จาก Red Dead Redemption 2 มารู้จักภาพยนตร์ 7สิงห์แดนเสือ กัน

แชร์เรื่องนี้:
จาก Red Dead Redemption 2 มารู้จักภาพยนตร์ 7สิงห์แดนเสือ กัน


อย่างที่เราเห็นกันไปแล้วกับภาพแรกที่ออกมายั่วน้ำลายของ Red Dead Redemption 2 จาก Rockstar ที่ทำให้แฟนๆที่รอคอยภาคต่อของเกมนี้กริ๊ดกันไม่เป็นภาษา ซึ่งภาพที่ว่าก็คือ คาวบอย 7 คนบนพื้นหลังที่เป็นสีแดง ซึ่งใครเป็๋นคอหนังหรือแฟนหนังคาวบอย ย่อมต้องตบเข่าฉาดทันทีแล้วบอกว่า นี้มันต้องมาจาก The Magnificent 7 แน่นอน ซึ่งภาพยนตร์ก็พึ่งฉายไปไม่นานมานี้ด้วย ซึ่งจริงๆแล้วหนังเวอร์ชั่นที่ฉายเป็น Remake ครับ ต้นฉบับจริงๆของหนังเป็นเวอร์ชั่นปี 2503 วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ The Magnificent 7 เวอร์ชั่นต้นฉบับ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับ Red Dead Redemption 2 ที่คาดว่าน่าจะเอาต้นแบบจากภาพยนตร์เรื่องนี้มาพอสมควร


The Magnificent 7 หรือชื่อไทย 7 สิงห์แดนเสือ หนังเกี่ยวข้องกับหมู่บ้านแห่งนึงที่ต้องเจอโจร Maxican ปล้นสะดมของผู้บ้าน เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ ทำให้ต้องออกไปตามหาผู้พิทักษ์หมู่บ้าน และก็ได้พบกับ 7 คาวบอยที่มีความตั้งใจจะช่วยหมู่บ้านแห่งนี้จริงๆ ซึ่งจริงๆแล้ว The Magnificent 7 คือภาพยนตร์ Remake ครับ มัน Remake มาจาก Seven Samurai ภาพยนตร์ญี่ปุ่นยอดเยี่ยมตลอดกาลเรื่องนึง ผลงานจากผู้กำกับระดับปรมจารย์ของทางญี่ปุ่นอย่าง Akira Kurosawa ซึ่งได้รับความนิยมะพอสมควรในต่างประเทศสมัยนั้น (ก่อนที่มันจะถูกยกย่องเป็นผลงานระดับขึ้นหิ้งจากทั่วโลกในเวลาต่อมา) ซึ่งหนังซามูไรยอดเยี่ยมเรื่องนี้ไปโดนใจ ยูล บรินเนอร์ นักแสดงหนัง , แอนโธนี่ ควินน์ ผู้กำกับ และ ลู มอรไฮม์ นักเขียนบทที่อยากจะเห็นหนังซามูไรเรื่องนี้ แปลงร่างเป็นหนังคาวบอย จึงได้ติดต่อบริษัท TOHO ขอซื้อสิทธิ์ Remake ของ Seven Samurai มาเพื่อเปลี่ยนมันเป็นหนังคาวบอยอย่างที่เค้าตั้งใจไว้แต่แรก


แต่ว่าการสร้างหนังเรื่องนี้เส้นทางของมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะขั้นตอนการสร้างประสบปัญหามากมาย อย่างแรกคือเป็นการแย่งสิทธิ์การกำกับหนัง จนเกิดการฟ้องร้องระหว่าง ยูล กับ ควินน์ ซึ่งสุดท้ายผู้ชนะก็คือยูล ต่อมาก็เป็นเรื่องของดารานำเป็นคาวบอยทั้ง 7 คนที่ต่างก็มีปัญหา คนที่ตั้งเป้าเอาไว้มาไม่ได้ การคัดเลือกนักแสดงที่มีความเห็นไม่ตรงกัน ตามมาด้วยปัญหาการประท้วงจากสมาคมผู้เขียนบทแห่งอเมริกา และ สมาคมนักแสดงภาพยนตร์ ที่ออกมาประท้วงเนื่องจากการนำหนังกลับมาฉายในทีวีพวกตนไม่ได้รับเงินส่วนนี้นั่นเอง (ในยุคนั้น ทีวี ถือเป็นของที่กำลังมาแรงมาก) จนคิวถ่ายทำต้องมีปัญหากว่าจะลงตัวก็เรียกว่าเส้นยาแดงผ่าแปด เท่านั้นยังไม่พอกองเซนเซอร์ของรัฐบาลเข้ามาดูการถ่ายทำและไม่พอใจกับหนังที่ทำให้ชาวบ้านดูเป็นคนไร้ทางสู้ จึงต้องมีการกลับไปแก้บทใหม่อีกระลอก และกองเซนเซอร์ก็เข้ามายุ่งย่ามกับหนังจนต้องมีการเปลี่ยนบทหลายครั้ง ทำให้ทีมงานบ่นว่ากองเซนเซอร์คือ เผด็จการแห่งโลกมายา


แต่ท้ายที่สุดหนังก็ถ่ายทำออกมาได้สำเร็จแม้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย หนังเข้าฉายในวันที่ 23 ตุลาคม 2503 แต่ว่าหนังกลับไม่ทำเงินอย่างที่หลายๆคนคาดในอเมริกา แถมยังได้รับเสียงวิจารณ์ในแง่ลบยุคนั้น บางเมืองเอาไปฉายเป็นหนังควบเกรด B ทั่วไป จนทีมงานท้อใจไปพอสมควร แต่ว่าเมื่อหนังไปฉายที่ยุโรป มันกลับทำเงินมหาศาล แต่สื่อต่างประเทศก็ยกย่องเชิดชูมันอย่างมาก ไม่เว้นแม้กระทั้งที่ญี่ปุ่น อันเป็นประเทศที่เป็นต้นกำเนิดของหนังจริงๆก็ทำรายได้อย่างดีเยี่ยม จนหนังต้องถูกเอานำกลับมาฉายซ้ำที่อเมริกา และมันก็ค่อยๆทำเงินจากการฉายซ้ำอีกหลายรอบมากมายจนทำกำไร เสียงวิจารณ์แง่ลบก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงวิจารณ์แง่บวก สุดท้ายมันจึงกลายเป็นหนังคาวบอยในตำนานเรื่องนึงของโลก ที่ผู้กำกับใหญ่ๆในยุคนี้อย่าง Steven Spielberg ยังยกย่องให้เป็นหนังโปรดเรื่องนึงของเค้า จริงๆแล้วหนังยังมีภาคต่อออกมาอีกถึง 3 ภาค แต่มันไม่ได้น่าจดจำจากแฟนๆเอาเสียเลย และหนังก็มี TV-Series ในปี 1998 ที่มีอายุได้ 2 Season ก่อนที่ล่าสุดจะมาเป็นเวอร์ชั่น Remake ที่เข้าโรงภาพยนตร์อยู่ตอนนี้นั่นเอง

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ