บทความโดย Dark_Librarian (ท่านลอร์ด)
***บทความนี้อาจมีสปอยล์เล็กน้อย
Kingsglaive: Final Fantasy XV
หัวกระทู้รีวิวอาจอ่านแล้วรู้สึกมีความดิสนีย์ไปสักหน่อย แต่อันที่จริงเนื้อเรื่องรวมๆ ก็ประมาณนั้นแหละครับสำหรับภาพยนตร์ที่ถูกรวมอยู่ใน Final Fantasy XV Universe อย่าง Kingsglaive ซึ่งแฟนๆ FF ต่างก็ตั้งความหวังกันไว้สูงในระดับหนึ่ง เนื่องจากมันคือภาพยนตร์ที่จะเปิดจักรวาลให้กับตัวเกมหลัก Final Fantasy XV หากมันดีงามเหล่าแม่ยกพ่อยกหนุ่ม Noctis ก็น่าจะวางใจไปเปราะหนึ่ง ทว่าก่อนภาพยนตร์ฉายเพียงไม่กี่วัน คะแนนรีวิวจากสื่อสายภาพยนตร์จากต่างประเทศหลายๆ เจ้าก็ทำเอาเราๆ ใจแป้วกันเป็นแถบ เพราะแต้มมาแบบตํ่าเตี้ยเรี่ยดินทุเรศทุรังเหลือเกิน กระนั้นแฟนๆ FF ก็ยังทำใจดีสู้เสือ แข็งขืนต่อเสียงก่นด่าอยู่ในใจนัยว่าหากไม่พิสูจน์ด้วยตาตัวเองก็ยังไม่อาจยอมรับคำครหาด้านลบได้ จะใช้ได้หรือไม่ขอเข้าไปพิสูจน์เองดีกว่า!
อย่างไรก็ตามในประเทศเรานั้น Kingsglaive ไม่ได้เข้าโรงฉายแบบปกติ แต่จะฉายแค่รอบเดียววันเดียวเท่านั้นครับ นั่นคือรอบ 17.00 น. ณ โรงภาพยนตร์ Siam Pavalai ห้างสรรพสินค้า Siam Paragan นั่นเอง ทั้งนี้ผู้ที่จะสามารถเข้าชมได้นั้นจำเป็นต้องสั่งจองตัวเกม Final Fantasy XV กับทาง NGIN ก่อนครับ ดังนั้นจึงมีแต่แฟนๆ FF ระดับเดนตายพร้อมจ่ายเงินเพื่อสินค้าลิขสิทธิ์เท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าไปพิสูจน์ศักยภาพของภาพยนตร์เรื่องนี้กันก่อนใครในโรงภาพยนตร์ครับ
ทั้งนี้ทาง NGIN ก็ได้ให้เกียรติเชิญ Online Station ไปรับชมภาพยนตร์ด้วยครับ ต้องขอบคุณมากๆ จริงๆ ซึ่งแน่นอนว่าผมที่นั่งหัวโด่เขียนรีวิวชิ้นนี้ก็เป็น 1 ในทีมงานที่ได้เข้าชมภาพยนตร์เช่นครับ และต้องบอกว่าตัวภาพยนตร์ชวนประทับใจผิดคาดมาก ดีกว่าที่คิดไว้เยอะ ย่อยง่าย และบันเทิงสุดๆ ในแง่ของคนเล่นเกมที่ก็ชอบดูหนังเป็นทุนเดิม Kingsglaive คืองานภาพยนตร์จากตระกูล Final Fantasy ที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ตัวหนังเริ่มมาด้วยช่วง 12 นาทีแรกตามคลิปที่ทาง Sony ปล่อยมาเองด้านบนนั่นแหละครับ เพื่ออธิบายและสถานการณ์ในตัวภาพยนตร์คร่าวๆ ว่าจักรวรรดิ์ทหาร Niflheim กำลังไล่ถลุงอาณาจักรคู่ปรับอย่าง Lucis อย่างมันส์มือ ทางพระราชาของอาณาจักร Lucis นาม Regis ซึ่งเป็นบิดาของ Noctis พระเอกภาคเกมอีกที (ไม่งงนะพีเพิ่ล) จึงจัดตั้งหน่วยรบระดับสุดยอด Kingsglaive ขึ้นมาเพื่อต้านทานการรุกรานของทัพ Niflheim โดยเฉพาะ ซึ่ง Nyx Ulric พระเอกของภาพยนตร์ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยนี้นี่แหละครับ
สิ่งที่เด่นจนเตะตาให้หน้าหงายอย่างแรกเลยก็คืองานภาพครับอันนี้แน่นอนจริง เพราะเราสามารถเห็นได้ชัดเลยว่ามันพัฒนาจาก Advent Children ขึ้นมาพอสมควร พวกสิ่งปลูกสร้างอาจไม่เท่าไหร่ แต่ใบหน้าตัวละครต้องบอกว่าปั้นมาดีมาก (คิดว่าน่าจะใช้ MoCap ช่วย) มีการแสดงอารมณ์ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น พูดง่ายๆ ก็คือเหมือนคนมากขึ้นนั่นเองครับ นอกจากนี้ไคลแมกซ์ช่วงท้ายเรื่องยังอลังการสุดๆ แสง สี เสียงมาครบ ใส่ไม่ยั้งไร้การกั๊กใดๆ ทั้งสิ้น ราวกับจะยํ้าเตือนผู้ชมว่าซีรีส์ Final Fantasy ครั้งหนึ่งเคยถูกยกให้เป็นซีรีส์ที่มีภาพกราฟิกงดงามที่สุด เรียกว่าใครตีตั๋วเข้าไปชม CG เพียวๆ นี่ยังต้องฟินนํ้าบานกันไปข้าง แม้บางช่วงจะพอจับผิดว่าเผาไปนิดได้อยู่บ้าง แต่รวมๆ แล้วก็ยังงามจนไร้คำบรรยายอยู่ดี
ในแง่งานออกแบบดีไซน์ต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนที่ผมให้เครดิตกับ Final Fantasy มาในทุกๆ ภาคนั้น ก็ยังคงโดดเด่นมีเอกลักษณ์ ทั้ง Niflheim และ Lucis เราสามารถแยกแยะทั้ง 2 ฝั่งจากกันได้ชัดเจน ด้วยความเป็นเอกเทศต่อกันและกัน ฝ่ายแรกมีความเป็นเครื่องจักรในส่วนผสมอยู่มาก ขณะที่ฝ่ายหลังจะมีความเป็นเวทมนตร์แบบโมเดิร์นดูหรูหราฟาบูลัสสุดๆ ครับ ตรงนี้ Kingsglaive ถือว่าประสบความสำเร็จในการออกแบบทั้ง 2 ฝั่ง เนื่องจากผู้ชมสามารถบ่งชี้ได้ทันทีโดยไม่ต้องคิดว่าใครเป็นใครให้มากความ ทั้งยังมีความเป็นแฟนตาซีจ๋าชนิดที่ว่าคงหาไม่ได้ง่ายๆ ในภาพยนตร์จากฝั่งฮอลลิวูดครับ
ตัวพระนางของ Kingsglaive คือ Nyx Ulric และ Lunafreya Nox Fleuret ซึ่งด้วยความที่ว่าคนหนึ่งก็ยังคงเป็นนางเอกภาคในเกมด้วย ทำให้อวยได้ไม่ถนัดถนี่นักครับ กระนั้นก็ยังมีโมเม้นต์พอกุ๊กกิ๊กบ้าง แม้อาจไม่ถึงขั้นเป็นบทโรแมนซ์แบบโต้งๆ ก็เถอะ แต่โดยส่วนตัวนี่ Lunafreya ได้ใจผมไปเลยครับ บทของเธอในภาพยนตร์เด่นมาก เด่นสุดๆ จนพาลนึกไปว่าอาจจะทดแทนบทในภาคเกมที่คงไม่ได้เห็นเจ้าหล่อนบ่อยนักรึเปล่า? กระนั้นการนุ่งกระโปรงทรงสอบ ใส่เสื้อแหวกหลังกับรองเท้าส้นสูง ล้มลุกคลุกคลานกลิ้งเป็นลูกขนุนตลอดทั้งเรื่อง ก็ทำให้ผู้ชมอย่างเราเอาใจช่วยพร้อมยกใจให้เธอไปแบบไม่ตะขิดตะขวง มารู้ตัวอีกทีก็ชอบหลายๆ อย่างของตัวละครนี้ไปเสียแล้ว
ในขณะที่มิติของตัวละคร Nyx นั้น ค่อนข้างจะแบนกว่าอย่างชัดเจน และมีนิสัยที่พระเอกจ๋าในทุกๆ สถานการณ์ จนบางคนอาจส่ายหัวให้พี่แกได้ครับ แต่ทั้งหมดทั้งมวล Nyx ก็ไม่ใช่ตัวละครที่ถึงขั้นน่ารำคาญหรือเลวร้ายอะไรครับ ในทางกลับกันด้วยความเป็นฮีโร่จ๋าทำให้ตัวภาพยนตร์ดูง่ายขึ้นและสามารถโฟกัสไปที่เนื้อเรื่องรวมๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าพ่อ Nyx ของเราจะมีการกระทำและความคิดที่ซับซ้อนในภายหลังมากนัก
เนื้อเรื่องและบทที่โดนสื่อนอกสับเละเอาเข้าจริงถึงไม่ใช่มาสเตอร์พีชผมว่ามันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นครับ คุณอาจเดาหลายๆ อย่างได้ แต่การเล่าเรื่องด้วยจังหวะจะโคนที่ลงตัวและมวลอารมณ์ความเครียดของภาพยนตร์จากสภาวะสงคราม ก็สามารถดึงให้ผู้ชมจดจ่อกับเนื้อเรื่องได้สบายๆ ครับ น่าเสียดายเพียงแค่บางอย่างที่เราอาจจะอินไม่สุดเพราะเนื้อเรื่องไม่ได้ขยี้มากนัก เช่นกลุ่ม Kingsglaive ที่ปูเรื่องราวมาตื้นไปสักนิด ทำให้พอถึงฉากดราม่าขยี้อารมณ์คนดูอาจจะยังไม่ค่อยอินนักครับ
อย่างไรก็ตามผมค่อนข้างเข้าใจว่าทำไมสื่อสายภาพยนตร์จึงสับ Kingsglaive เสียยับครับ แม้มันจะเป็นหนังจากเกมที่สามารถพูดได้เต็มปากว่า "ไม่ต้องเคยเล่นเกมก็ดูรู้เรื่อง" นั่นเพราะด้วยจริตการรับชมที่ค่อนข้างแตกต่างกันดังที่ผมพูดไว้ตอนต้นบทความว่าผมชอบเรื่องนี้ "ในฐานะคนเล่นเกมที่ชอบดูหนัง" เพราะต้องยอมรับว่าพวกเราชาวเกมเมอร์ค่อนข้างเคยชินกับภาพยนตร์ CG เปิดเกมสไตล์ Square Enix ซึ่งเอาเข้าจริงมันมีอารมณ์ที่ต่างจากภาพยนตร์ฮอลลิวูดพอสมควร อีกทั้งฉากการต่อสู้สไตล์ Kingsglaive ที่ฉวัดเฉวียนวาร์ปเวียนไปมาก็ทำให้บางคนไม่อาจดูเรื่องเรื่องว่าใครสู้กับใครอยู่ครับ ตรงนี้จะว่าน่าหงุดหงิดไหมก็อาจมีบ้างอยู่เหมือนกันนะครับ ไอ้อาการดูฉากที่ควรจะตื่นเต้นแต่ดันไม่รู้เรื่องเนี่ย
สำหรับคำฟันธงสุดท้ายว่าหนังเรื่องนี้ควรเสียเงินซื้อมาดูหรือไม่นั้น ผมคิดว่าให้ลองดูคลิป 12 นาทีแรกข้างต้นไปก่อนก็ได้ครับ ถ้าหากดูแล้วชอบคุณก็มีเปอร์เซ็นต์สูงที่จะสนุกไปกับตัวภาพยนตร์ แต่หากไม่ใช่ผลลัพท์ก็แน่นอนว่าจะออกไปในทางตรงกันข้าม กระนั้นหากคุณเป็นคนที่แพลนว่าจะซื้อเกม Final Fantasy XV มาเล่นเป็นทุนเดิม หรือเป็นแฟนเกม Final Fantasy อยู่แล้ว ผมก็ค่อนข้างแนะนำให้หา Kingsglaive มาดูครับ เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องราวก่อนเริ่มเกมแล้วมันยังมี Easter Egg ให้ได้ถกกันต่อพอสมควร และอย่างน้อยไม่ว่าจะในแง่ของหน้าที่ผู้ส่งไม้ต่อ, CG เปิดเกมที่ยาวที่สุด หรือหนังที่ทำขึ้นมาเพื่อเร้าให้คุณอยากจะเล่นเกมหลักนั้น Kingsglaive สามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบครับ ชนิดที่ว่าหากเดินออกมาจากโรงแล้วมีแผ่นเกมวางขายอยู่หน้าทางออก ผมคงหน้ามืดเสียเงินเดี๋ยวนั้นเลย แม้ว่าที่บ้านจะยังไม่มีเครื่อง PS4 ก็ตาม
แต่ 20/10 สำหรับ Lunafreya นะฮะโอ้โฮ แหม่!
ขอขอบคุณทาง NGIN ที่ให้เกียรติเชิญทีมงาน Online Station ไปรับชมภาพยนตร์ในครั้งนี้ด้วยครับ