บทสัมภาษณ์สุดเอ็กคลูซีฟ ผู้กำกับ Final Fantasy XV ส่งตรงจากงาน E3 2016
งาน E3 2016 มหกรรมงานเกมที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งเป็นงานที่นักพัฒนาเกมจากทุกสารทิศจะได้มาพบกับผู้ที่สนใจในด้านเกมแบบเชิงลึกอย่างจริงจัง และนี่ก็เป็นอีกโอกาสหนึ่งที่ทางทีมงาน Online Station และ play ได้รับเกียรติจากทางคุณฮาจิเมะ ทาบาตะ (Hajime Tabata) ผู้ทำหน้าที่เป็นไดเร็กเตอร์ให้กับเกม Final Fantasy XV (FF XV) และคุณทาเคชิ โนซึเอะ (Takeshi Nozue) ตำแหน่งไดเร็กเตอร์ของภาพยนตร์ Kingsglaive: Final Fantasy XV เพื่อเข้าสัมภาษณ์แบบ Exclusive กันสดๆ เลย
Q: คุณทาบาตะคิดว่า FF XV จะมีจุดเด่นอะไรที่สามารถสร้างอิมแพคต่อผู้เล่นได้บ้างครับ?
คุณทาบาตะ: ตัวเกมจะมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Wait Mode ครับ โดยจะเป็นโหมดที่แฟน Final Fantasy ภาคเก่าๆ เรียกร้องกันมานาน ซึ่ง Wait Mode นี้ก็จะทำให้ตัวเกมมีความคล้ายกับระบบ Turn Based คือแต่ละฝ่ายไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือตัวเราก็ต้องรอจนกว่าจะออกแอ็กชั่นเสียก่อนจึงจะใส่คำสั่งได้ ตรงนี้ก็จะเป็นการเอาใจผู้เล่นที่ติดตามมาตั้งแต่ภาคเก่าๆ กันมานาน
Q: มีแผนที่จะแปลงภาพยนตร์ Kingsglaive: Final Fantasy XV มาเป็นเกมในอนาคตมั้ยครับ?
คุณโนซึเอะ: ณ ตอนนี้ทางเรายังไม่มีแผนสำหรับการทำภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเกมแต่อย่างใดครับ
Q: พอจะช่วยบอกแรงจูงใจหรือสาเหตุในการทำภาพยนตร์ Kingsglaive: Final Fantasy XV ให้หน่อยได้มั้ยครับ?
คุณโนซึเอะ: ภาพยนตร์เรืองนี้จะเป็นการเกริ่นแนะนำให้กับผู้เล่นหน้าใหม่ที่ไม่เคยรู้จัก Final Fantasy XV และเพื่อให้ผู้เล่นได้ทำความคุ้นเคยก่อนจะมาเล่นเกมนี้กัน
คุณทาบาตะ: สิ่งที่จะทำให้คนผูกพันกับตัวเกมภาคนี้ได้ก็คือเนื้อเรื่อง ที่เน้นการนำเสนอในเรื่องของครอบครัวที่มีพ่อที่เป็นราชา และลูกที่เป็นเจ้าชาย ซึ่งเกิดความขัดแย้งกัน จนทำให้เกิดการออกผจญภัยของคนที่เป็นลูกเพื่อค้นหาตัวเอง พร้อมมีเพื่อนผู้ชายอีกจำนวนหนึ่งออกตามไปด้วย ส่วนเหตุผลที่คนในปาร์ตี้พระเอกต้องเป็นผู้ชายล้วน ไม่มีผู้หญิงเลย นั่นก็เพราะการเดินทางของพระเอกนั้นเป็นแบบ Road Trip จึงต้องให้ดูมีความสมจริง และทางทีมเองก็ต้องการจะโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกกับความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนเป็นหลัก
Q: คุณทาบาตะมีวิธีอย่างไรที่จะทำให้เกมเมอร์สมัยนี้ที่ไม่ค่อยอินกับ Final Fantasy หันมาสนใจเกมนี้ได้บ้าง
คุณทาบาตะ: เราจะไม่เน้นไปปรับปรุงเนื้อเรื่องให้มันทันสมัยครับ แต่จะไปปรับที่เทคโนโลยีที่มีใช้ในเกมแทน เช่น อาจให้ตัวละครมีสมาร์ทโฟนใช้ มีรถยนต์ที่ปรับโฉมให้บินได้บ้าง เพื่อจะได้ดูมีความเพ้อฝันในนั้น แต่ก็จะไม่ใส่ในปริมาณเยอะเกินจนดูล้ำยุคจ๋าเกินไป ซึ่งจะเข้าถึงผู้เล่นสมัยนี้ได้ดีกว่า หรือถ้าพูดให้เห็นภาพคือ ระบบของเกมจะเป็นตัวดึงดูดผู้เล่นหน้าเก่าเข้ามา ในขณะที่สิ่งของหรือพร็อพต่างๆ ในเกมจะเป็นสิ่งที่ผู้เล่นหน้าใหม่มีแนวโน้มที่จะสนจัยมากกว่า
Q: มั่นใจแค่ไหนกับภาคนี้ครับ
คุณทาบาตะ: ทีมงานมั่นใจว่า FF XV จะเป็นภาคที่ได้รับการยอมรับได้ เนื่องจากหลายคนที่ร่วมพัฒนาในภาคนี้ก็เคยพัฒนาภาคเก่าๆ กันมาก่อน และกว่าจะมารวมตัวกันได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงมั่นใจว่าด้วยบุคลากรที่ทำกันมาร่วมกัน ภาคนี้จะออกมาดีแน่นอนครับ
Q: เห็นว่าภาคนี้มีตัวละครฝั่งพระเอกอยู่มากมาย เป็นไปได้มั้ยว่าผู้เล่นจะสามารถสลับตัวผู้เล่นได้อย่างเสรี?
คุณทาบาตะ: ไม่ได้ครับ เพราะเราอยากให้ความเป็นซิงเกิลเพลเยอร์เด่นขึ้นมา และเป็นการให้ผู้เล่นอินไปกับตัวละครที่บังคับ ถ้าทำให้ผู้เล่นสลับตัวละครได้ ก็จะเป็นการทำให้ผู้เล่นไม่ได้โฟกัสว่าตัวเกมให้ความสำคัญกับอะไร โดยในภาค 15 นี้ ผู้เล่นจะเลือกตัวละครเล่นคั้งแต่แรกไม่ได้ และจะเปลี่ยนตัวละครระหว่างสู้ก็ไม่ได้ แต่เราสามารถบอกให้เพื่อนๆ ใช้อาวุธอันนั้นอันนี้ได้ ทว่าเราจะไม่สามารถเข้าไปควบคุมตัวละครพวกนั้นได้ นอกจากนี้ ในส่วนของการบังคับควบคุมรถยนต์เป็นเครื่องบินเพื่อบินขึ้นหรือลงจอด ก็จะไม่สามารถลงจอดในแนวดิ่งได้ ผู้เล่นจะต้องมีถนนสำหรับใช้เป็นรันเวย์เพื่อขึ้นบินเหมือนเครื่องบินจริงๆ และลงจอดแบบร่อนลงเหมือนเครื่องบินโดยสารเลย อีกทั้งระหว่างการเดินทาง ตัวละครก็จะมีปฏิสัมพันธ์กัน มีพูดจานัดแนะกันเหมือนเป้็นธรรมชาติ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ผู้เล่นได้เข้าใจว่าการเดินทางพวกนี้มันคือการผจญภัยจริงๆ
Q: ตัวเกม Final Fantasy XV นี้จะมีขอบเขตให้ผจญภัยได้แค่ไหนครับ?
คุณทาบาตะ: เราไม่สามารถบอกได้ครับว่าโลกของเกมนี้มันกว้างขนาดไหน แต่ถ้าเล่นกันจริงๆ จะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 40 ชม. โดยประมาณ และถ้าผู้เล่นได้เล่นพวกไซด์เควสต์ต่างๆ ที่มีอยู่ในเกมทั้งหมด อาจจะกินเวลาได้ถึง 200 ชม. เลยทีเดียว
Q: ระบบการต่อสู้ของภาคนี้ค่อนข้างเปลี่ยนไปเยอะ พออธิบายจุดมุ่งหมายหรือคอนเซ็ปต์ของการทำระบบการต่อสู้ลักษณะนี้ได้มั้ยครับ?
คุณทาบาตะ: ทางเราต้องการให้เกมมีความไหลลื่น ด้วยการต่อสู้แบบรีลไทม์ เจอศัตรูตรงไหนก็สู้กันตรงนั้นเลย มันจะช่วยให้การผจญภัยในเกมดูมีความคล้ายคลึงภาพยนตร์ทั่วไปมากยิ่งขึ้น และการปราบศัตรูในหลายๆ ครั้ง ผู้เล่นจำเป็นต้องหาจุดอ่อนของมัน ไม่ใช่แค่ว่าจะระดมโจมตีหรือรัวเวทมนตร์ใส่แล้วจะปราบได้ง่ายๆ