[รีวิว] Call of Duty: Infinite Warfare (Legacy Edition)

แชร์เรื่องนี้:
[รีวิว] Call of Duty: Infinite Warfare (Legacy Edition)

[รีวิว] Call of Duty: Infinite Warfare (Legacy Edition)

แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, PC
ผู้พัฒนา: Infinity Ward
ผู้จัดจำหน่าย: Activision
เรต: 17 ปีขึ้นไป

ภาคล่าสุดของซีรี่ส์เกมชู้ตติ้งที่ได้ชื่อว่าได้รับความนิยมที่สุดในโลก ไม่น่าเชื่อนะครับว่าเป็นเวลา 12 ปีแล้วที่เราได้เห็น Call of Duty (CoD) ต่อเนื่องกันมาไม่เคยว่างเว้น แต่ด้วยความสนุกเร้าใจและอุดมไปด้วยแอ็กชั่นเซ็ตพีซเท่ๆ ของโหมดเนื้อเรื่อง โหมดมัลติเพลเยอร์ที่รวดเร็วฉับไว เข้าใจง่าย และไม่ยุ่งยาก ทำให้ CoD สร้างมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับ เป็นเสาหลักของเกม FPS ที่เกมเมอร์จำนวนมากชื่นชอบมานาน ซึ่งเมื่อมีประกาศวางจำหน่ายภาคใหม่กันเมื่อไหร่ก็จะต้องเรียกเสียงฮือฮาจากแฟนๆ ได้แทบทุกครั้ง

แต่สถานการณ์ของภาคล่าสุดอย่าง Infinite Warfare นั้นต่างออกไป กระแสของเกมนับตั้งแต่วันประกาศไม่สามารถสร้างความตื่นเต้นให้กับเกมเมอร์ได้อย่างเคย ตั้งแต่ Trailer ตัวแรกที่มียอด Dislike ติดอันดับต้นๆ ของ Youtube แถมยอดจอง (Pre-order) ต่ำกว่าที่ต้นสังกัดประเมินไว้ ไปจนถึงยอดขายสัปดาห์แรกนั้นน้อยกว่าภาคก่อนหน้าอย่าง Black Ops III ถึง 50% จริงอยู่ว่าตัวเกมต้องวางจำหน่ายชนกับอีกสองเกมชู้ตติ้งฟอร์มยักษ์อย่าง Battlefield 1 และ Titanfall 2 แต่ดูเหมือนว่าตลาดกำลังบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับ CoD ภาคนี้ อะไรคือเหตุปัจจัยที่ทำให้กระแสเป็นแบบนั้น...

องค์ประกอบของเกมนั้นแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ได้แก่ โหมดเนื้อเรื่อง โหมดมัลติเพลเยอร์ และโหมดซอมบี้ คือ 3 โหมดหลักอันเป็นสูตรสำเร็จของ CoD ตลอดช่วงปีหลังๆ เริ่มต้นจากโหมดแคมเปญของเกม ซึ่งหลักจากที่เราตะลุยสงครามไปทั่วแทบจะทุกยุค ไล่เรียงมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามเวียดนาม สงครามสมัยใหม่ สงครามอนาคต และในภาคล่าสุดอย่าง Infinite Warfare ตัวเกมก็นำเราไปสู่สงครามอวกาศกันแล้ว

เรื่องราวของเกมจะกล่าวถึง นิค เรเยส (Nick Reyes) ร้อยโทแห่งกองกำลัง UNSA (United Nation Space Alliance) ที่ถูกเลื่อนขั้นให้กลายเป็นกัปตันของยานอวกาศบรรทุกเครื่องบิน Retribution ที่ต้องรับมือกับการจู่โจมจากกองกำลัง SDF (Settlement Defense Front) นำโดยนายพลซาเลน โคทช์ (Salen Kotch) ที่ลงทุนจ้างนักแสดงดังอย่าง คิท แฮริงตัน (Kit Harington) หรือที่รู้จักกันในนาม จอน สโนว์ (Jon Snow) แห่ง Game of Thrones มาสวมบทบาทเป็นผู้ร้ายของตัวละครในภาคนี้ น่าเสียดายที่ต้องขอบอกกันตามตรงว่าใช้งานไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย

เนื้อเรื่องของเกมนับว่าทำออกมาสนุกใช้ได้ หากพิจารณาจากมาตรฐานของ CoD ที่ปกติไม่ได้เล่าเรื่องที่มีมิติอะไรมากมาย นอกจากนำเสนอความเท่ของการรับบททหารหาญ และเสพความเป็น War Hero กันแบบเต็มๆ อยู่แล้ว ภาคนี้มีความพยายามที่จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครต่างๆ ให้ดูน่าเชื่อ น่าเอาใจช่วย และเราแคร์กับพวกเขามากขึ้น ซึ่งน่าสนใจว่ามันช่วยทำให้เนื้อเรื่องมีความน่าติดตามกว่าเดิม

การดำเนินเนื้อเรื่องของ CoD ภาคนี้จะไม่ได้เป็นเส้นตรง กล่าวคือ เมื่อเราได้ควบคุมยานรบของเราแล้ว เกมจะมีภารกิจหลักและภารกิจย่อยกระจายตามจุดต่างๆ บนแผนที่ของระบบสุริยะให้เราเลือกเล่นก่อน-หลังได้ในระดับหนึ่ง เช่นทำภารกิจย่อยไป 2-3 ภารกิจ ก็จะมีภาระกิจหลักปรากฏออกมาให้ทำ พอทำภารกิจหลักจบ ภารกิจย่อยก็จะเพิ่มขึ้นมา เป็นต้น ซึ่งภารกิจเหล่านี้มีความหลากหลายพอสมควร บางมิชชั่นเราจะต้องขับเครื่องบินรบไล่ถล่มยานข้าศึก บางมิชชั่นต้องลอบสังหารผู้นำระดับสูงของกองทัพฝ่ายตรงข้าม บางมิชชั่นต้องโดดเข้าปล้นยานศัตรู ภารกิจเหล่านี้ช่วยแก้เลี่ยนและทำให้เกมดูมีอะไรให้ทำเยอะสิ่ง และที่สำคัญภารกิจต่างๆ เหล่านี้ยังให้รางวัลผู้เล่นด้วยการให้รางวัลเป็นการอัพเกรดตัวละคร หรือเครื่องบินของเราอีกด้วย

แต่ลูกเล่นใหม่ที่น่าสนใจที่สุดสำหรับภาคนี้คงหนีไม่พ้นสงครามอวกาศ เพราะไหนๆ จะรบกันนอกโลกทั้งที ถ้าไม่ได้ขับเครื่องบินรบเข้า Dogfight ในอวกาศก็คงจะรู้สึกแย่พิลึก ซึ่งนั่นก็คือเครื่องบินขับไล่ แจ็คคัล (Jackal) ที่ทีมงานก็ทำออกมาเซอร์วิสคนที่ชื่นชอบภาพยนตร์หรือเกมขับเครื่องบินประจัญบานทั้งหลายได้ดี และเป็นส่วนประกอบสำคัญของภาคนี้ที่เราจะได้ขับมันทั้งในภารกิจหลักและภารกิจย่อย ซึ่งขับง่าย เล่นง่าย แถมความสนุกสะใจมาเต็ม แต่ปัญหาของมันคือความตื้นเขินของระบบที่ออกแบบมาผิวเผินมาก การบังคับเหมือนยานยิงตู้เกมอาเขต อีกนิดเดียวจะเรียกว่าเป็น Auto-Pilot อยู่แล้ว โดยมีอาวุธให้ใช้ 3 ชนิด ได้แก่ ปืนกล (ใช้ปราบเครื่องบินขับไล่ข้าศึก), ปืนใหญ่ (ยิงช้า แต่รุนแรงมาก ใช้ทำลายเป้าหมายที่เคลื่อนที่ช้า) และจรวดมิสไซล์นำวิถี อาวุธทั้ง 3 อย่างสามารถอัพเกรดได้ 3 ระดับ ถามว่ามันให้ความสนุกแบบวูบวาบได้มั้ยก็พอได้อยู่ แต่หากใครจะมองหาเกมจำลองเครื่องบินรบในสงครามอวกาศแบบลึกซึ้ง เกมนี้ก็คงจะไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่

โดยเนื้อในแล้วโหมดเนื้อเรื่องของ Infinite Warfare ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็น CoD อยู่มาก ฉากพลทหารเดินเท้าดาหน้าฝ่ากระสุนศัตรู โดยมีพระเอกอย่างเราเป็นหน่วยทะลวงให้ถึงจุดหมาย แอ็กชั่นซีเควนซ์เท่ๆ ก็ยังมีให้เห็นเหมือนเดิม ประกอบด้วยบทสนทนาของตัวละครที่เขียนได้ดีขึ้น รูปแบบการเล่นใหม่ๆ อย่างการขับเครื่องบิน ถ้าเอาตามความเห็นทีมงานแล้วนี่คือโหมดเนื้อเรื่องที่จัดว่าดีที่สุดในรอบ 4-5 ปีเลยทีเดียว

แต่สำหรับบางคนแล้วนั้น CoD คือโหมดออนไลน์ คือมัลติเพลเยอร์ คือมาตรฐานแห่งคุณภาพของเกมชู้ตติ้งชั้นนำที่จัดว่ายอดเยี่ยมที่สุดมาตั้งแต่ภาค Modern Warfare ในปีนี้จึงเป็นเรื่องน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขอบอกว่า "โหมดมัลติเพลเยอร์ของ CoD ได้เสื่อมมนต์ สิ้นความขลังไปเสียแล้ว" และทีมงานขอถือโอกาสอธิบายว่าเป็นเพราะอะไร

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและ “เทรนด์” ต่างๆ ในโหมดมัลติเพลเยอร์ของเกมชู้ตติ้งชื่อดังทั้งหลาย ตั้งแต่มีระบบสกิลพิเศษต่างๆ (Perk) มีการเล่นอุปกรณ์ เล่นโดรน แต่งปืน แต่งตัวละคร มีการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วขึ้น รวดเร็วขึ้น กระโดดสองชั้นได้ ไต่กำแพงได้ สไลด์ได้ บูสต์หน้า-หลัง-ข้าง-กลางอากาศได้ เกมอื่นๆ ทำได้ และ CoD ก็ทำด้วย ฟังก์ชั่นที่ว่ามาทุกอย่างพวกเขาทำมาหมดแล้ว ซึ่งยิ่งผ่านนานวันไปมันควรจะยิ่งถูกเจียระไนให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น แต่กับภาคนี้กลับไม่มีความสนุกแบบภาคก่อนๆ เอาเสียเลย

ตั้งแต่ระบบตัวละครที่เปลี่ยนชื่อเรียกจาก Specialist ของภาคก่อนที่มีดีไซน์ยังดูเป็นมนุษย์ มีเสน่ห์ มีอารมณ์ มีความรู้สึก มาเป็น Combat Rig ชุดรบสมรรถภาพสูงที่ทำหน้าที่เป็นคลาสต่างๆ แต่ละแบบดูเหมือนเป็นหุ่นยนต์ที่คล้ายกันไปหมด ซึ่งเมื่อเราเลือกว่าต้องการใช้ชุดไหน เราจะสามารถเลือกจับคู่ท่าไม้ตาย (Payload) และความสามารถติดตัว (Trait) ได้อีกอย่างละ 3 ชนิดต่อคลาส โดยท่าไม้ตายซึ่งเปรียบได้กับความสามารถแบบ Ultimate และก็มีหลายตัวที่รีไซเคิลความสามารถของตัวละครภาคก่อนมาใช้ เช่น ย้อนเวลาไปตำแหน่งก่อนหน้า ยิงปืนแม็กนั่มพลังทำลายสูง วาร์ปเข้าตีหรือหนี ก็ยิ่งทำให้ความตื่นตาตื่นใจมันน้อยลงไปอย่างช่วยไม่ได้

ระบบ TTK หรือ Time To Kill ที่เป็นช่วงระยะเวลาตั้งแต่เริ่มเหนี่ยวไกจนสังหารศัตรูได้นั้นค่อนข้างสั้นมาก เรียกได้ว่าสั้นกว่าทุกภาคที่เคยมีมา สั้นจนเป็นปัญหาในการเล่น ด้วยธรรมชาติของการเล่นออนไลน์ที่จะต้องมีการดีเลย์หรือหน่วงบ้าง ตามแต่คุณภาพของอินเตอร์เน็ต ลมฟ้าอากาศ หรือความเสถียรของเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการ ซึ่งชั่วระยะเวลาเสี้ยววินาทีนั้น ส่งผลอย่างมหาศาลที่จะตัดสินการปะทะกันในแต่ละครั้ง จนทีมงานมีความรู้สึกว่าผู้เล่นสาย Camper จะได้เปรียบมากๆ หนำซ้ำการควบคุมการไต่กำแพงของตัวละครก็ไม่เสถียร บางจุดไต่ได้ บางจุดไต่ไม่ได้ ต้องใช้เวลาปรับตัวและศึกษานานกว่าปกติ

ดีไซน์ของแมพและระบบการเกิด (Spawn) ทำมาได้โกลาหลว่าทุกครั้ง ไม่มีใครรู้ได้ว่าเราจะเกิดตรงไหน เจอกับใคร หรือศัตรูอาจจะโผล่มาจากไหนได้ทุกเมื่อ และซ้ำร้ายที่สุดกับระบบการสร้างปืนเองใน Prototype Lab ซึ่งควรจะเป็นจุดเด่นของภาคนี้ ปืนแต่ละกระบอกจะแบ่งเป็นระดับขั้นตามความหายาก Common, Rare, Legendary และ Epic ซึ่งแต่ละระดับขั้นปืนนั้นจะมีสเตตัสบางอย่างติดกระบอกมาทำให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น นั่นหมายความว่าผู้เล่นที่เล่นอยู่ก่อนแล้ว หรือเล่นมานานแล้ว จะมีโอกาสได้ปืนดีๆ มากกว่าผู้เล่นหน้าใหม่ เมื่อประกอบกับระยะเวลาการฆ่าที่สั้น ลักษณะของแมพและการเกิดที่ดูวุ่นวาย ทำให้มัลติเพลเยอร์ของภาคนี้ไม่ได้เล่นง่าย และกลายเป็นนรกของการเกิด-ตาย-วนเวียนไม่สิ้นสุด

โหมดซอมบี้ของเกมก็เช่นกัน ดูเหมือนเกม CoD จะยังคงติดหล่มความสำเร็จของตัวเองจนหมดมุกพัฒนาหาทางไปต่อไม่ได้ ถ้าพิจารณาตามเนื้อผ้า มันคือโหมด Co-op ชั้นดีที่ช่วยทำให้ CoD เป็นประสบการณ์ความบันเทิงที่ครบวงจรเต็มรูปแบบ มีเนื้อเรื่องสนุกๆ มีมัลติเพลเยอร์เร้าใจ และมีโหมดช่วยกันเล่นไว้สนุกกับเพื่อนๆ แต่มันกลายเป็นโหมดซอมบี้เปลี่ยนสกินที่ไส้ในยังเหมือนเดิม มีแต่ฆ่าซอมบี้ เก็บเงิน ซื้ออาวุธที่ดีขึ้น ใช้เงินเปิดประตูหาทางไปต่อ แม้ว่ามันจะสนุกอยู่ก็ตาม แต่ความจำเจทำให้มันเดาทางได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ จุดที่พอจะชมได้ว่าดีหน่อยคือ “ธีม” ของโหมดซอมบี้ที่น่าจะเปลี่ยนไปตาม DLC ที่จะออกตามมาในอนาคต (ตัวที่แถมมากับเกมคือ Zombies In Spaceland) ซึ่งในฉากหลังๆ เราอาจจะได้เห็นซอมบี้ในอวกาศ หรือซอมบี้ย้อนยุคก็เป็นไปได้ แต่นั่นหมายถึงการที่ผู้เล่นจะต้องมี DLC หรือ Season Pass ด้วยนะครับ

เวอร์ชั่นของเกมที่ทีมงานใช้ในการรีวิวคือ Legacy Edition ซึ่งความพิเศษของมันคือการแถม Call of Duty: Modern Warfare Remastered ซึ่งเป็นภาคที่ได้ชื่อว่าคลาสสิก ยอดเยี่ยมและติดอยู่ในความทรงจำของหลายๆ คน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเรารัก CoD มาจนถึงทุกวันนี้ การรีมาสเตอร์ครั้งนี้ขอบอกว่าไม่ได้ทำส่งๆ คุณภาพของงานดีมาก ไม่ใช่แค่เพียงทำกราฟิกของเกมจนสวยงามทันสมัยเท่านั้น แต่เกมยังมีโหมดมัลติเพลเยอร์อันลือลั่นพร้อมแผนที่ให้เล่นถึง 10 แมพพ่วงมาด้วย ถือว่าเป็นของน่าสะสมสำหรับแฟนของซีรี่ส์ หรือผู้เล่นที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนว่ายุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดของซีรีส์นี้มีหน้าตาเป็นอย่างไร โหมดเนื้อเรื่องของเกมยังระลึกความหลังให้กับเราได้ดี แต่ต้องขอเตือนไว้สำหรับคนที่เล่นเกมชู้ตติ้งสมัยใหม่มามากๆ ว่าการเคลื่อนไหวในโหมดมัลติเพลเยอร์นั้นไม่คล่องแคล่วพริ้วไหวแบบเกมยุคปัจจุบัน ซึ่งอาจจะไม่ถูกใจบางคนก็ได้ และสิ่งที่น่าเสียดายอีกอย่างคือ น่าจะมีทำแยกขายออกมาโดยไม่ต้องบังคับว่าให้ซื้อภาค Infinite Warfare จะดีกว่า

ข้อดี
- กราฟิกและดนตรีประกอบยังอยู่ในขั้นเทพ จัดเป็นเกมเปิดโชว์ชั้นดีเช่นเคย
- โหมดเนื้อเรื่องมีดีกว่าภาคก่อนๆ หลายภาค และนั่นก็คือส่วนที่ดีที่สุดของเกม
- ตัวเกมมีองค์ประกอบของความเป็น Full Package คือคุ้มค่าเพราะมีทั้งโหมดเนื้อเรื่อง มัลติเพลเยอร์ และ Co-op
- ถ้าใครซื้อเวอร์ชั่น Legacy Edition จะมีภาค Modern Warfare Remastered แถมให้ด้วย

ข้อเสีย
- คุณภาพของโหมดมัลติเพลเยอร์น่าจะต้องปรับปรุงในหลายๆ อย่าง ตั้งแต่ระบบพื้นฐานของเกมจนถึงเซิร์ฟเวอร์
- โหมดซอมบี้ดูเหมือนเดิมจนเกินไป และถึงเวลาที่ควรจะต้องยกเครื่องใหม่ได้แล้ว

สรุป
หากมองย้อนกลับไปในบรรดาเกมชู้ตติ้งชื่อดังทั้งหลายที่ออกมาในปี 2016 นี้ทั้งหมด เกม Call of Duty: Infinite Warfare น่าจะเป็นเกมที่มีการพัฒนาที่น้อยที่สุด ตรงนี้อย่าเข้าใจผิดนะครับ...ตัวเกมยังคงมาตรฐานของซีรี่ส์เอาไว้เพียบพร้อม เพียงแต่ทีมงานคิดว่าซีรีส์นี้กำลังเผชิญหน้ากับปัญหา Franchise Fatigue คือออกมาถี่เกินไปและเหมือนเดิมมากเกินไป สำหรับแฟนพันธุ์แท้อาจจะยังมีความสุขกับมันได้ ทว่าปีนี้ยังมี FPS อื่นๆ ที่น่าสนใจกว่าเป็นตัวเลือกอีกเพียบ

คะแนน 7.5

แชร์เรื่องนี้:
Vesper
About the Author

Vesper

อยากเป็นคนที่ถูกหวย จะได้รวยกว่าถูกรัก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ