สัมภาษณ์พิเศษ ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ Final Fantasy XII: The Zodiac Age จากงาน E3 2016
ภายในบูธ Square Enix ของงาน E3 2016 นอกจากจะมี Final Fantasy XV เป็นไฮไลท์ของที่บูธแล้ว ก็ยังมี Final Fantasy XII: The Zodiac Age เป็นอีกเกมที่น่าจับตามองด้วยเช่นกัน และแม้ว่าจะเป็นภาคที่เคยลงให้กับเครื่อง PS2 และนำมารีมาสเตอร์ลง PS4 ก็ตาม แต่ด้วยความที่เป็นภาคที่หลายคนตั้งตารอคอยที่จะหวนกลับมาเล่นในเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์ที่มีการพัฒนากราฟิกและองค์ประกอบอื่นๆ ให้ดียิ่งขึ้น ในโอกาสดังกล่าว ทางทีมงาน Online Station ก็ได้รับเกียรติจากคุณฮิโรยูกิ คาโต้ (Hiroyuki Kato) โปรดิวเซอร์ของเกม และคุณทาคาชิ คาตาโนะ (Takashi Katano) ผู้กำกับของเกม ในการเข้าสัมภาษณ์แบบ Exclusive ทางเราจึงขอนำบทสัมภาษณ์มาให้ชมกันครับ
Q: อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้รีมาสเตอร์ภาค 12 นี้ครับ?
คุณคาตาโนะ: เป็นเพราะการประสบความสำเร็จในการรีมาสเตอร์ของภาค 10 ครับ และเป้าหมายถัดมาของการรีมาสเตอร์ก็คือ พวกตนจะต้องรวมทีมผู้พัฒนา FF XII เดิมให้กลับมาพัฒนาเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์ให้ได้ แถมตารางเวลาของแต่ละคนก็ไม่ตรงกัน กว่าจะตามมาได้ครบทุกคนมันจึงยากมาก สุดท้ายก็ตามมาได้สำเร็จ จึงได้ร่วมพัฒนาเกม FF XII เวอร์ชั่นรีมาสเตอร์อย่างที่เห็นนี่แหละครับ
Q: ในภาค The Zodiac Age นี้มีจุดขายอะไรที่โดดเด่นที่สุดครับ?
คุณตาตาโนะ: จุดขายแรกเลยคือการทำกราฟิกใหม่ รวมถึงเท็กซ์เจอร์ทุกอย่าง พร้อมกับปรับภาพให้เป็น HD ตลอดทั้งเกม พร้อมกับแก้ไขเรื่องเสียงในเกม จากเดิมในเวอร์ชั่น PS2 ที่ตัวละครเวอร์ชั่นญี่ปุ่นจะออกเสียงญี่ปุ่น ส่วนตัวละครเวอร์ชั่นอังกฤษก็จะออกเสียงอังกฤษเท่านั้น แต่ในเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์นี้ ผู้เล่นจะปรับให้เป็นซับไตเติ้ลเป็นอังกฤษ แล้วให้ตัวละครพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นก็ได้ ตลอดจนเพลงประกอบต่างๆ ในเกมก็ทำการมิกซ์ใหม่ด้วยเช่นกัน โดยในสมัยที่ลงให้กับเครื่อง PS2 นั้น ทีมงานได้เลือกใช้ระบบเสียง Dolby Pro Logic ซึ่งเป็นเสียงสเตอริโอแบบไม่แท้ แต่พอได้มาทำเป็นเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์บน PS4 จึงสามารถทำซาวด์แบบ 7.1 แบบของแท้เพียวๆ ได้อย่างสบาย
นอกจากนี้ก็เคยมีผู้เล่นบางส่วนเคยให้ความเห็นมาว่า FF XII ตัวดั้งเดิมนั้นมีความยากมากเกินไป ทีมงานจึงมีการปรับปรุงตัวเกมเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์ให้มีความง่ายขึ้นในหลายๆ จุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้ปรับลดความยากลงมากจนตัวเกมไม่เหลือความท้าทายอะไรเลย
ถัดมาคือการเพิ่ม High Speed Mode เข้าไป กล่าวคือผู้เล่นสามารถปรับสปีดภายในเกมเพื่อให้การผจญภัยดำเนินไปได้อย่างเร็วขึ้น (หากเพื่อนๆ นึกภาพไม่ออกให้นึกถึง High Speed Mode ของ Final Fantasy VII เวอร์ชั่นที่พอร์ตลง PS4 ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาดูครับ จะเป็นหลักการเดียวกัน)
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่อยากแนะนำคือโหมด Trial ที่จะมีให้เล่นกันนับร้อยๆ ฉาก ในส่วนนี้จะช่วยให้ตัวเกมสามารถเล่นได้นานขึ้น และยังสามารถนำเอาไอเทมหรือสิ่งต่างๆ ที่ได้จากโหมดเนื้อเรื่องมาใช้ในโหมด Trial ก็ได้ด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้เล่นจะผ่าน Trial ได้จนหมด และเก็บอบิลิตี้ทุกอย่างครบแล้ว ก็ไม่สามารถการันตีว่าจะชนะศัตรูทุกตัวในเกมได้ หากตราบใดที่ผู้เล่นเซ็ตระบบ Gambit ในการต่อสู้ที่ไม่ถูกต้องนั่นเอง
ต่อมาคือระบบ Job System ที่ทางเราต้องอธิบายก่อนว่า ต่อให้ผู้เล่นเก็บทุกอย่างจากระบบนี้จนครบหมดทุกตัวละคร แต่สุดท้ายแล้ว ตัวละครแต่ละตัวก็จะไม่ใช่ว่ามีค่าพลังหรือความสามารถเท่ากันหมด เพราะตัวละครทุกตัวล้วนถูกออกแบบมาให้มีข้อเด่นข้อด้อยที่แตกต่างกันไปครับ
ยิ่งไปกว่านั้น ระบบ Autosave ก็เป็นอีกระบบที่ต้องพูดรวมในคราวเดียว เพราะในเวอร์ชั่นดั้งเดิม ผู้เล่นจะทำการเซฟได้ก็ต่อเมื่ออยู่ที่ Save Point เท่านั้น ทว่าในเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์ ตัวเกมจะทำการเซฟให้อัตโนมัติเป็นระยะ เพื่อที่ผู้เล่นจะได้ไม่ต้องมาคอยพะวงว่าลืมเซฟหรือไม่ หรือควรจะเซฟตอนไหน เป็นต้น
อีกประเด็นคือเรื่องการโหลดระหว่างเล่นเกมครับ ซึ่งในเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์บนเครื่อง PS4 จะแทบไม่มีการโหลดให้เห็น หรือมีเพียงน้อยมาก ผู้เล่นจะสามารถเดินตัดข้ามไปอีกห้องหนึ่งได้โดยไม่ต้องเสียเวลารอโหลดเลยแต่อย่างใด
Q: เป็นที่ทราบกันดีว่าในโลกของ FF XII นั้นจะอยู่ในจักรวาลของอิวาลิซ (Ivalice) และก็มีอีกบางเกมที่ใช้จักรวาลร่วมกันกับเกมนี้ เช่น Final Fantasy Tactics หรือ Vagrant Story ดังนั้นในอนาคตจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่เกมต่างซีรีส์ที่ดำเนินเรื่องในจักรวาลเดียวกัน จะมีตัวละครจากต่างซีรีส์มาพบกันได้?
คุณคาโต้: คงต้องไปเล่นในเกม Final Fantasy World เท่านั้นล่ะครับ (หัวเราะ)