Dragonica เทพถึก Knight เทพแรง Gladiator อยากเทพต้องอ่าน

แชร์เรื่องนี้:
Dragonica เทพถึก Knight เทพแรง Gladiator อยากเทพต้องอ่าน

หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนานพอสมควรตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เหล่านักรบมังกรจะได้หวนกลับมาอีกครั้งกับเกม Dragonica ซึ่งถูกชุบชีวิตโดย Electronics Extreme แน่นอนว่าก็จะมีทั้งผู้เล่นหน้าเก่าที่เคยสัมผัสกับเกมนี้มาแล้วแต่ลืมข้อมูลไปบ้าง หรือจะเป็นผู้เล่นที่ไม่เคยสัมผัสและไม่รู้จะหาข้อมูลยังไงดี ในครั้งนี้ก็จะถือเป็นการฟื้นความจำและแนะนำผู้เล่นใหม่ไปเลยในคราวเดียว โดยในวันนี้เราจะมาพูดถึงสายอาชีพเบสิกอาชีพแรกกันก่อน และน่าจะเป็นขวัญใจของใครๆหลายคนเลยก็ว่าได้ กับสายอาชีพ Warrior นั่นเอง เราจะมาดูแนวทางการอัพสกิลของ Warrior จนถึงการเป็นอาชีพขั้นที่สองของสายนี้อย่าง Knight และ Gladiator อย่ารอช้ามาดูกันเลยดีกว่า

Knight

ในส่วนของ Knight ก่อนจะเป็นอาชีพขั้นสอง ตอนเลเวล 20 นั้นในช่วงแรกที่ยังเป็น Warrior ถือเป็นอะไรที่จะว่ายากลำบากพอตัวก็ว่าได้ เพราะในช่วงแรกตัว Warrior ยังไม่มีสกิลอะไรช่วยในการเก็บเลเวลที่ดีมากนัก แต่ก็ไม่ถือว่าแย่ซะทีเดียว ซึ่งในขณะที่เป็น Warrior ก็จะแนะนำให้อัพตามนี้
Level 20-40 Knight
หลังจากเปลี่ยนเป็น Knight แล้วตัวเลือกเราจะหลากหลายยิ่งขึ้น ซึ่งจำเป็นจะต้องรีสกิลและลดการใช้งานสกิลจาก Warrior ลงเพื่อมาใช้แต้มในการเป็น Knight แทน และนี่ก็คือแนวการอัพสกิลของสาย Knight 


Aerial Smackdown: สกิลนี้เป็นสกิลที่เปลี่ยนจากการใช้ Cutdown ที่เป็นสกิลที่ใช้ดีดมอนขึ้นฟ้าในตอนเป็น Warrior แทนซึ่งมีความเสียหายที่มากกว่า (อัพที่เลเวล 3)
 

Shoulder Tackle: สกิลนี้จะเป็นสกิลที่ใช้ไหล่กระแทกให้มอนลอยขึ้นฟ้า แต่เราจะไม่ใช้สกิลนี้เท่าไรอัพไว้เป็นทางผ่านไปสกิลต่อไปก็พอ (อัพที่เลเวล 1)
 

Spear Jab: สกิลนี้จะเป็นการหยิบไม้กวาดออกมาแทง ซึ่งเจ้าสกิลนี้จะเป็นเพื่อนรักของเราเลยก็ว่าได้ ด้วยความแรงและการที่ทำให้ศัตรูล้มได้อีกด้วย อัพไว้เลยเยอะๆ (อัพที่เลเวล 5)
 

Pressure: สกิลนี้จะเรียกเหล็ก 1 ตันลงมาทับศัตรู เราจะอัพแค่เป็นทางผ่านไปสกิลต่อไป (อัพที่เลเวล 1)
 

Spin it Bear!: สุดยอดสกิลหากินของการเป็น Knight นั่นก็คือสกิลเรียกหมีนี่เอง โดยจะเป็นการเรียกหมีออกมาหมุนใส่ศัตรูสร้างความเสียหายอย่างมาก อัพไปเลยเยอะๆ ไม่ต้องคิด (อัพที่เลเวล 5)
 

Shield Mastery: สกิลนี้เป็นสกิลติดตัวที่จะช่วยเพิ่มป้องกันกายภาพและอัตราการบล็อก ซึ่งทำให้ Knight เป็นอาชีพสุดแสนขี้โกงนั่นเอง (อัพที่เลเวล 5)
 

Parry: สกิลนี้เมื่อกดใช้จะช่วยเพิ่มอัตราการบล็อกขึ้น ซึ่งก็ถือเป็นอีกสกิลที่ทำให้ Knight เทพสุดๆ เมื่อรวมกับ Shield Mastery ตีแทบไม่เข้ากันเลยทีเดียว (อัพที่เลเวล 5)

Gladiator

มาต่อกันที่ Gladiator ซึ่งอาชีพนี้จะเน้นไปที่ดาเมจหนักมากกว่าตัว Knight หลังจากเปลี่ยนอาชีพมาเป็น Gladiator เราก็จะสามารถทำความเสียหายได้มากยิ่งขึ้นและได้เปลี่ยนอาวุธมาใช้ดาบสองมือแทน ซึ่งจะมีพลังโจมตีที่สูงกว่าการถือดาบมือเดียวเป็นอย่างมาก และในส่วนของการอัพสกิลก็จะเน้นไปที่การทำดาเมจหนักๆ เป็นหลักดังนี้


Grizzly Power: เมื่อกดใช้จะได้รับพลังของหมีกริซลี่เพิ่มพลังโจมตีและ STR โดยสกิลนี้จำเป็นอย่างมากเลยทีเดียวอัพไปเลยเยอะๆ (อัพที่เลเวล 5)
 

Advanced Sword Mastery: สกิลติดตัวที่จะช่วยเพิ่มพลังโจมตีเมื่อใช้ดาบสองมือ และนี่เป็นเหตุผลที่เราไม่ใช้ Sword Mastery ธรรมดา (อัพที่เลเวล 5)
 

Dashing Blow: ใช้ในขณะที่กำลังแดชจะทำให้ศัตรูลอยขึ้นไปบนอากาศและติดสถานะเลือดออก ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นสาเหตุที่ทำให้สกิลส่งมอนขึ้นฟ้าตอนเป็น Gladiator ดีกว่าตอนเป็นแค่ Warrior และสกิลนี้ก็จำเป็นต้องอัพเพื่อเป็นทางไปต่อ (อัพเต็มที่เลเวล 1)
 

I'm Gone Bear: เรียกหมีกังฟูออกมาเตะศัตรูที่อยู่ข้างหน้า 8 ครั้ง โดยสกิลนี้เป็นสกิลทำดาเมจที่ดีสุดๆ สกิลหนึ่งเลยทีเดียว (อัพที่เลเวล 5)
 

Aerial Blow: สกิลนี้จะฟาดศัตรูที่อยู่ในอากาศให้ตกลงมา ซึ่งไม่จำเป็นที่เราจะต้องใช้ อัพไว้เป็นทางผ่านก็พอ (อัพที่เลเวล 1)
 

Incoming Bear: เช่นเดียวกับ I'm Gone Bear สกิลนี้จะเรียกหมีกังฟูออกมาเตะ 2 ครั้งพร้อมกับทำให้ศัตรูล้มลงและทำความเสียหายสูง จึงเป็นอีกสกิลที่จำเป็นสุดๆ (อัพที่เลเวล 5)
 

Gamble: สกิลนี้เมื่อกดใช้จะเป็นการสุ่ม 1 ใน 6 บัฟจากทั้งหมดออกมา ซึ่งก็จะมีทั้งบัฟเพิ่มพลังโจมตี เพิ่มพลังชีวิต เพิ่มพลังป้องกัน เพิ่มหลบหลีก และอื่นๆ ซึ่งถือว่าไม่แย่เท่าไหร่ ยิ่งใครชอบในการใช้ดวงด้วยแล้วยิ่งถือว่าคุ้มค่า (อัพที่เลเวล 5)
 

Stumblebum: สกิลนี้จะทำให้เราตะโกนสตั๊นศัตรูรอบๆ และลดอัตราการหลบหลีกกับพลังโจมตีของศัตรู ซึ่งถือว่าเป็นสกิลที่ดีมากๆ ทั้งใน PVE และ PVP โดยการอัพเพียงแค่ 1 ก็เห็นผลดีมากๆ แล้ว (อัพที่เลเวล 1)

ทั้งหมดนี้ก็เป็นแนวทางการอัพสกิลของทั้งสองสายอาชีพของ Warrior ซึ่งในความเป็นจริงแต่ละคนก็จะมีรูปแบบการเล่นที่แตกต่างออกไป สำหรับใครที่ไม่ชอบแนวทางนี้ก็สามารถจะปรับเปลี่ยนได้แล้วแต่สไตล์ของตัวเองเลย แต่สำหรับใครที่ไม่รู้จะยังไงดีก็ตามนี้เลยก็ไม่แย่ซะทีเดียว ในครั้งหน้าจะเป็นของสายอาชีพไหนอย่าลืมติดตามกันนะครับ

บทความจาก OS Magazine ฉบับที่ 650

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ