"วันนี้ในอดีต" by play
วันที่ 25 มีนาคม 2536 หรือวันนี้เมื่อ 23 ปีที่แล้ว เป็นวันวางจำหน่ายของเกม Final Fight บนเครื่อง Sega CD ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดย Final Fight นี้น่าจะเป็น 1 ในซีรีส์ที่เพื่อนๆ ที่อายุเข้าสู่เลข 3 แล้วน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี ในฐานะที่เป็น 1 ในเกมแนวแอ็กชั่นตะลุยด้านข้างแบบ 2D ยุคบุกเบิกและได้รับความนิยมสูง
เนื้อเรื่องของจุดกำเนิด Final Fight ได้เริ่มขึ้น เมื่อเจสสิก้า บุตรสาวของ ไมค์ แฮกการ์ อดีตนักมวยปล้ำมืออาชีพที่ปัจจุบันได้กลายเป็นผู้ว่าฯ ของเมืองเมโทรซิตี้ ซึ่งเพิ่งได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งได้ไม่นาน ได้ถูกแก๊งแมดเกียร์ลักพาตัวไปเพื่อบีบบังคับให้แฮกการ์ยอมร่วมมือในแผนการอันชั่วร้ายของพวกมัน ด้วยใจรักความยุติธรรม แฮกการ์ พร้อมด้วย โคดี้ แฟนสาวของเจสสิก้า และ กาย เพื่อนของโคดี้ จึงต้องบุกรังของแมดเกียร์และช่วยเจสสิก้าออกมาให้สำเร็จ
ระบบของเกม Final Fight นั้นจะสามารถเล่นได้ 2 คนพร้อมกันมาตั้งแต่สมัยยังเป็นตู้อาเขดหยอดเหรียญครับ โดยก่อนที่เกมจะเริ่ม ก็จะมีตัวละครมาให้เลือกใช้ถึง 3 ตัวด้วยกัน ได้แก่ กาย, โคดี้ และแฮกการ์ ซึ่งแต่ละคนก็จะมีความสามารถในการต่อสู้คนละสไตล์ การบังคับของเกมนี้จะค่อนข้างพื้นๆ และเข้าใจง่ายสำหรับมือใหม่ เพราะนอกจากปุ่มบังคับทิศทางการเคลื่อนที่แล้ว ก็จะมีเพียงปุ่มโจมตีและปุ่มกระโดด และถ้าหากผู้เล่นกดทั้งปุ่มโจมตีและปุ่มกระโดดพร้อมกัน ก็จะเป็นท่าไม้ตายที่โจมตีศัตรูรอบตัว (แต่มีข้อเสียคือเมื่อใช้แล้วจะเสียพลังชีวิตเล็กน้อย) ส่วนการจับทุ่มนั้น ผู้เล่นสามารถทำได้โดยการเดินไปชนตัวศัตรู ตัวละครจะทำการจับศัตรูตัวนั้นโดยอัตโนมัติ (ถ้าไม่โดนมันอัดสวนเสียก่อน) แล้วค่อยกดปุ่มโจมตีพร้อมกับปุ่มทิศทางที่ต้องการทุ่มศัตรูตัวนั้นไป แต่ถ้าเป็นแฮกการ์ก็จะมีท่าทุ่มอีกแบบ คือระหว่างที่จับตัวศัตรูได้ ให้กดปุ่มกระโดดตามด้วยปุ่มโจมตีก็จะเป็นท่าทุ่ม ไพล์ไดรเวอร์ ที่มีพลังโจมตีสูงกว่า ในขณะที่โคดี้จะมีความพิเศษตรงที่เมื่อหยิบอาวุธที่เป็นมีดมาใช้ เวลากดใช้มีดโจมตีศัตรูระยะประชิดจะเป็นการเอามีดจิ้ม ต่างจากตัวละครอื่นที่จะเป็นการปาออกไป และสุดท้ายคือกาย ที่จะสามารถกระโดดชิ่งกำแพงหรือขอบฉากได้ (เหมือนชุนลีใน Street Fighter) ทั้งนี้ Final Fight จะมีความยาวทั้งหมด 6 ด่าน และยังมีฉากเก็บคะแนนโบนัสให้เล่นอีก 2 ฉาก และจะมีบอสอยู่ท้ายฉากรวมทั้งหมด 6 ตัว (ด่านละตัว)
Fact เล็กน้อยเกี่ยวกับเกม Final Fight
- คุณโยชิกิ โอคาโมโตะ โปรดิวเซอร์ของ Final Fight ภาคแรกได้เผยว่าเกมนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเกม Double Dragon II: The Revenge โดยแรกเริ่มนั้นทางฝ่ายขายของ Capcom นั้นต้องการจะให้ทีมพัฒนาของบริษัทลองทำภาคต่อของเกม Street Fighter ภาคแรก ซึ่งทีมของคุณโอคาโมโตะได้ตั้งใจแต่ทีแรกว่าจะให้ Final Fight เป็นภาคต่อของ Street Fighter แหละครับ แต่พอทำไปทำมา ทาง Capcom ก็มีคำสั่งให้ใช้ชื่อ Final Fight ไปตามเดิม เนื่องจากว่าตัวเกมที่ทำออกมานั้นไม่ได้มีความเหมือนหรือคล้าย Street Fighter เลยแม้แต่นิดเดียว
- ในเวอร์ชั่นของเครื่อง Sega CD ที่ระบุไว้ในตอนแรกของบทความ ถือว่าเป็นการพอร์ทมาจากเวอร์ชั่นตู้อาเขดหยอดเหรียญมาได้อย่างสมบูรณ์ คือทั้งสามารถเล่นได้สองคนพร้อมกัน มีตัวละครให้เลือกครบ 3 ตัว และยังมีฉากให้เล่นครบทุกด่าน แถมยังมีการพากย์เสียงในช่วงเริ่มเกมและท้ายเกมด้วย นอกจากนี้ในเวอร์ชั่นดังกล่าวก็ได้เพิ่มโหมด Time Attack เข้ามา ที่ผู้เล่นต้องปราบศัตรูให้หมดภายในเวลาที่กำหนดเช่นกัน ทว่าข้อเสียที่ยังดูด้อยกว่าเวอร์ชั่นตู้อาเขดก็คือจำนวนศัตรูที่ปรากฏตัวในสูงสุดในฉาก ที่เวอร์ชั่นตู้อาเขดนั้นสามารถประมวลผลให้มีศัตรูโผล่ในฉากได้มากกว่า และอีกประเด็นคือการแสดงผลเรื่องจำนวนสีของเท็กซ์เจอร์หรือตามวัตถุต่างๆ ที่มีน้อยกว่าเวอร์ชั่นตู้อาเขด ทำให้สีของสภาพแวดล้อมจะดูจืดลง ตลอดจนเสื้อผ้าของศัตรูสาวที่ชื่อ Poison และ Roxy ก็มีการวาดขึ้นใหม่เพื่อไม่ให้ดูโป๊เกินไปสำหรับให้เด็กๆ เล่น
- ยอดขายของ Final Fight ภาคแรก เมื่อนับรวมทุกแพลตฟอร์มแล้ว สามารถทำไปได้ 3.4 ล้านชุดทั่วโลกครับ และแม้จะมีการทำภาคต่อออกมาบ้างประปราย แต่ก็ไม่มีภาคใดที่ทำยอดขายได้สูงเท่าที่ภาคแรกเคยทำไว้ได้อีกเลย
- ความสำเร็จของ Final Fight ภาคแรก ไม่ได้มีเพียงยอดขายเท่านั้น หากแต่ความนิยมของมันยังส่งผลถึงกระแสจากผู้เล่นในช่วงคริสต์ศักราช 1989-1991 ที่ใครๆ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "นึกถึงเกมลุยด้านข้างต่อยอันธพาล ต้องนึกถึง Final Fight ก่อนเสมอ"