[รีวิว] Gravity Rush 2 - หากเพียงคุณกล้า...ที่จะร่วงหล่น

แชร์เรื่องนี้:
[รีวิว] Gravity Rush 2 - หากเพียงคุณกล้า...ที่จะร่วงหล่น

แพลตฟอร์ม: PS4
ผู้พัฒนา: SIE Japan Studio, Project Siren
ผู้จัดจำหน่าย: Sony Interactive Entertainment
เรต: 13 ปีขึ้นไป
ระยะเวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการเล่นจนจบเกม: ประมาณ 25-35 ชั่วโมง 
ระยะเวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการเก็บทุกรายละเอียด: 40 ชั่วโมงขึ้นไป

"เป้าหมายไม่สำคัญเท่าระหว่างทาง" เพราะขณะที่เราเดินทางนั้นอาจได้พบปะผู้คน หรือเรื่องราวที่กลายเป็นบทเรียนสำคัญของชีวิต...ประโยคที่กล่าวไปนี้ใช้ได้จริงอย่างมากสำหรับเกม Gravity Rush 2 ครับ และตรงนี้ทีมงานจะค่อยๆ อธิบายให้ฟังว่าทำไม

สำหรับเกมภาค 2 ในซีรีส์ Gravity Rush นั้นมาในรูปแบบเกมโอเพ่นเวิลด์ขนาดใหญ่ ที่ญี่ปุ่นใช้ชื่อ Gravity Daze 2 โดยภาคแรกออกเมื่อปี 2555 ให้กับเครื่อง PS Vita ก่อนจะพอร์ตมาลง PS4 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วนี้เอง สมัยนั้นตัวเกมโด่งดังจากการคิดค้นระบบการเล่นกับ "แรงโน้มถ่วง" ที่ตัวเอกสามารถใช้พลังพิเศษของความเป็น “Shifter” ควบคุมพลังดังกล่าวในการผจญภัยตลอดเวลากว่า 12 ชั่วโมงในเกมตั้งแต่ต้นจนจบ

ก็แคท(Kat)ไง จะใครล่ะ!

พล็อตเรื่องคร่าวๆ ช่วงเริ่มเกมจะเป็นเล่าต่อจากภาคที่แล้ว ซึ่งตอนนั้น สาว "แคท" ฟื้นขึ้นมาแบบไร้ความทรงจำในเมืองชื่อ Hekseville จากนั้นก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย เธอได้พบกับ ราเวน (Raven) อดีตคู่ปรับที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิท ซึ่งทั้งคู่ก็ร่วมมือกันพิทักษ์เมือง Hekseville ในเวลาต่อมาหลังจบภาคแรก โดยมีเหล่าเนวี่ (Nevi) สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่เล็ดลอดออกมาจากพายุแรงโน้มถ่วง (Gravity Storm) เป็นศัตรูสำคัญ 

และจากเหตุการณ์ในการ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่อง Gravity Rush Overture ที่มีเนื้อเรื่องเชื่อมต่อระหว่างเกม Gravity Rush ภาคแรกกับภาค 2 ก็จะเล่าต่อได้ว่า แคทกับราเวนต้องต่อกรกับสิ่งชั่วร้ายจนตกเข้าไปในวังวนแรงโน้มถ่วง ซึ่งฝ่ายแคทกับคู่หูชายหนุ่มอีกคนนาม "ซิด" ก็ถูกดูดหายไป

เรื่องราวในภาค 2 ได้เริ่มขึ้นเมื่อแคทกับราเวนต้องพลัดพรากจากกัน โดยเธอกับซิดจับพลัดจับผลูมาอยู่บนอาณานิคมเหมืองแร่ลอยฟ้า เธอกลายเป็นหญิงธรรมดาที่ทำงานแลกอาหารบนสถานที่แห่งนี้ โดยมีความหวังว่าพลังของเธอจะกลับคืนมา และเธอจะสามารถค้นพบเมืองที่เธอเคยอยู่อีกครั้ง

Side Missions? ได้หมดถ้าสดชื่น!

ครั้งแรกที่ทีมงานได้ลองควบคุมสาวแคท ก็ต้องทึ่งกับรายละเอียดที่ผู้สร้างบรรจงใส่เข้ามา โดยเฉพาะระบบฟิสิกส์การวิ่งกระโดกกระเดกในตอนต้นเรื่อง เพราะแคทใส่รองเท้าพื้นสูงแบบผู้หญิง (ยังไม่ได้ใส่ชุดเก่งที่ใช้ท่องไปบนอากาศ) ก็สร้างความสมจริงได้ดีทีเดียว ถึงตรงนี้ผู้เล่นสามารถกดปุ่มซ้ายที่จอย เพื่อเปลี่ยนมุมมองสลับไปมาระหว่าง FPS กับ TPS ได้ตลอดเวลา ตรงนี้ถือว่าทำได้ดี เพราะมันเอื้อต่อการเพ่งมองสถานที่ต่างๆ ในฉาก โดยเฉพาะพวกเครื่องหมายป็อปอัพระบุตำแหน่งภารกิจ หรือพวกตัวละคร NPC เด่นๆ ที่เราควรเข้าไปพูดคุย ที่สำคัญคือแนะนำให้ลองเปลี่ยนมุมมองระหว่างทะยานไปกลางอากาศดูครับ

ตัวเกมดำเนินเรื่องโดยใช้รูปแบบของหนังสือการ์ตูน เลื่อนอ่านเนื้อเรื่องไปทีละช่อง จอยของ PS4 จะมีลูกเล่นขยับหน้าจอได้นิดหน่อยระหว่างอ่าน จุดนี้บอกเลยว่าภาษาอังกฤษที่ใช้แปลมาจากญี่ปุ่นอีกทีนั้นอยู่ในระดับพื้นฐาน ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก ไม่ซับซ้อนอะไรมาก แนะนำให้ค่อยๆ อ่านกันไป อย่ากดข้าม เพราะนี่คือทีเด็ดสำคัญอย่างหนึ่งของ Gravity Rush 2 ครับ

เหตุผลก็คือ ตัวเกมมีเนื้อหาเยอะมาก มิชชั่นบางอันก็จะมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือมันไม่เหมือนกันเป๊ะๆ แต่เวลาเล่นมันจะโทนเดียวกัน เช่น ให้ส่งหนังสือพิมพ์ ให้ตามหาของ ฯลฯ ซึ่งมันดึงดูดให้เกิดความเบื่อได้ง่ายมาก แต่ทีมงานกลับก้าวข้ามความเบื่อหน่ายมาได้เพราะ “ความสัมพันธ์” ของตัวละครในเกมครับ พวกบทสนทนาระหว่างฉากต่างๆ นี่แหละอย่างฮา มีมุกแบบพ่อแง่แม่งอน ทะเล้นหยอกล้อกัน แล้วมันทำได้ดีทีเดียว

บางครั้งบางคราว เราก็จะได้เจอกับเนื้อเรื่องแบบดราม่าเศร้าๆ เรื่องเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียม การกดขี่ข่มเหงจากผู้มีอำนาจ ซึ่งเป็นพล็อตที่ผมเซอร์ไพรส์มาก ไม่นึกว่าจะได้เจอในเกมที่หน้าฉากดูออกจะสดใสฟีลกู้ดแบบเกมนี้...จุดนี้ต้องขอชมเลย

อย่างไรก็ตาม...กับความยาวและความเยอะของภารกิจในเกมอาจสร้างปัญหาให้กับบางคน (เพราะอาจจะล้ากันก่อนจะเล่นจบ) เพราะตัวเกมมีมิชชั่นหลักอยู่ 27 เหตุการณ์ แต่ละอันก็จะใช้เวลาเล่นนานกว่าพวกภารกิจเสริม ตอนที่ทีมงานเล่นไปเรื่อยๆ จนคิดว่าน่าจะใกล้จบแล้ว เกมก็เผยฉากพื้นที่ใหม่ๆ แถมด้วยตัวละครหน้าใหม่ กับเนื้อหาอีกเป็นกระตั้ก บวกพวก Side Mission อีกเป็นโหล แล้วยังมีพวกภารกิจแนว Challenge กับการออกตามหาหีบสมบัติจากเบาะแสภาพถ่ายของผู้เล่นคนอื่น ซึ่งเป็นรูปแบบการใช้ประโยชน์จากออนไลน์มัลติเพลเยอร์ของเกมนี้อีกด้วย...ตรงนี้ก็ขอให้เตรียมใจกันไว้เลย

สาวน้อย...ทาสแมว

มาถึงประเด็นสำคัญที่ต้องพูดถึงครับ นั่นคือการใช้พลังควบคุมแรงโน้มถ่วงของแคท ซึ่งพอผ่านช่วงแรกของเกมไปได้ แคทจะได้พบกับเจ้าแมวมอมแมม “Dusty” อีกครั้ง และเมื่อเธอใช้พลังได้ ทีนี้ตลอดเวลาที่เหลือทั้งเกมผู้เล่นก็แทบจะใช้ชีวิตอยู่กลางอากาศเลยก็ว่าได้ครับ ประมาณว่าแทบไม่อยากเดินกันเลยทีเดียว ระหว่างนี้หากพลาดพลั้งตกเหวตาย หรือโดนโจมตีอะไรก็แล้วแต่ ตัวเกมจะชุบชีวิตเราขึ้นมาใหม่ตรงจุดใกล้ๆ นั้นทันที เรียกว่าเล่นได้แบบต่อเนื่อง ไม่ต้องรอโหลดนาน 

ระหว่างเคลื่อนที่กลางอากาศ แคทต้องเลือกเป้าหมายด้วยปุ่ม R1 จากนั้นสามารถกด R1 อีกครั้งเพื่อหยุดในสภาพลอยตัวเคว้ง ต่อมาก็เลือกที่หมายต่อไปได้ ซึ่งการใช้พลังนี้จะมีมิเตอร์ด้วยนะครับ ถ้าหมดก็ต้องกด L1 ลงพื้นมาพักแล้วรอให้มันเต็มอีกครั้ง (แป๊บเดียวครับ มันขึ้นเร็วแบบสายฟ้าแล่บ) ส่วนเวลาที่เจอพวกบอสหรือศัตรูบางตัว เกมจะมีระบบ QTE (Quick Time Event) หรือกดปุ่มให้ถูกต้องตามจังหวะบนหน้าจอ และสามารถใช้ท่าพิฆาตปิดฉากด้วยการแตะที่ทัชแพดบนจอยอีกที

ด้านการพัฒนาตัวละครตามสไตล์เกม RPG เกมใช้ระบบสะสม Gem ซึ่งมันก็คือแร่ธาตุสำคัญที่ใช้เป็นเงินตราแลกเปลี่ยน แคทสามารถสะสมเพื่อเอาไปใช้อัพเกรดสกิลต่างๆ ได้ ซึ่งตรงนี้แนะนำว่าให้เลือกดีๆ เพราะเมื่ออัพไปแล้วจะถอยกลับไม่ได้ ดังนั้นควรเลือกอัพสายที่เราถนัด หรือใช้บ่อย อย่างผมเองเป็นสายถีบ ก็จะเน้นไปทางนั้นมากกว่าพวกท่าที่ใช้พลังยกของ ปาของใส่ศัตรู ทีนี้เมื่อมีระบบสะสม Gem ตัวเกมก็เลยมีพื้นที่ให้เราลงไปถลุงแร่ได้ด้วย ก่อเกิดการเล่นแบบ “ฟาร์ม Gem” ที่พอเล่นไปหลังๆ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมาหา Gem พวกนี้ครับ ไม่งั้นลุย Story Mission ลำบาก หรือใครจะไปหาเอาจากการไล่ทำ Side Mission ก็พอได้เหมือนกัน นอกจาก Gem แล้ว Gravity Rush 2 ยังมีไอเทมอีกอย่างให้หามาเพิ่มพลัง นั่นคือ Talisman ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้มาจากการทำภารกิจรองทั้งหลายนั่นแหละ

ทั้งนี้ เมื่อเล่นไปซักพักแคทจะได้ชุดเกราะเสริม 2 สไตล์แบ่งเป็นโหมดลูนาร์และจูปิเตอร์ โดยลูนาร์จะเป็นการทำให้แรงโน้มถ่วงน้อยลง ส่งผลให้แคทเคลื่อนที่ได้ว่องไวและกระโดดได้สูงกว่าปกติ ส่วนจูปิเตอร์จะเป็นการเพิ่มแรงโน้มถ่วง มีผลต่อพลังงานจลน์เวลาตกกระทบ ทำให้โจมตีได้แรงกว่าเดิม

มุมกล้องนาจา...#มองบน

ชมมาเยอะแล้ว คราวนี้มาถึงจุดแปลกๆ ที่น่าตำหนิของเกมนี้กันบ้าง อันดับแรกคือมุมกล้องที่มักเจอปัญหาในที่แคบ หรือในบางฉากบางพื้นที่ ยกตัวอย่างที่ทีมงานเจอบ่อยคือเวลาสู้กันติดพันแล้วมีศัตรูในฉากเยอะๆ พอเราพุ่งแหวกอากาศเปลี่ยนจุดไปมา มุมกล้องมันจะหมุนตามไม่ทัน ไม่ค่อยมาอยู่ข้างหลังเรา ทำให้เรามองไปข้างหน้าหรือมองภาพกว้างไม่ทัน จนหลายครั้งทำให้เรางงว่าเราทะยานไปอยู่ตรงไหนแล้วหว่า บางทีก็งงถึงขนาดว่าเราอยู่ทิศไหน อันไหนท้องฟ้าอันไหนพื้นด้านล่าง แล้วสถานการณ์แบบนี้มันเกิดบ่อยเสียด้วย ยิ่งเจอบอสยิ่งหนักใหญ่เลยเพราะศัตรูเยอะ จริงๆ ตรงนี้มุมกล้องมันน่าจะซูมออกมาไกลอีกหน่อย ก็น่าจะทำให้คนเล่นเห็นได้ครอบคลุมทั้งฉากได้มากขึ้น ช่วยให้ต่อสู้สะดวกขึ้นแน่นอน

อีกประเด็นหนึ่งคือเรื่องภารกิจลอบเร้นที่ส่วนใหญ่จะมาในรูปภารกิจเสริม ตรงนี้ทีมงานคิดว่ายังออกแบบมาได้ไม่สุด เนื่องด้วยการตั้งกติกาที่ไม่ยืดหยุ่นเอาเสียเลย เช่น ย่องแล้วเจอพอถูกคนเห็นก็ Mission Fail ซะงั้น หรือบางฉากกดลอยตัวก็ไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันเป็นความสามารถของตัวเอกเองแท้ๆ

มีกรณีเกี่ยวกับบอสในเกมด้วยครับ ตรงนี้ตอนแรกทีมงานได้ทราบจากรีวิวของทางตะวันตกที่ส่วนใหญ่จะติว่าการสู้บอสในเกมค่อนข้างซ้ำซากจำเจ และหลายครั้งยืดเยื้อเกินจำเป็น แต่พอทีมงานได้มาเล่นเองกลับไม่รู้สึกแบบนั้นนะครับ มันก็พอเข้าใจได้ว่าถ้าเราดูตามตรรกะของโลก Gravity Rush เพราะเวลาต่อสู้ มันก็คือการชิงจังหวะเข้าโจมตีบรรดาจุดอ่อนรอบตัวบอส ขณะเดียวกันก็ต้องคอยพุ่งหลบพวกลูกสมุนปีศาจที่โผล่มาเพียบเลย ซึ่งมันก็อยู่ในโครงสร้างนี้เป็นส่วนใหญ่ เอาเป็นว่าทีมงานยกเคสนี้ให้เป็นไปตามมาตรวัดทาง “รสนิยม” ของแต่ละคนก็แล้วกันครับ

แถมท้ายด้วยข้อสังเกตที่ทีมงานเพิ่งพบก่อนมานั่งเขียนรีวิวนี้ครับ กล่าวคือ ทีมงานรู้สึกได้ว่าการเลือกใช้ซาวด์แทร็กหรือซาวด์เอฟเฟ็กต์ในเกมจะปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ดังนั้นให้ตั้งใจฟังเสียงดีๆ ก็จะรู้ถึงไอเทม สัตว์(ที่ตามหาอยู่) หรือแม้แต่พวก NPC สำคัญๆ ในฉาก ว่ามันอยู่ตรงไหน แล้วเราเข้าใกล้มันแล้วหรือยังได้ง่ายมาก

จากทั้งหมดทั้งมวลที่ทีมงานเก็บเกี่ยวมาได้จากการทดสอบการเล่น Gravity Rush 2 จึงเป็นคำอธิบายได้ว่า ความสนุกระหว่างเดินทางท่องไปในโลกเกมผ่านภารกิจต่างๆ มันเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าประทับใจ...เสียจนแทบไม่สนว่าเกมจะจบเมื่อไหร่ด้วยซ้ำ

ข้อดี

- โลกของเกมดีไซน์มาได้สวยงามมากๆ มีการออกแบบเชิงศิลปะที่ดี ทำให้เรา "เชื่อ" ในความมีชีวิตของดินแดนนั้นจริงๆ แถมรายละเอียดเล็กน้อยในฉากก็ทำได้เลิศ
- ระบบการใช้แรงโน้มถ่วงคือสิ่งดีงามสุดๆ ในเกม ความรู้สึกระหว่างล่องลอย-ร่วงหล่น มันทำให้รู้สึก "ว้าว" ทุกครั้งที่ได้เล่น
- ตัวละครแต่ละตัวมีแง่มุมที่น่าสนใจ มีดราม่า มีมุกขบขันทะลึ่งตึงตัง และที่สำคัญ...มันดูมีชีวิตชีวา
- ตัวเกมค่อนข้างยาวมาก มีอะไรให้ทำเยอะสิ่ง

ข้อเสีย

- มุมกล้องมักจะหมุนวนเวียนตามตัวละครไม่ทันในบางพื้นที่ บีบให้ผู้เล่นต้องจำเอาเองว่าศัตรูตัวที่เรากำลังอัดอยู่นั้น มันย้ายไปอยู่ตรงไหนกันแน่ในจอภาพ
- ในส่วนของภารกิจลอบเร้น ทีมงานพอเข้าใจได้ว่าผู้พัฒนาคงอยากให้ตัวเกมมีรูปแบบการเล่นที่หลากหลายขึ้น แต่ก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าบางครั้งมันดูไม่สมเหตุสมผล ก็แหม...แคทเธอมีพลังถึงขั้นใช้แรงดึงดูดได้ตามใจนึก แต่ต้องมาย่องๆ แอบๆ อะไรแบบนั้นเนี่ยนะ

สรุป

Gravity Rush 2 ให้ความรู้สึกอย่างเด่นชัดกับทีมงานอย่างนึงก็คือ มันเหมือนกับเราได้เจอการ์ตูนที่เราชอบ แล้วมันออกภาคใหม่ล่าสุดมาให้ได้ชื่นชมหลังหายไปนาน พอได้อ่าน ได้ดูมัน ก็ต้องพบว่ามันสนุกกว่าภาคแรกเสียอีก มันทำให้ตลอดการเล่นเพลิดเพลินเสียจนทำให้ทีมงานยอมมองข้ามจุดอ่อนทั้งหลายของมัน นับเป็นเกมที่ใช้เล่นตอนต้นปี 2560 ได้ดีจริงๆ และถ้าคิดในแง่ที่ว่า ตัวเกมใช้พื้นที่เพียง 17 GB แต่สามารถเล่นได้เกินกว่า 40 ชั่วโมงก็คุ้มสุดๆ แล้วครับ

คะแนน - 9

แชร์เรื่องนี้:
Vesper
About the Author

Vesper

เหนื่อยจากเกมก็ลองหยุดพัก แต่ถ้าเหนื่อยจากรักก็จงหยุดเถอะ

เรื่องที่คุณอาจสนใจ