สวัสดีครับ กลับมาพบกับบทความ In my Opinion บทความที่จะนำเอาความเห็นน่าสนใจจากเหล่านักเขียนผู้ครํ่าหวอดในวงการที่มีต่อเกมซึ่งวางตลาดในช่วงเวลานั้นๆ กันอีกครั้งนะครับ โดยคราวนี้เป็นความเห็นของคุณ สุกฤษฎิ์ บูรณสรรค์ หรือ "บ้าเกม" ที่หลายๆ คนอาจจะรู้จักกันดี ที่มีต่อเกมที่ค่อนข้างเป็นกระแสแรงพอสมควรช่วงที่ผ่านมาอย่าง Life is Strange จะน่าสนใจขนาดไหนนั้น เรียนเชิญให้ไล่สายตาสู่บรรทัดล่างถัดจากนี้ได้เลยครับ
Life is Strange EP1 : Chrysalis - ความ ‘ธรรมดา’ อันแสน ‘ประหลาด’
ชีวิตในวัยเปลี่ยนผ่านนั้น … แปลกเสมอ …
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเวลา จากความเป็นเด็ก สู่ช่วงเวลาแห่งความเป็นผู้ใหญ่ ที่ๆ คนหนึ่งจะต้องเรียนรู้ ผ่านความสับสน ผ่านการลองผิดลองถูก และผ่านโจทย์ในบริบทต่างๆ ที่ประดังเข้ามา เพื่อประกอบสร้างความเป็นตัวตนและกำหนดที่ทางของคนๆ นั้นบนโลกที่จะก้าวเข้ามาในภายภาคหน้า
เป็น ‘พิธีกรรม’ สำคัญ ที่ทุกคนต่างต้องพบเจอ ไม่ว่าจะด้วยความเต็มใจหรือไม่ก็ตาม …
และภายใต้ธีมแห่งความเปลี่ยนผ่านเช่นนี้เอง ที่โลกแห่งวิดีโอเกมส์สายผจญภัยจะได้นำมาปรับใช้และนำเสนออย่างมีสีสัน ในบทโหมโรงของ Life is Strange เกมผจญภัยขนาดความยาวห้าตอนจากทีม DONTNOD Entertainment ผู้สร้าง Remember Me เกมแอ็คชันที่ค่อนข้างจะ ‘มีดี’ แม้หลายคนจะ ‘ลืม’ มันไปแล้วก็ตาม …
ในเบื้องต้น ระบบหลักของ Life is Strange นั้น อาจจะไม่แตกต่างอะไรกับเกมแนวผจญภัยแบบ ‘Post-Modern’ ที่วิวัฒน์จากยุคสมัยเก่า ภายใต้การนำร่องของค่ายอินดี้ติดลมบน Telltale Games ในรอบหลายปีที่ผ่านมาที่หลายคนอาจจะคุ้นเคย (จากเกมอย่าง The Walking Dead , The Wolf Among Us จนถึง Game of Thrones และ Tale from Borderlands) ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ในเรื่องราวชีวิตของ Max Caulfield เด็กสาววัยว้าวุ่น กำลังจะได้เดินทางสู่การผจญภัยและเรื่องราวอันไม่ธรรมดา เมื่อเธอพบว่าตนเองได้รับพลังแห่งการย้อนเวลา หลังจากที่เดินทางกลับมาเพื่อศึกษาวิชาถ่ายภาพในสถาบันบ้านเกิดที่ Arcadia Bay มลรัฐโอเรกอน ที่เธอจากลาไปเป็นเวลาเกือบห้าปีเต็ม
และแม้ลูกเล่นของการย้อนเวลา จะมากจะน้อย ก็พอจะมีร่องรอยที่สืบเนื่องจากเกมก่อนหน้าของทีมพัฒนาอย่าง Remember Me หากแต่การประยุกต์ใช้ของระบบดังกล่าวใน Life is Strange นั้น ก้าวไปสู่มิติที่น่าสนใจ จากการเปิดกว้างของการใช้พลังเพื่อตอบสนองกับบริบทต่างๆ ที่มีในตลอดระยะเวลาตั้งแต่ต้นจนจบของบทตอน ตั้งแต่การใช้พลังเพื่อแก้ปริศนา (ทั้งทางกายภาพ และข้อมูลสำคัญที่ได้รับรู้ล่วงหน้า) จนถึงการเล่นกับ ‘ทางเลือก’ เพื่อดูผลลัพธ์ในแต่ละแขนง ก่อนที่ผู้เล่น (ในฐานะ Max) จะตกลงปลงใจกับการเลือก ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
แต่กระนั้น ‘ทางเลือก’ ดังที่กล่าวไป คงจะไม่มีความหมาย ถ้าทางเลือกนั้นๆ ไม่มีบรรยากาศของ ‘ผลสืบเนื่อง’ ที่จะกระทบกับเส้นทางชีวิตของตัวเอกในภายภาคหน้า (ไม่ว่าจะในบทตอนนี้ หรือในอีกสี่ตอนที่เหลือ…) และนั่นอาจจะนับได้ว่าเป็นจุดแข็งสำคัญของ Life is Strange เพราะมันไม่ได้นำพาผู้เล่นไปสู่พื้นหลังหลุดโลกใดๆ ไม่มีวิกฤติซอมบี้ระบาด ไม่มีหายนะวันล้างโลก ไม่มีภารกิจกอบกู้จักรวาล หากแต่เป็นเพียงชีวิตของเด็กสาวคนหนึ่งในวันเวลาอันสับสน การทำความเข้าใจตัวเอง การหาจุดยืนและที่ทางในโลกที่ไม่คุ้นเคย รวมไปถึงการประสานรอยร้าวระหว่าง Max และ Chloe เพื่อนรักจากวันวาน ในชีวิตของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ หากแต่สับสนและว้าวุ่นไม่แพ้กัน (และแม้จะไม่ชัดเจน แต่มันก็มีกลิ่นอายของประเด็นเลสเบี้ยนและ LBGT อย่างเบาบางให้พอสัมผัสกันได้ในระดับหนึ่ง)
เป็น 'เนื้อหา' ที่มันไม่ใช่แค่จับต้องได้ หากแต่มัน 'สัมผัส' เข้าถึงแก่นกลางของความเป็นตัวตนที่เราต่างเคยเผชิญ ที่เราไม่อาจจะรู้ถึงที่ทางและตำแหน่งแห่งหนในโลก แต่ต้องมารับมือกับสถานการณ์หลายต่อหลายอย่างที่ประดังเข้ามา มากน้อยแตกต่างกันไป ...
และความ ‘เรียล’ ทางเนื้อหาเช่นนี้ ผสานเข้ากับงานศิลป์แบบกึ่งสีน้ำมันและอารมณ์เพลงอคูสติกแบบภาพยนตร์วัยรุ่นสไตล์ Road Movie ไม่นับรวมพลังเหนือธรรมชาติที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ ที่ช่วยให้ความสับสนใดๆ มันดูยุ่งเหยิงเพิ่มเติมแบบทบเท่าทวีคูณ ที่ทำให้เกมนี้แตกต่างและทรงพลังยิ่งนัก …
เป็นนาฏกรรม ‘ชีวิต’ อันแสน ‘ประหลาด’ โดยแท้ …
ผมใช้เวลาผ่านบทเกริ่นนำชีวิตของ Max Caulfield จนถึงปลายทางของบทตอนที่เริ่มกลั่นเข้าสู่ความจริงจังด้วยเวลาอันกระทัดรัดเพียงสี่ชั่วโมง แต่กระนั้น มันก็เป็นสี่ชั่วโมงที่ความรู้สึกโดยรวมของความ ‘รัก’ และ ‘เกลียด’ นั้น ควบรวมมาในอัตราที่เทียบเท่ากัน
รัก .... เพราะความกล้าของทีมพัฒนาที่จะสำรวจเข้าไปในความว้าวุ่นของวัยรุ่น ภายใต้วันเวลาแห่งการเรียนรู้ เติบโต และเปลี่ยนผ่านอันสำคัญ จากความเป็นเด็ก สู่ผู้ใหญ่ที่จะต้องก้าวต่อไปอย่างมีวุฒิภาวะ อันเป็นบริบทที่ยากนักที่จะหาชิ้นงานวิดีโอเกมส์ไหนที่จะเข้าไปในอาณาเขตที่ดู 'ธรรมดา' แต่ 'ไม่ธรรมดา' และนำเสนอออกมาอย่างมีสีสันเช่นนี้
แต่ก็เกลียด ... เกลียดที่ทีม DONTNOD นำเสนอวันเวลาแห่งความว้าวุ่นที่ว่านี้ได้ดี ... ‘ดีจนเกินไป’ เพราะมันชวนให้ระลึกถึงความผิดพลาด ความโง่เขลา ความงี่เง่า และความไม่ประสากับสิ่งใดๆ ของวัยเปลี่ยนผ่าน ที่ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวนั้นช่าง 'แปลกหน้า' และ 'น่ากลัว' อย่างไม่ธรรมดา เป็นทั้งกับดัก เป็นทั้งโอกาส ที่ความผิดพลาดที่แท้จริง ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า 'Rewind' ให้เราแก้ไขทางเลือกใดๆ ที่ได้ตัดสินใจกระทำลงไป
และเป็นทุกครั้งที่ประโยค 'This action will have a consequence' ขึ้นมาบนหน้าจอหลังจากตัดสินใจในทางเลือกสำคัญ ก็ดูจะเป็นโมเมนต์ที่บีบหัวใจ เพราะมันคอยย้ำเตือนเรา ในฐานะพลังเบื้องหลังของ Max Caulfield เด็กสาวหัวใจว้าวุ่น ว่าในพลังที่เธอได้รับ กับการตัดสินใจในหลายเรื่องนั้น
มีราคาค่างวดของมันเสมอๆ ...
อนึ่ง แม้บทตอนแรกจากห้าตอนนั้นจะยังไม่ได้ฉายผลลัพธ์จากทางเลือกต่างๆ รวมถึงการใช้พลังย้อนเวลาของ Max ออกมาอย่างเป็นรูปธรรม แต่กระนั้น มันก็ประกอบสร้างออกมาได้ดีมากพอที่จะบ่งบอกถึงศักยภาพที่ Life is Strange จะสามารถไปถึงได้ ไม่ว่าจะในฐานะชิ้นงานเกมที่น่าสนใจ หรือแนวทางใหม่ของการบอกเล่าเนื้อหาที่ดู ‘สโลว์’ ลง แต่ ‘หนักหน่วง’ ไม่แพ้เกมใดๆ ที่วางจำหน่ายไปก่อนหน้านั้น
ในการสนทนาในตอนจบของบทที่หนึ่งระหว่าง Max และ Chloe บนริมผาใต้อาทิตย์อัสดง ผมอดไม่ได้ที่จะถามไถ่ไปถึงทีม DONTNOD Entertainment กับเส้นทางอันไม่ธรรมดาที่พวกเขาได้เลือกเดินในครั้งนี้
ว่าถ้าพวกเขาสามารถ ‘ย้อนเวลา’ กลับไปได้ จะยังคงเลือกที่จะนำเสนอผลงานชิ้นใหม่ในรูปแบบนี้อยู่หรือไม่ ?
แต่บางที … ก็คงจะเช่นเดียวกับทางเลือกสำคัญของ Max ในเหตุการณ์หนึ่งๆ ที่ได้ตัดสินใจลงไป คำถามอาจจะไม่ได้อยู่ที่ว่าทีมพัฒนาจะตัดสินใจ ‘เลือก’ หรือไม่ หากแต่คงอยู่ที่ปลายทางของดักแด้ (Chrysalis) ตัวนี้จะดำเนินไปถึงตอนจบแบบใด ในเวลาที่เหลืออยู่อีกสี่ตอนข้างหน้า …
เพราะพวกเขาได้เลือกแล้ว … เลือกที่จะน้อมรับความเป็นไปได้อันแสน ‘ประหลาด’ ที่แวดวงวิดีโอเกมส์กำลังจะก้าวเดินต่อไปในอนาคต …
#ชีวิตก็เช่นกัน
- สุกฤษฎิ์ บูรณสรรค์ (นักเขียน FG, นักเขียน B1 Magazine)
*** บทความนี้ถูกเผยแพร่บนเพจ The Indy Gamer เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558 https://www.facebook.com/photo.php?fbid=878032748884155&set=o.489883144382935&type=1