Online Station

[เกมเก่า เล่าใหม่] Assassin’s Creed III ปัจฉิมบทมหากาพย์มือสังหารพันปีกับเที่ยวบินที่ไม่ราบเรียบดีอย่างที่ควรจะเป็น…

แชร์เรื่องนี้:
[เกมเก่า เล่าใหม่] Assassin’s Creed III ปัจฉิมบทมหากาพย์มือสังหารพันปีกับเที่ยวบินที่ไม่ราบเรียบดีอย่างที่ควรจะเป็น…


        ถ้าจะมีสิ่งใดที่ผมจะให้เป็นเครดิตสำหรับซีรีส์สร้างชื่อของ Ubisoft อย่าง Assassin’s Creed มหากาพย์ความขัดแย้งแห่งมือสังหารและอัศวินเทมพลาร์ที่ล่าล้างประหัตประหารข้ามสหัศวรรษ คงจะอยู่ที่ความเพียบพร้อมในการผสานนิยายวิทยาศาสตร์ พ่วงด้วยการร้อยเรียงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาต่างๆ ได้อย่างถูกต้องมีสีสัน และน่าติดตาม แน่นอนว่าระยะเวลาเกือบเจ็ดปีที่มันยืนพื้นในตลาดนี้ก็พิสูจน์ถึงคุณภาพอันยอดเยี่ยม และศักยภาพที่ทางผู้จัดจำหน่าย ‘ตาถึง’ และให้โอกาสมันลืมตาอ้าปากสร้างตำนานของตนเองในแวดวงวิดีโอเกม
        อย่างไรก็ตาม กับภาคปัจฉิมบทอย่าง Assassin’s Creed III อันนำไปสู่บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด ภายใต้ช่วงเวลาใหม่ ตัวเอกคนใหม่ ความขัดแย้งใหม่ และระบบการเล่นใหม่ แม้ว่าข้อดีทั้งหลายที่ได้กล่าวไปจะยังคงอยู่ครบถ้วน ซ้ำจะมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมความหลากหลายของระบบการเล่น กราฟิก เสียงและองค์ประกอบศิลป์ปลีกย่อยที่การันตีตัวตนของทีมพัฒนา แต่ปัญหาทางด้านเทคนิคอีกมากมายชนิดมองข้ามไม่ได้ และอาการขาดๆ เกินๆ ที่เกิดขึ้นจากความ ‘มันมือ’ ในการอัดองค์ประกอบเข้าไปจนเกินเหตุของพวกเขา ก็ทำให้วีรกรรมมือสังหารแห่งโลกเสรีภาพครั้งนี้ ดูด้อยกว่าที่ศักยภาพมันควรจะเป็น และพลาดตำแหน่ง ‘ภาคต่อที่ดีที่สุดของซีรีส์’ ไปอย่างน่าเสียดาย


โผบินด้วยปีกแห่งเสรีภาพ 
        AC III เปิดตัวอย่างต่อเนื่องจากปลายทางของตอนจบจากภาค Revelations เมื่อกลุ่มของ Desmond Miles ชายหนุ่มสายเลือดมือสังหารและผองเพื่อน เดินทางมายัง ‘The Vault’ ของผู้มาก่อนกาล (Those who came before) เพื่อหาทางกอบกู้วิกฤติหายนะโลก พร้อมกันนั้น เขาก็ต้องเดินทางกลับเข้าไปยัง Animus 2.0 เพื่อสำรวจ ‘ความทรงจำ’ ของ Connor บรรพบุรุษมือสังหารเลือดผสมโมฮอว์ค-บริติชคนสุดท้าย ใต้ฉากหลังกลิ่นอายแห่งการปฏิวัติและสงครามประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกาที่ขับเคลื่อนด้วยความขัดแย้งของเหล่ามือสังหารและอัศวินเทมพลาร์ ศัตรูคู่อาฆาตตลอดกาล ในมุมมองใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงความเข้าใจในเรื่องราวทั้งหมดไปตลอดกาล


ด้วยอิสรภาพและความขัดแย้ง ‘สีเทา’
        เมื่อพูดถึงซีรีส์ AC แล้ว สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อย่างที่มองข้ามไม่ได้ คงไม่พ้นเรื่องของ Setting หรือพื้นหลังเรื่องราว ผสานการออกแบบฉากที่งดงามและถูกต้องตามประวัติศาสตร์ ซึ่งในภาคที่สาม ด้วยขุมพลังแห่ง AnvilNEXT เอนจิ้นตัวใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงก็ช่วยขับเน้นจุดเด่นดั้งเดิมของซีรีส์ให้ฉายชัดมากยิ่งขึ้น เพราะบรรยากาศของทั้งเมืองท่าบอสตัน, นิวยอร์ค และเขตป่า Frontier นั้น งดงาม เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาของทั้งผู้คนในย่านต่างๆ และเหล่าสิงห์สาราสัตว์ในแมกไม้ พร้อมด้วยเนื้อหาที่เจือกลิ่นอายของสงครามประกาศอิสรภาพ ความขัดแย้งทางด้านการเมือง ศาสนา เชื้อชาติเผ่าพันธุ์ กับการหยิบยกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลานั้น ๆ (ตั้งแต่เหตุการณ์ปาร์ตี้น้ำชาบอสตัน, สมรภูมิเนิน Bunker Hill จนถึงการขี่ม้าข้าม Lexington ของ Paul Revere…) ผสมกับการตีความตัวละครในประวัติศาสตร์ด้วยมุมมองใหม่ที่น่าสนใจ 
        ทุกอย่างก็ร้อยเรียงสอดประสานได้อย่างมีจังหวะจะโคน มีลูกล่อลูกชนและจุดหักมุมที่น่าสนใจ จนไม่น่าจะเป็นการเกินไปถ้าจะกล่าวว่านี่คือเนื้อเรื่องที่ ‘ดีที่สุด’ ในตลอดเกือบเจ็ดปีของซีรีส์ Assassin’s Creed เป็นการตอกย้ำความสุดยอดและยกระดับครั้งสำคัญในองค์ประกอบปลีกย่อยเช่นนี้ เพราะพวกเขาได้ก้าวข้ามจาก ‘เด็กเนิร์ด’ ผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ไปสู่ความเป็น ‘ปราชญ์’ แห่งเรื่องราวในอดีตได้อย่างเต็มภาคภูมิ 


นักล่าทั้งเหนือฟ้าและน่านน้ำ
        แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นเกมแล้ว การเล่นก็ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะแม้ตัวเอกลูกครึ่งอินเดียน-บริติชอย่าง Connor จะมีเสน่ห์สู้มือสังหารวิหคเหิน Altair Ibn La’Ahad หรือผู้เฒ่ายอดนักฆ่า Ezio Auditore da Firenze ไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ใช่เด็กแดงไร้เรี่ยวแรงและพิษสง เพราะขนมาทั้งอุปกรณ์และท่วงท่าสังหารที่มากมายไม่แพ้บรรพบุรุษรุ่นก่อนหน้านั้น ทั้งในส่วนของมีดลับต้นตำรับ, ขวานโทมาฮอว์ค, ธนู, เชือกตะขอ จนถึงอาวุธของชาวยุโรปอย่างปืนคาบศิลา, ปืนเล็กฟลินต์ล็อก, กับดักและระเบิดอีกสารพัดชนิดที่มีให้เลือกใช้ เมื่อบวกรวมกับระบบ Free-Running ที่สมบูรณ์แบบในทุกสภาพพื้นผิว (ไต่ตึก ปีนต้นไม้) และการต่อสู้ที่ถึงเนื้อถึงหนังมากขึ้น ระบบการ Counter ที่ฉับไว และระบบซุ่มซ่อนลอบเร้นแบบใหม่ที่เพิ่มขึ้นมา
        แต่ไฮไลต์ของ AC III ในส่วนการเล่นที่ต้องมอบคำชมอย่างถึงที่สุด คือส่วนของ Naval Combat ที่เคยถูกเข้าใจว่าเป็นเพียงส่วนประกอบปลีกย่อยในตอนเปิดตัว แต่ภารกิจภาคพื้นน้ำที่มีก็กลับให้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาด ไม่ว่าจะด้วยระบบควบคุมที่เรียบง่ายใช้งานได้จริง การสู้รบระหว่างเรือหลากชนิดที่มันส์ระดับเข้าเส้น และสภาพแวดล้อมที่สวยงามจนเกือบได้กลิ่นไอแห่งเกลือทะเล


วิ่งไม่แรง แซงระเบิดไม่พ้น
        อาจจะกล่าวได้ว่า  AC III คือเกมในซีรีส์ Assassin’s Creed ที่มีปัญหาทางเทคนิคมากค่อนข้างมาก ถ้าจะถามว่ามันมีปัญหาชนิดไหนบ้าง ลองเปลี่ยนคำถามใหม่เป็น ‘มันไม่มีปัญหาชนิดไหนบ้าง’ ดูจะเข้าท่ากว่า เพราะคุณจะได้ประสบกับทุกชนิดแบบมาตามนัด ตั้งแต่ปัญหาเล็กๆ อย่างกราฟิกสะดุด ไอคอนไม่โผล่ เสียงขาด อาวุธหล่นหาย สคริปต์ AI ไม่ทำงาน จนถึงปัญหาร้ายแรงอย่างเกมค้าง เดินตกฉาก และไฟล์เซฟพัง มันชวนให้สงสัยเหลือกำลัง ว่าทีม Ubisoft Montreal ที่เก็บงานได้ดีมาตลอด ทำไมจึงปล่อยชิ้นงานที่ดูเหมือนหลุด QC ขั้นร้ายแรงออกสู่ตลาดได้ขนาดนี้ นอกเหนือจากนั้นก็คงเป็นเรื่องการค้นหาผู้เล่นในโหมด Multiplayer ที่อิงกับระบบ Uplay ที่ค่อนข้างลำบากและทำให้เซิร์ฟเวอร์ดูจะร้างในหลายครั้ง

        เรื่อง: สุกฤษฏิ์ ‘บ้าเกม’ บูรณสรรค์
        คะแนนรวม: 8.2
        ข้อดี: ระบบการเล่นที่คล่องตัวใช้งานได้ง่าย, กิจกรรม ภารกิจรอง และความลับปลีกย่อยที่มากมายและเล่นได้สนุก, เนื้อเรื่องที่ดีที่สุดในทุกภาคของซีรีส์ Assassin’s Creed, กราฟิก เสียงประกอบ และองค์ประกอบศิลป์ระดับจัดเต็ม สวยงามและถูกต้องตามประวัติศาสตร์, ระบบ Naval Combat ที่ยอดเยี่ยมจนสามารถแยกออกเป็นเกมใหม่ได้เลย
        ข้อเสีย: บั๊กและปัญหาทางเทคนิคใหญ่น้อยมากมายกระจายตัวไปทั่วชิ้นงาน และมากที่สุดในรอบเจ็ดปี, ปัญหาในการหาผู้ร่วมเล่นโหมด Multiplayer, หลาย ๆ องค์ประกอบของเกมการเล่นที่ดูจะปรุงไม่สุกและขาดการขัดเกลาอย่างเห็นได้ชัด 
        สรุป: Assassin’s Creed III ยังคงเป็นชิ้นงานที่รักษามาตรฐานหลายๆ อย่างไว้ได้ดี ถ้าไม่ติดตรงที่ปัญหาทางเทคนิคอันมากมาย มันก็คงกลายจะเป็นภาคที่ยอดเยี่ยมที่สุดของซีรีส์ไปแล้ว 

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

Online Station