หวนรำลึกภาพยนตร์ Resident Evil เวอร์ชั่นฮอลลีวู้ด แหล่งทำเงินชั้นเยี่ยมของ Capcom

แชร์เรื่องนี้:
หวนรำลึกภาพยนตร์ Resident Evil เวอร์ชั่นฮอลลีวู้ด แหล่งทำเงินชั้นเยี่ยมของ Capcom

หวนรำลึกภาพยนตร์ Resident Evil เวอร์ชั่นฮอลลีวู้ด แหล่งทำเงินชั้นเยี่ยมของ Capcom

อีกไม่นานในช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้าก็จะมีหนัง Resident Evil ออกมาให้ชมถึง 2 เรื่องด้วยกันนะครับ ได้แก่ Resident Evil: The Final Chapter ที่เป็นเวอร์ชั่นคนแสดง ซึ่งมีคุณมิลล่า โจโววิช (Milla Jovovich) เป็นขาประจำรับบทอลิซเช่นเคย โดยมีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 23 ธันวาคม 2559 นี้ที่ญี่ปุ่นก่อน แล้วจึงเข้าฉายที่อเมริกาในวันที่ 27 มกราคม 2560 สอดรับกับช่วงที่เกม Resident Evil 7 วางจำหน่ายพอดี ส่วนอีกเรื่องคือ Resident Evil: Vendetta ที่เป็นหนังแอนิเมชั่น นำแสดงโดยหนุ่มลีออนและคริส สองตัวซวยประจำซีรีส์ แต่ที่เราจะโฟกัสกันในบทความนี้จะเป็นในฟากของ Resident Evil เวอร์ชั่นคนแสดงครับ เนื่องจากว่าภาค The Final Chapter ที่กำลังจะฉายเร็วๆ นี้จะเป็นภาคสุดท้ายแล้ว และเมื่อพูดถึงเวอร์ชั่นคนแสดงนี้ทีไร แฟนๆ เกม Resident Evil ก็มักจะร้องยี้กันเสมอ เพราะเนื้อเรื่องในหนังเวอร์ชั่นนี้มันไม่มีความเกี่ยวโยงอะไรกับเกมเลยสักนิดเดียว แต่ถึงแม้ว่าหนังจะโดนแฟนๆ ถล่มหนักขนาดนี้ แถมยังมีสิ่งคาใจอีกว่าทำไมยังมีการทำภาคต่อออกมาได้ถึง 6 ภาค ทีมงาน play และ Online Station เลยขอนำเสนอบทความที่จะพาเพื่อนๆ ไปย้อนรำลึกกับภาพยนตร์ Resident Evil เวอร์ชั่นคนแสดงกันครับว่ามีความเป็นมายังไงบ้าง

Resident Evil
เข้าฉายครั้งแรก: 15 มีนาคม 2545
ทุนสร้าง: 35 ล้านเหรียญ
รายรับทั่วโลก: 102.4 ล้านเหรียญ

ในปี 2542 หรือก่อนที่ภาพยนตร์ Resident Evil ภาคแรกจะเข้าฉายประมาณ 3 ปี ทาง Sony และ Capcom ได้ทำการเซ็นสัญญาจ้างคุณจอร์จ โรเมโร่ (George A. Romero) ผู้ได้ฉายา "เจ้าพ่อแห่งหนังสยองขวัญ" ให้มารับหน้าที่ผู้กำกับและเขียนบทให้กับภาพยนตร์เวอร์ชั่นคนแสดง โดยก่อนหน้านั้นคุณโรเมโร่ได้เคยกำกับงานโฆษณาโปรโมทเกม Resident Evil 2 มาก่อนแล้วในญี่ปุ่น แต่แล้วบทที่คุณโรเมโร่เขียนก็ไม่ผ่านการอนุมัติจากการพิจารณาของทีม Capcom ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้คุณโรเมโร่ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้กำกับทันที ทั้งนี้ คุณโรเมโร่ได้ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่าตนเองไม่คาดคิดมาก่อนว่าทางทีม Capcom นั้นต้องการให้หนังเวอร์ชั่นคนแสดงเป็นแนวบู๊ล้างผลาญ ซึ่งสวนทางกับแนวภาพยนตร์ที่เขาถนัด ส่วนทาง Capcom ก็ออกมาชี้แจงว่าบทที่คุณโรเมโร่เขียนมานั้นมีคุณภาพเต็มเปี่ยมในตัวของมัน แต่มันยังไม่สามารถเติมเต็มความต้องการของทาง Capcom ได้ และการจะดึงแฟนๆ หน้าใหม่ให้มารู้จักซีรีส์ Resident Evil ได้ด้วยภาพยนตร์เวอร์ชั่นคนแสดง มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น สุดท้ายทาง Sony เลยไปได้คุณพอล แอนเดอร์สัน (Paul W. S. Anderson) มาเป็นผู้กำกับและผู้เขียนบทแทน โดยคุณแอนเดอร์สันได้แถลงข่าวว่าหนังเวอร์ชั่นคนแสดงจะไม่มีจุดเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงใดๆ กับเนื้อเรื่องในวิดีโอเกมทั้งสิ้น พร้อมกับได้ทาบทามคุณมิลล่า โจโววิช ที่เคยมีผลงานจากภาพยนตร์เรื่อง The Fifth Element และคุณมิเชล โรดริเกวซ (Michelle Rodriguez) ที่เพื่อนๆ น่าจะรู้จักกันดีในบท เล็ตตี้ จากภาพยนตร์ Fast and Furious ในหลายๆ ภาค มารับบทนำร่วมกันในหนัง Resident Evil ภาคแรกครับ

Resident Evil: Apocalypse
เข้าฉายครั้งแรก: 10 กันยายน 2547
ทุนสร้าง: 45 ล้านเหรียญ
รายรับทั่วโลก: 129.3 ล้านเหรียญ

โปรเจ็กต์การทำหนังภาค Apocalypse นี้เริ่มขึ้นระหว่างที่โปรโมทหนังภาคแรกครับ โดยคุณแอนเดอร์สันเผยว่าเขาได้เริ่มเขียนบทของหนังภาค 2 หลังจากปิดกล้องภาคแรกแล้ว และตนเองมีความคิดที่จะให้ จิล วาเลนไทน์ (Jill Valentine) ตัวละครหลักจากเวอร์ชั่นเกมโผล่มาเจออลิซในภาคนี้ด้วย แต่ถึงกระนั้น เขายังต้องขอรอดูรายรับ Box Office จากภาคแรกก่อนว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ ซึ่งก็ปรากฏว่าภาคแรกสามารถทำยอดได้ถึง 102.4 ล้านเหรียญทั่วโลก หรือมากกว่าทุนสร้างถึงราวๆ 2 เท่า ด้วยเหตุนี้กระบวนการทำหนังภาค 2 จึงเริ่มขึ้นทันที พร้อมกับได้คุณโจโววิชมารับบทเป็นอลิซเช่นเคย ทว่าบท จิล วาเลนไทน์ นั้นตอนแรกทางคุณแอนเดอร์สันวางตัวไว้ว่าจะให้คุณนาตาชา เฮนสตริดจ์ (Natasha Henstridge) ที่เคยมีผลงานจากภาพยนตร์ Species สองภาคแรกมารับบทนี้ ทว่าคุณเฮนสตริดจ์ได้ขอถอนตัวไปเสียก่อน ทีมงานเลยไปได้ตัวคุณเซียนนา กิลยอรี (Sienna Guillory) มารับบทจิลแทน โดยระหว่างถ่ายทำ ทางคุณแอนเดอร์สันได้เลือกเมืองออนทาริโอและโตรอนโตของประเทศแคนาดาเป็นโลเคชั่นหลักสำหรับถ่ายทำภาคนี้ แต่เมืองโตรอนโตได้เกิดเหตุเชื้อไวรัสซาร์สแพร่ระบาดในปี 2546 ขึ้นมา การถ่ายทำที่เมืองโตรอนโตเลยต้องมีอันยกเลิกไป ซึ่งแรงบันดาลใจของพล็อตเรื่อง Apocalypse จะมาจากเกม Resident Evil 3: Nemesis และ Resident Evil: Code Veronica เป็นหลัก

Resident Evil: Extinction
เข้าฉายครั้งแรก: 20 กันยายน 2550
ทุนสร้าง: 45 ล้านเหรียญ
รายรับทั่วโลก: 147.7 ล้านเหรียญ

หลังจากหนังภาค Apocalypse ถูกฉายออกไป กระแสต่อต้านหนังเรื่องนี้จากแฟนเกมทั่วทุกสารทิศเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ยอดรายได้จากหนังทั้ง 2 ภาคแรกกลับสวนทางเสียงก่นด่าเหล่านั้นชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้าครับ โดยภาค 2 สามารถเปิดตัวใน Box Office ด้วยอันดับ 1 ประจำสัปดาห์ที่เข้าฉายด้วยยอด 23.7 ล้านเหรียญ และไปจบรายได้ทั่วโลกที่ 129.3 ล้านเหรียญ ทั้งๆ ที่ทุนสร้างใช้ไปเพียงแค่ 45 ล้านเหรียญเท่านั้น ทำให้ทาง Sony และ Capcom อนุมัติให้คุณแอนเดอร์สันทำหนังภาค 3 ต่อทันที ซึ่งก็แน่นอนครับว่าคุณโจโววิชได้จองบทอลิซตั้งแต่ไก่โห่ตามเคย และยังได้คุณโอเดด เฟร์ (Oded Fehr) ที่มีผลงานจากหนัง The Mummy และ The Mummy Returns กลับมารับบทคาร์ลอส โอลิเวียร่า (Carlos Oliveira) ที่เป็นตัวละครในเกม Resident Evil 3: Nemesis (เจ้าตัวแสดงบทนี้ในภาค 2 ด้วย) และในส่วนของบทแคลร์ เรดฟิลด์ (Claire Redfield) ตัวละครนำจากเกม Resident Evil 2 ที่ถูกจับยัดมาอยู่ในหนังภาคนี้ก็ได้คุณอาลี ลาร์เตอร์ (Ali Larter) มาคว้าบทนี้ไป

Resident Evil: Afterlife
เข้าฉายครั้งแรก: 2 กันยายน 2553
ทุนสร้าง: 60 ล้านเหรียญ
รายรับทั่วโลก: 296.2 ล้านเหรียญ

จากความสำเร็จของหนัง 3 ภาคที่ฉายออกไป กลายเป็นว่าหนัง Resident Evil เวอร์ชั่นคนแสดงกลายเป็นที่ฮิตติดลมบนของแฟนๆ หน้าใหม่ทันที และทำให้ผู้คนรู้จักเกม Resident Evil มากขึ้นด้วย แม้ว่าเนื้อเรื่องของหนังจะโดนเอาไปปู้ยี่ปู้ยำจนไม่มีแฟนเกมคนไหนอยากนับญาติด้วยก็ตาม และแล้วภาค 4 ก็เริ่มโครงการสร้างต่อทันที แต่สิ่งที่เซอร์ไพรส์ที่สุดของภาคนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ได้คุณเวนท์เวิร์ธ มิลเลอร์ (Wentworth Miller) พระเอกจากซีรีส์ Prison Break อันโด่งดังมารับบทเป็น คริส เรดฟิลด์ (Chris Redfield) ที่เป็นตัวละครหลักจากเวอร์ชั่นเกมนั่นเอง ซึ่งนี่ก็เป็นอีก 1 สาเหตุที่ทำให้รายรับ Box Office ของภาค 4 พุ่งกระฉูดเป็นภาคที่ทำรายได้สูงสุดนับตั้งแต่ทำภาพยนตร์ Resident Evil เวอร์ชั่นคนแสดงมาเลย โดยภาค Afterlife นี้ก็เป็นภาคแรกที่มีการถ่ายทำแบบ 3 มิติเพื่อเพิ่มโรงฉายที่เป็นแบบ 3D ด้วย อีกทั้งสไตล์การถ่ายภาพในหนังภาคนี้ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์ Avatar ของคุณเจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ทำให้ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ ของภาค Afterlife ออกมาสวยงามกว่าภาคก่อนๆ เยอะ

Resident Evil: Retribution
เข้าฉายครั้งแรก: 3 กันยายน 2555
ทุนสร้าง: 65 ล้านเหรียญ
รายรับทั่วโลก: 240.2 ล้านเหรียญ

สำหรับภาค Retribution จะได้แรงบันดาลใจจาก Resident Evil 4 เป็นหลักครับ ขนาดที่ว่าเอด้า หว่อง (Ada Wong) ที่ปรากฏในหนังภาคนี้ยังสวมชุดกี่เพ้าเหมือนในเวอร์ชั่นเกมเลย แถมพล็อตเรื่องของภาค Retribution ก็ยังใช้เชื้อ Las Plagas ที่อยู่ในเกมภาค 4 มาโผล่เป็นแก่นเรื่องในหนังเช่นกัน ในขณะที่ฉากแอ็กชั่นส่วนใหญ่ก็ดึงจากบทบู๊ในเกม Resident Evil 5 มาเพียบ และภาคนี้ก็เป็นอีกภาคที่ "ยำใหญ่" ตัวละครจากในเกมมาอยู่ในหนังเยอะมาก อาทิ จิล วาเลนไทน์, ลีออน สก็อตต์ เคนเนดี้, เอด้า หว่อง, อัลเบิร์ต เวสเกอร์, แบร์รี่ เบอร์ตัน และ คาร์ลอส โอลิเวียร่า ยิ่งไปกว่านั้น ภาค Retribution ยังเป็นอีกภาคที่มีการ Tie-in แฝงการโปรโมทสินค้าของ Sony เอาไว้หลายชนิด (แหงล่ะ...ก็คนออกทุนนี่หว่า) เช่น Xperia (สมาร์ทโฟน), PlayStation Vita และ Tablet S ครับ โดยภาคนี้มีการใช้งบไปทางด้านการโปรโมทและโฆษณาไปบานเบอะ เพราะมีการทำคลิปไวรัลโฆษณาเพื่อเผยแพร่ในหลายๆ ประเทศทั้งทวีปอเมริกาและยุโรป ซึ่งผลตอบรับที่ได้กลับมาก็ถือว่าดีเกินคาด จากการที่มียอดการค้นหาคำว่า Resident Evil ในเว็บไซต์ Google เพิ่มขึ้นกว่า 200 ล้านครั้งในช่วงเวลาที่หนังภาค Retribution ออกฉาย

Resident Evil: The Final Chapter
กำหนดเข้าฉาย: 23 ธันวาคม 2559 (ญี่ปุ่น) / 27 มกราคม 2560 (อเมริกา)

ฟันกำไรเละเทะไปก็ 5 ภาคแล้ว ถ้าผู้เขียนเป็นทีมงานที่ทำภาพยนตร์ก็คงจะหาทางลงสวยๆ ให้ตัวเองก่อนที่จะเผลอหลุดทำแป้กที่ภาคไหนสักภาคละครับ ผลก็เลยลงเอยที่ภาค 6 เป็นภาคอวสานเสียทีด้วยชื่อสวยๆ แต่ชัดเจนในความหมายว่า The Final Chapter ที่จะเป็นบทสรุปของเรื่องราวเกี่ยวกับอลิซและทุกสิ่งอย่าง โดยคุณแอนเดอร์สัน อดีตผู้กำกับภาคแรกและภาค 4-5 ที่เคยถอยไปเป็นโปรดิวเซอร์ในภาค 2-3 ก็มารับหน้าที่กำกับภาคอวสานให้ (แถมให้อีกนิดนึงนะครับว่าคุณแอนเดอร์สันกับคุณโจโววิชได้แต่งงานกันในช่วงปี 2552 หรือระหว่างที่ถ่ายทำ Resident Evil: Afterlife ด้วยนะเออ) ซึ่งภาคสุดท้ายนี้จะจบอย่างไร ก็ต้องรอเพื่อนๆ ทุกคนร่วมเป็นสักขีพยานกับมหากาพย์หนังเรื่องนี้กันแล้วละครับ

หากสังเกตจากยอดรายรับและกำไรที่หนังทั้ง 5 ภาคกวาดมาได้ ก็ไม่ต้องแปลกใจละครับว่าทำไม Capcom ยังขยันทำภาคต่อขัดใจแฟนเกมกันมาร่วม 14 ปี และเพื่อนๆ เชื่อมั้ยครับว่าหนัง Resident Evil เวอร์ชั่นคนแสดงเป็นอีกกลุ่มผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ยังคงทำกำไรเข้าบริษัท Capcom ได้มหาศาล หนำซ้ำรายได้จากหนัง Resident Evil ที่เป็นแอนิเมชั่นที่ทำออกมา 2 ภาค ได้แก่ Regeneration และ Damnation ต่างขาดทุนยับจนทาง Capcom ต้องประเมินจากยอดรายรับของภาค Vendetta ที่จะออกฉายในต้นปีหน้าแล้วครับว่าสมควรจะให้มีภาคต่ออีกหรือไม่

แชร์เรื่องนี้:
Vesper
About the Author

Vesper

เหนื่อยจากเกมก็ลองหยุดพัก แต่ถ้าเหนื่อยจากรักก็จงหยุดเถอะ

เรื่องที่คุณอาจสนใจ