendo, Sega หรือแม้กระทั่ง Microsoft แต่ปัญหาเดียวที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นกับ PS2 ก็คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากปัญหา “เกมเถื่อน” เพราะเกมของเครื่อง PS2 นั้นสามารถก็อปปี้ลงบนแผ่น DVD แผ่นอื่นได้อย่างสบายๆ... ทำให้เรายังคงพบเห็นแผ่นผีของ PS2 อยู่บนแผงขายเกมจนถึงทุกวันนี้...

หาก PS1 เคยได้ชื่อว่าเป็นเครื่องคอนโซลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดมาแล้ว เครื่อง PS2 ก็ถือได้ว่าน่าตกใจยิ่งกว่าเสียอีก เพราะแค่วันแรกที่วางจำหน่าย... ย้ำ!! วันแรกที่วางจำหน่ายที่ญี่ปุ่น เครื่อง PS2 ล็อตแรกทั้งหมดจำนวนกว่า 6 แสนเครื่องก็ถูกซื้อไปจนเรียบชั้นวางแบบไม่มีเหลือแม้แต่เศษฝุ่น สร้างความตกตะลึงให้กับทั้งผู้ผลิตและเหล่าเกมเมอร์ทั้งมวล และทำให้ Sony ประสบกับปัญหา “ผลิตไม่ทัน” ทันที เหตุการณ์นี้ไม่เพียงทำให้ Sony ต้องวิ่งวุ่นหัวฟูเท่านั้น มันยังทำให้เกมเมอร์หลายคนต้องพบกับความผิดหวังที่อดเป็นเจ้าของเครื่องเล่นเกมที่แข็งแกร่งที่สุดในขณะนั้น ด้วยจนถึงขั้นที่ว่ามีสาวกรายหนึ่งขึ้นไปกระโดดตึกฆ่าตัวตายกันเลยทีเดียว...

PS2 สายเลือดอเมริกาและยุโรปเองก็ทำผลงานได้ไม่ทิ้งห่างกันเลยแม้แต่น้อย ด้วยยอดขายที่พุ่งสูงถึง 5 แสนเครื่องในวันแรกที่วางจำหน่ายในอเมริกา และกว่า 8 หมื่นเครื่องในอังกฤษ ทำให้ PS2 ขึ้นแท่นเครื่องคอนโซลที่ได้รับความนิยมได้ไม่ยาก จนกระทั่งใน ปี 2553 เครื่อง PS2 ก็ได้รับตำแหน่งเครื่องคอนโซลที่มียอดจัดจำหน่ายมากที่สุดในประวัติการณ์ ด้วยยอดขายมากกว่า 155 ล้านเครื่องทั่วโลก และยังไม่มีผู้ใดสามารถล้มแชมป์ได้จนถึงปัจจุบันนี้...

อ่านต่อตอนจบของบทความนี้ได้ที่ คลิกที่นี่

แชร์เรื่องนี้:
Vesper
About the Author

Vesper

เซเว่นที่ว่าแน่ ก็ยังหารักแท้มาขายไม่ได้

เรื่องที่คุณอาจสนใจ