ตามปกติแล้วยุคสมัยของวิดีโอเกมจะถูกแบ่งด้วยเครื่องเกมคอนโซลจากแต่ละผู้ผลิตค่ายละ 1 รุ่นเป็นเวลาติดต่อกันหลายปี ในช่วงเวลานั้นเครื่องเกมรุ่นหนึ่งๆ อาจมีการปรับปรุงรูปลักษณ์ภายนอกหรือสถาปัตยกรรมภายในกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่ประสิทธิภาพในการแสดงผลโดยรวมของตัวเกมจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง หากแต่โมเดลนั้นได้เปลี่ยนไปแล้วในยุคนี้ด้วย PlayStation 4 Pro (PS4 Pro) เครื่องเกมรุ่นอัพเกรดจาก Sony ที่มีจุดขายอยู่ตรงประสิทธิภาพในการประมวลผลที่เพิ่มมากขึ้นพร้อมทั้งยังรองรับเทคโนโลยี 4K และ HDR บนทีวีรุ่นใหม่ๆ ที่ฐานผู้ใช้กำลังเริ่มขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนที่จะลงลึกกันไปมากกว่านี้ สิ่งที่ควรทำความเข้าใจกันก่อนก็คือ PS4 Pro ก็คือเครื่อง PS4 รุ่นอัพเกรด จะเรียกว่าเป็น PS4.5 ก็ว่าได้ ฉะนั้นแม้ว่าหลายๆ เกมจะรันได้ลื่นขึ้นหรือสวยงามขึ้นบน PS4 Pro แต่เราก็จะไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงชนิดก้าวกระโดดเหมือนตอนเปลี่ยนยุคจาก PS1 ไป PS2 หรือ PS2 ไป PS3 อะไรอย่างนั้น ดังนั้นสิ่งที่เราอาจต้องถามตัวเองก่อนก็คือ PS4 Pro จะเหมาะกับตัวเราหรือไม่ ถ้ายังไม่เคยซื้อ PS4 มาก่อน PS4 Pro จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากแค่ไหน หรือถ้าใครเป็นเจ้าของเครื่อง PS4 อยู่ก่อนแล้วมันจะคุ้มค่ากับการซื้อเครื่องรุ่นอัพเกรดตัวนี้หรือเปล่า ด้วยเหตุนี้ ทีมงาน play และ Online Station จึงจัดทำรีวิวนี้ขึ้นมาเพื่อหวังว่าจะมีส่วนช่วยในการตัดสินใจของเกมเมอร์หลายๆ ท่านกันนะครับ
นับตั้งแต่เปิดตัวมาจนถึงตอนนี้ที่ PS4 Pro กำลังเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ หลายคนน่าจะเคยเห็นทั้งภาพภายในเกมและวิดีโอเปรียบเทียบระหว่างเกมที่รันบน PS4 รุ่นมาตรฐานและ PS4 Pro กันมาแล้วนักต่อนัก ซึ่งภาพและวิดีโอเหล่านั้นจะไม่ทำให้เราเห็นถึงความแตกต่างมากนักบนจอ Full HD ที่มีความละเอียด 1080p ด้วยเกมที่รองรับ PS4 Pro หากไม่รันด้วยความละเอียด 4K แบบ Native ก็จะถูกอัพสเกลขึ้นมาเพื่อแสดงภาพบนจอทีวีที่มีความละเอียดมากขึ้น การดูภาพ 4K บนจอ Full HD จึงแทบไม่เห็นความแตกต่างนอกจากความใหญ่ของภาพเท่านั้น ฉะนั้นการจะเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนจึงต้องมองด้วยตาของตัวเราเองบนจอ 4K เพราะไม่เพียงแต่จะสามารถแสดงภาพความละเอียดสูงกว่า Full HD ได้ถึง 4 เท่า สิ่งที่เราจะเห็นได้จากการเล่นเกมเหล่านี้บนจอ 4K ก็คือคุณสมบัติ HDR ที่สามารถแสดงความเข้มข้นของแสงและสีที่สมจริง ทำให้เราได้เห็นภาพที่สวยงามเนียนตาขึ้นมาก อีกทั้งมันยังช่วยให้เราได้เห็นรายละเอียดที่อาจเคยถูกซ่อนอยู่ในมุมมืดของภาพหรือถูกแสงสว่างจ้าจนกลบรายละเอียดของภาพด้วย
เช่นนั้นแล้วก็หมายความว่าเราต้องมีทีวี 4K ก่อนเหรอถึงค่อยซื้อ PS4 Pro ถ้าจะให้พูดตรงๆ เลยคงต้องบอกว่า… ก็ไม่เชิง เพราะนอกจากเรื่องของการแสดงภาพที่สวยงามขึ้นบนจอ 4K แล้ว ประโยชน์ที่เราจะเห็นได้จากรันเกมที่รองรับ PS4 Pro บนทีวี Full HD ทั่วไปก็มีหลายประการ อย่างเช่นเท็กซ์เจอร์หรือภาพพื้นผิวของโพลีกอนที่มีรายละเอียดมากขึ้น ความเร็วในการโหลดข้อมูล และเฟรมเรตที่เพิ่มขึ้นทำให้ได้ภาพเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลมากกว่าเดิม เป็นต้น อีกทั้งอย่างที่กล่าวไปในข้างต้นว่านี่ไม่ใช่การเปลี่ยนยุคเครื่องเกมคอนโซลเหมือนที่ผ่านๆ มา การตัดสินใจซื้อ PS4 Pro จึงควรคำนึงถึงองค์ประกอบหลายๆ อย่างต่างจากที่เคย ซึ่งหากจะให้จำแนกอย่างง่ายๆ แล้ว เกมเมอร์ที่เข้าข่ายต่อการซื้อ PS4 Pro จึงถูกแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มดังที่ทีมงานจะขอกล่าวถึงดังต่อไปนี้ครับ
1. มีทีวี 4K แต่ไม่เคยมี PS4 มาก่อน
หากตอนนี้คุณมีทีวี 4K ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในบ้านและกำลังคิดที่จะซื้อ PS4 สักเครื่องมาเล่นเกม การซื้อ PS4 Pro ดูจะเป็นทางเลือกที่น่าเดินไปหามากที่สุด เพราะแม้จะต้องจ่ายเงินมากกว่าเครื่อง PS4 รุ่นมาตรฐาน (ทั้งแบบดั้งเดิมและแบบสลิม) ราว 4,000 บาท แต่คุณจะได้ประโยชน์จากประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของ PS4 Pro ในทุกด้าน เรียกว่าเป็นกลุ่มที่จะได้ความคุ้มค่าจากการซื้อ PS4 Pro มากที่สุดเลยทีเดียว และหากคุณมีงบมากพอที่จะซื้อทีวี 4K ราคาหลายหมื่นจนอาจถึงหลักแสน การเพิ่มเงินอีกไม่กี่พันเพื่อเครื่องเกมที่มีประสิทธิภาพดีกว่าก็น่าจะทำให้ตัดสินใจได้ไม่ยากเลย
2. มีทั้งทีวี 4K และ PS4 รุ่นมาตรฐานอยู่แล้ว
จะบอกว่าจำเป็นก็คงไม่ใช่ เพราะมันขึ้นอยู่กับความพอใจของตัวเราเอง ถ้า PS4 รุ่นมาตรฐานสามารถตอบโจทย์ในการเล่นเกมของคุณได้มากพออยู่แล้วก็คงไม่จำเป็นต้องซื้อ PS4 Pro มาเพิ่มอีกก็ได้ แต่หากจะมองในอีกมุมหนึ่ง ไหนๆ คุณก็มีทีวี 4K อยู่แล้ว จะซื้อ PS4 Pro มาทำคอมโบกับทีวีเพื่อความอลังการด้านกราฟิกก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย
3. ไม่มีทีวี 4K และไม่เคยมี PS4 มาก่อน
ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณวางแผนอนาคตไว้อย่างไร ตั้งงบประมาณด้านความบันเทิงในชีวิตไว้มากแค่ไหน หากใครยังไม่คิดที่จะซื้อทีวี 4K เร็วๆ นี้ PS4 รุ่นมาตรฐานก็น่าจะเหมาะกับคุณมากกว่า ค่อยๆ เก็บเงินแบบชิลๆ ไปอีกสัก 2-3 ปีรอให้ทีวี 4K มีราคาต่ำกว่านี้ค่อยพิจารณาซื้อทั้งทีวีใหม่และเครื่องเกมใหม่ไปพร้อมกันเลยก็ได้ แต่หากคุณพร้อมที่จะซื้อทีวี 4K และอยากจะได้เครื่องเกมมาไว้ในครอบครองสักเครื่อง PS4 Pro ก็จะทำให้คุณเห็นถึงคุณประโยชน์และใช้ทีวี 4K ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น
4. ไม่มีทีวี 4K แต่มี PS4 รุ่นมาตรฐาน
องค์ประกอบในการตัดสินใจอาจคล้ายกับข้อ 3 ในด้านของการตั้งงบประมาณ เพราะหากจะต้องซื้อเครื่องเกมใหม่ราคาเป็นหมื่นมาแล้วใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แน่นอนว่ามันคงไม่ใช่การจ่ายเงินที่คุ้มค่าสักเท่าไหร่ หรือจะซื้อใหม่ยกชุดทั้งทีวี 4K ทั้ง PS4 Pro ก็ยังต้องใช้เงินมากอยู่ ดังนั้นหากคุณยังไม่อยากที่จะต้องจ่ายเงินมากขนาดนั้น การอยู่อย่างพอเพียงกับ PS4 รุ่นมาตรฐานบนทีวี Full HD ก็จะไม่ทำให้คุณรู้สึกพลาดอะไรไปเลย เพราะยังไงเครื่องรุ่นมาตรฐานก็สามารถเล่นเกม PS4 ได้ทุกเกมอยู่แล้ว
อย่างที่บอกว่าทั้งภาพภายในเกมและวิดีโอเปรียบเทียบระหว่างเกมที่รันบน PS4 รุ่นมาตรฐานและ PS4 Pro สามารถหาดูได้ทั่วไป แถมเราจะไม่เห็นความแตกต่างสักเท่าไหร่หากไม่ได้มองด้วยตาตัวเองบนจอ 4K ดังนั้นจะให้เอาภาพมาวางเทียบกันเป็นร้อยเป็นพันภาพก็คงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ทีมงานของเราจึงได้ทำการทดสอบเกมต่างๆ ที่รองรับ PS4 Pro บนจอ 4K เพื่อนำมาเล่าเป็นประสบการณ์ประกอบการตัดสินใจของทุกคนดังนี้ครับ
- inFAMOUS Second Son / inFAMOUS First Light
ถ้าใครอยากจะลองประสิทธิภาพด้าน HDR ของทีวีตัวเองล่ะก็ inFAMOUS Second Son และ inFAMOUS First Light น่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุด และถึงแม้ทั้งสองเกมจะมีแพตช์ใหม่ออกมารองรับ PS4 Pro โดยเฉพาะเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่า First Light จะเปล่งประกายมากกว่าอย่างเห็นได้ชัดด้วยเอฟเฟ็กต์แสงนีออนที่เข้มข้นของสาวเฟทช์นั้นดูจะเหมาะกับการใช้ HDR มากกว่าควันของหนุ่มเดลซินอยู่พอสมควร นอกจากนี้ความละเอียดของภาพและรายละเอียดของวัตถุและสิ่งก่อสร้างต่างๆ บนฉากที่เพิ่มขึ้นก็ยิ่งทำให้ภาพที่ปรากฏออกมานั้นเนียนตามากขึ้นไปอีก
- The Last of Us Remastered
แพตช์ 1.07 ที่ออกมาเพื่อรองรับ PS4 Pro ในตอนแรกอาจทำให้ The Last of Us Remastered รันได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าไหร่ แต่ปัญหาดังกล่าวก็ถูกแก้ไขอย่างรวดเร็วในแพตช์ 1.08 ตัวเกมบนความละเอียด 4K ให้ภาพที่คมชัดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แสงและสีของท้องฟ้าในเวลาต่างๆ สามารถแสดงออกมาได้อย่างสมจริงและช่วยให้บรรยากาศโดยรวมของเกมดูหม่นหมอง (ในทางที่ดี) อย่างที่ควรจะเป็น รวมถึงเงาของตัวละครก็คมชัดขึ้นทำให้ดูมีมิติมากกว่าที่เคย แต่น่าเสียดายที่การเลือกความละเอียด 4K ทำให้เฟรมเรตของเกมถูกจำกัดอยู่ที่ 30FPS แม้จะเป็นเกมรีมาสเตอร์จากยุคก่อนก็ตาม อย่างไรก็ดี เราก็สามารถเลือกรันเกมให้ลื่นไหลมากกว่าเดิมที่เฟรมเรต 60FPS ก็ได้ แต่นั่นก็หมายความว่าภาพที่เห็นจะมีความละเอียดที่ต่ำลง เอฟเฟ็กต์ต่างๆ รวมถึงเงาก็จะถูกจำกัดให้อยู่ในระดับปกติ แต่อย่างที่เราทราบกันดีว่า The Last of Us เป็นเกมที่ถ้าไม่สวยที่สุดในยุคก่อนก็อยู่ในอันดับต้นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย การเล่นเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์ด้วยเฟรมเรตที่ลื่นไหลขึ้นก็อาจทำให้คุณเพลิดเพลินกับเกมไปได้อีกอารมณ์เหมือนกัน
- Rise of the Tomb Raider
ก่อนหน้านี้เราอาจจะรอกันนานหน่อยกว่าที่ Rise of the Tomb Raider จะออกมาให้เล่นกันบนเครื่อง PS4 แต่เมื่อเทียบกับความสมบูรณ์ของระบบเกมรวมถึงการรวม DLC ทั้งหมดเอาไว้ในเวอร์ชั่น 20th Year Celebration ประกอบกับการรองรับ PS4 Pro ที่ถูกพัฒนามาได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว การรอคอยครั้งนี้ก็ถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียว Rise of the Tomb Raider บน PS4 Pro จะมีตัวเลือกให้เราได้ปรับอยู่ 3 โหมดด้วยกัน คือ 4K Resolution, Enriched Visuals และ High Framerate ซึ่งชื่อของแต่ละโหมดก็น่าจะสื่อความหมายได้ชัดเจนอยู่แล้ว แต่หากจะให้สรุปกันสั้นๆ ก็คงจะบอกได้ง่ายๆ เลยว่าการเล่น Rise of the Tomb Raider ในโหมด 4K Resolution นั้นเป็นประสบการณ์ที่ตระการตาที่สุดแล้ว ทั้งนี้อาจเพราะตัวเกมถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเครื่องเกมยุคนี้โดยเฉพาะตั้งแต่ต้น การยกระดับความสวยงามให้มากขึ้นด้วยความละเอียดระดับ 4K เกือบทำให้เราคิดแล้วว่ากราฟิกมันคงไม่เนียนตามากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว "มั้ง" (เว้นแต่คุณจะรันเกมนี้บนเครื่อง PC ที่มีราคาสูงกว่า PS4 Pro เป็นเท่าตัว) ในขณะที่โหมด Enriched Visuals จะทำให้ตัวเกมแสดงเอฟเฟกต์รวมถึงเทกซ์เจอร์ที่มีความละเอียดมากขึ้น อย่างเช่นความแรงของพายุหิมะ การเคลื่อนไหวของใบไม้ใบหญ้าตามแรงลม ตลอดจนรายละเอียดบนพื้นดิน และอีกมากมาย อย่างไรก็ตาม ทั้ง Enriched Visuals และ 4K Resolution จะรันด้วยเฟรมเรต 30FPS ตามปกติ แต่ถ้าใครอยากได้เกมเพลย์ที่ลื่นไหลมากขึ้น โหมด High Framerate ก็คงจะเป็นทางเลือกที่เหมาะกับคุณที่สุด แม้ว่าใครตาไวหน่อยก็อาจจะรู้ว่าเฟรมเรตของเกมอาจไม่สูงถึง 60FPS ตลอดเวลา แต่อย่างน้อยมันก็สูงพอที่จะทำให้เราเห็นว่าการเคลื่อนไหวโดยรวมของเกมนั้นเนียนตากว่าที่ 2 โหมดก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
- FIFA 17
ไม่เพียงแต่ตัวเกมจะสามารถแสดงภาพที่ความละเอียดระดับ 4K ได้แล้ว ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของ PS4 Pro ยังทำให้รายละเอียดต่างๆ ภายในสนามแข่งมีความคมชัดมากขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นบริเวณม้านั่งสำรองหรือบนอัฒจันทร์ที่แต่เดิมบนเครื่อง PS4 รุ่นมาตรฐานจะถูกถ่ายทอดออกมาแบบความละเอียดต่ำและออกจะเบลอไปสักนิด แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ส่งผลต่อฝีมือในการเล่นของเราเท่าไหร่นัก แต่มันก็ทำให้เราได้บรรยากาศในการแข่งที่สมจริงมากขึ้นเล็กน้อย
- Tom Clancy’s The Division
ใช่ว่าทุกเกมที่ออกแพตช์ใหม่มารองรับ PS4 Pro จะยกระดับในการแสดงผลของตัวเกมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดไปเสียทั้งหมด ซึ่ง The Division ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการเล็กๆ ได้เป็นอย่างดี ตัวเกมยังคงรันที่ความละเอียด Full HD พร้อมกับเฟรมเรต 30FPS เช่นเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาก็คือความคมชัดของอินเตอร์เฟซต่างๆ ที่ถูกปรับขึ้นมาเป็น 4K รวมถึงการแสดงแสงเงาต่างๆ ก็จะดูมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นนิดหน่อย
- Uncharted 4: A Thief’s End
เช่นเดียวกับ The Last of Us ที่เป็นเกมจากทีมงานเดียวกันอย่าง Naughty Dog แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขามีความเชี่ยวชาญในการสร้างเกมให้สมกับประสิทธิภาพของเครื่องเกมเป็นอย่างมาก เพราะเดิมที Uncharted 4 ก็เป็นเกมที่สวยงามมากอยู่แล้วแม้จะรันบนเครื่อง PS4 รุ่นมาตรฐาน แต่การเล่นเกมนี้ด้วยความละเอียดที่สูงขึ้นบน PS4 Pro ก็ยิ่งทำให้เราได้เห็นว่าตัวเกมยังสวยได้มากกว่านั้นอีก สิ่งที่ทำให้เราสะดุดตากับเกมนี้ในแบบที่ต่างไปจากเกมอื่นๆ ก็คือไม่เพียงแต่จำนวนพิกเซลที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่มันยังเป็นความสวยงามที่เพิ่มขึ้นอีกขั้นอันเนื่องมาจากการเกื้อหนุนกันของบรรยากาศและการออกแบบฉากที่เมื่อถูกถ่ายทอดบนจอ 4K แล้วทำให้แต่ละฉากดูมีสีสันและมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น และอาจเป็นเพราะ Uncharted 4 เป็นหนึ่งในเกมที่ดึงประสิทธิภาพของ PS4 ออกมาอย่างที่อาจเรียกได้ว่าคั้นจนหยดสุดท้าย การรันเกมบน PS4 Pro ก็ยังมีเฟรมเรตอยู่ที่ 30FPS สำหรับโหมดเนื้อเรื่อง และ 60FPS สำหรับโหมดมัลติเพลเยอร์เช่นเดิม
- Final Fantasy XV
อาจยังไม่รองรับอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ Final Fantasy XV บน PS4 Pro ที่คอมโบกับจอ 4K ก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่างจากตัวเกมเวอร์ชั่นปกติบนเครื่อง PS4 รุ่นมาตรฐานกับจอ Full HD อยู่พอสมควร ขณะที่โหมด High จะสามารถแสดงภาพความละเอียดสูงพร้อมกับรายละเอียดของเท็กซ์เจอร์และแสงเงาที่เข้มข้นและเนียนตามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โหมด Lite จะลดความละเอียของภาพมาอยู่ที่ 1080p และมีรายละเอียดที่น้อยกว่าพอประมาณ แต่ข้อดีของโหมด Lite ก็คือตัวเกมจะรันด้วยเฟรมเรต 30FPS ที่คงที่มากกว่าแบบ High ที่มีอาการส่ายไปมาอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม ทาง Square Enix เคยกล่าวว่าพวกเขาจะออกแพตช์รองรับ PS4 Pro ที่สมบูรณ์กว่านี้ออกมาแน่นอน รวมถึงจะให้เราเลือกรันเกมที่ความละเอียด 1080p กับเฟรมเรต 60FPS ด้วย
- PlayStation VR
เนื่องด้วยเกมบน PlayStation VR นั้นต้องมีเฟรมเรตที่สูงเข้าไว้ตั้งแต่แรกเพื่อให้ผู้เล่นรู้สึกถึงความสมจริงในการเคลื่อนไหวมากที่สุด ไม่อย่างนั้นเราคงจะเวียนหัวกันแทบจะทันทีที่ได้เล่น ดังนั้นเกมต่างๆ ที่มีแพตช์ออกมารองรับ PS4 Pro จึงไม่จำเป็นต้องเน้นไปที่การเพิ่มเฟรมเรต แต่จะเน้นไปที่การเพิ่มความละเอียดในการแสดงภาพและเอฟเฟกต์ต่างๆ มากกว่า แต่ในขณะเดียวกัน การจะเพิ่มความละเอียดของภาพก็หมายความว่าแต่ละเกมก็จะต้องคงเฟรมเรตให้อยู่ในระดับสูงให้ได้ถ้าไม่มากขึ้นก็เท่าเดิมเอาไว้ก่อน ดังนั้นแต่ละเกมจึงมีความละเอียดที่เพิ่มขึ้นไม่มากนัก หากไม่สังเกตกันจริงๆ ก็อาจจะไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ เราจะเห็นถึงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นก็จากความเร็วในการโหลดข้อมูลต่างๆ เสียมากกว่า
อย่างไรก็ตาม เกมต่างๆ ตามรายชื่อด้านบนนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างบางส่วนของเกมที่รองรับ PS4 Pro เท่านั้น นอกจากนี้แล้วยังมีอีกหลายเกมที่มีแพตช์ออกมาดึงพลังที่เพิ่มขึ้นของตัวเครื่องมาเพื่อใช้งานด้านต่างๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความละเอียดของภาพ รายละเอียดของฉากภายในเกม รวมถึงเฟรมเรตที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนการแสดงแสงและสีที่สมจริงบนจอ 4K HDR แต่สิ่งที่อยากจะย้ำอีกทีก็คือนี่ไม่ใช่การเปลี่ยนยุคหรืออัพเกรดเครื่องเกมอย่างที่ผ่านมา การจะสัมผัสถึงความสามารถที่แท้จริงของ PS4 Pro นั้นยังไงก็ต้องมองด้วยตาของตัวเองบนจอ 4K เท่านั้น ต่อให้เขียนเป็นตัวอักษรยาวเป็นเล่มหรือเอาภาพนิ่งบนเรียงให้ดูจนนับไม่ถ้วนก็ไม่อาจเทียบกับประสบการณ์โดยตรง หากจะให้สรุปกันในประโยคเดียวคงไม่มีอะไรจะเหมาะไปกว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” จริงๆ