อย่าให้เกม เป็นสาเหตุการตายของคุณ (พร้อมแนะวิธีป้องกันแบบง่ายๆ) ตอนที่ 1

แชร์เรื่องนี้:
อย่าให้เกม เป็นสาเหตุการตายของคุณ (พร้อมแนะวิธีป้องกันแบบง่ายๆ) ตอนที่ 1

อย่าให้เกม เป็นสาเหตุการตายของคุณ
(พร้อมแนะวิธีป้องกันแบบง่ายๆ) ตอนที่ 1

     ข่าวคนตายเพราะเล่นเกมมากเกินไป ดูจะเป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรง ถึงแม้ว่าแทบทั้งหมดจะยังไม่มีคนไทยปรากฏในลิสต์ แต่ก็ใช่ว่าที่เรายังรอดกันอยู่จะเป็นเพราะบ้านเรามีกระเพราไก่ หรือน้ำชาเขียวให้กิน แต่เป็นเพราะเมื่อเทียบสัดส่วนจำนวนคนเล่นเกมกับประเทศที่ตายกันบ่อยๆ เช่น จีน จะพบว่าจำนวนเกมเมอร์นั้นยังต่างกันมาก

     แต่สิ่งที่ขึ้นชื่อของเกมเมอร์ไทยคือเรื่องความฮาร์ดคอร์ (ศัพท์ที่คนในวงการเรียกกันบ่อยๆ ก็คือ “ตันเร็ว”) ซึ่งโอเคละ วันนี้คนไทยยังไม่ตายเพราะเล่นเกมมากไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราแบบไม่รู้ตัวคืออาการเจ็บป่วย ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นผลพวงมาจากการเล่นเกมมากเกินไป

 

อาการใกล้ตัว ปวดตา ตาแห้ง เมื่อยตา
     สำหรับโรคทางกายที่เห็นได้ชัดและเป็นกันมาก คือ เมื่อยล้าตา ปวดตา เคืองตา ตาแห้ง น้ำตาไหล ตามัว เห็นภาพซ้อน ปวดคอ หลังและไหล่ มีปัญหาด้านการมองเห็นในทางการแพทย์จะเรียกว่า โรค CVS (Computer Vision Syndrome) ซึ่งเกิดจากแรงกระตุ้นจากแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากการอยู่หน้าจอเป็นเวลานานๆ โดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ตัว อาจรวมไปถึงอาการ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ หรือนอนไม่หลับ (ที่นอนไม่หลับไม่เกี่ยวกับอาการเฮิร์ทนะครับ อิอิ)  

 

แนวทางการแก้ไข (จอคอมพิวเตอร์)
Refresh Rate
     อัตราการกระพริบของจอภาพ จอที่มีค่า Refresh Rate ต่ำทำให้ตาต้องทำงานมากเพราะภาพที่ได้จะมีการสั่นและกระพริบ ความถี่ที่เหมาะสมคือ 70 Hz (hertz) หรือมากกว่า ค่า Refresh Rate ของจอคอมพิวเตอร์ชนิด CRT สามารถปรับได้ที่ start/settings/control panel/display/ settings/advanced

Resolution
     ความหนาแน่นของ Pixel ถ้ามีความหนาแน่นของ Pixel สูงจะมีรายละเอียดมากกว่า เช่น 800 x 600 Resolution จะมีรายละเอียดมากกว่า 640 x 480 โดยทั่วไปความหนาแน่นของ Pixel สูงจะดีกว่าแต่ต้องดูที่ Refresh Rate ด้วยเพราะถ้ามี Resolutions สูงแต่ Refresh Rate ไม่สูงพอภาพก็อาจไม่ดีได้
     ข้อเสียของ Resolution สูงคือภาพและข้อความจะมีขนาดเล็กลงและข้อดีของ การใช้จอคอมพิวเตอร์ที่มี Resolutions สูงจะทำให้สบายตากว่า

Dot pitch
     ระยะห่างระหว่างรูของช่องโลหะ มีผลต่อความคมชัด จอคอมพิวเตอร์ปกติมีค่า 0.25-0.28 มม. ค่าต่ำแสดงว่ามีความคมชัดมาก ฉะนั้นค่าที่ดีคือ 0.28 มม. หรือต่ำกว่า ค่า Dot Pitch นี้ไม่สามารถปรับได้

หน้าจอคอมพิวเตอร์ควรมีความสว่างเท่ากับภาวะแวดล้อม
     ส่วน Contrast ควรปรับให้สูงเพื่อให้การโฟกัสและการมี Binocularity ง่ายขึ้น แสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ทำให้ Contrast ลดลงได้ทำให้การมองเห็นไม่สบายตาโดยเฉพาะถ้าเป็นตัวอักษรสีอ่อนบนพี้นสีเข้ม จึงแนะนำให้ใช้ตัวอักษรสีดำบนพื้นขาว ขนาดตัวอักษรควรเป็น 3 เท่าของตัวอักษรตัวเล็กที่สุดที่เราเห็นได้ เราสามารถ ทดสอบโดยเดินห่างออกไป 3 เท่าของระยะทางที่เราใช้งานอยู่ ถ้ายังคงเห็นตัวอักษรบนจอได้อยู่แสดงว่าเป็นขนาดที่เหมาะสมแล้ว

จอแบน
     จอแบนจะมีการบิดเบือนของภาพน้อยกว่าจอโค้ง นอกจากนี้ยังสามารถลดแสงสะท้อนจากหน้าจอได้ดีกว่า เมื่อบวกกับสารพิเศษที่เคลือบทับหน้าจออีกชั้นหนึ่งทำให้สามารถลดแสงสะท้อนได้อย่างดี โดยไม่จำเป็นต้องใช้กระจกกรองแสง (สำหรับจอ LCD ข้อดีคือ ประหยัดไฟฟ้า, ประหยัดพื้นที่ทำงาน, ให้การแสดงผลที่ดี และไม่มีปัญหาเรื่องของสนามแม่เหล็กและการแผ่รังสี)  

 

แว่นตาที่เหมาะกับการใช้คอมพิวเตอร์
     แว่นสำหรับคอมพิวเตอร์ ควรมีระยะที่เห็นชัดที่ 18-28 นิ้วฟุต ซึ่งเราเรียกว่า Intermediate Viewing Distance และมี Intermediate Viewing Angle 10๐-15๐ ต่ำจากระดับตา ในขณะที่แว่นอ่านหนังสือ โดยปกติ เช่น Bi-Focals หรือ Progressive Lens จะมีระยะที่เห็นชัดอยู่ที่ระยะ 16-18 นิ้วฟุตจากตาและทำมุม 20๐-30๐ ต่ำจากระดับตา

 

แสงสว่างที่เหมาะสม
     แสงจากสิ่งแวดล้อมที่สว่างมากเกินไป จะทำให้ความสามารถในการปรับโฟกัสสายตาลดลงได้ เพื่อลดเกิดอาการเมื่อยล้าตาควรให้ความสว่างจากนอกห้องและในห้องเป็นแค่ครึ่งหนึ่ง
     ควรให้หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ตั้งฉากกับหน้าต่าง ไม่ควรให้หน้าต่างอยู่หน้าหรือหลังต่อหน้าจอคอมพิวเตอร์เพราะจะเกิดแสงสะท้อนได้
     แสงจ้าบนกำแพงและพื้นผิวที่สะท้อนบนจอคอมพิวเตอร์ทำให้เกิดอาการ CVS ได้ ควรแก้ไขด้วยการปิดหน้าต่างไม่ให้แสงจากข้างนอกเข้ามา สำหรับการใช้ Anti-Glare Screen บนจอคอมพิวเตอร์ช่วยลดแสงจ้าและแสงสะท้อนทำให้ Contrast ดีขึ้น ทำให้การใช้ตาสบายขึ้น (แม้บางรายงานไม่พบว่าสามารถลดการปวดเมื่อยล้าตาได้) ส่วนแว่นตาแนะนำให้ใช้แว่นที่เคลือบ Anti-Reflective Coating เพื่อป้องกันไม่ให้แสงจ้าและแสงสะท้อนจากเลนส์เข้าสู่ตาของเรา

 

วิธีแก้อาการตาแห้ง
     เมื่อใช้คอมพิวเตอร์คนเราจะกระพริบตาน้อยลง 5 เท่าของปกติ คุณภาพของน้ำตาจึงลดลง ทำให้น้ำตาระเหยจากตามากผิดปกติ ตาจึงแห้งและมีอาการระคายเคืองตา
     การดูคอมพิวเตอร์ ตาจะต้องเบิ่งกว้างกว่าการอ่านหนังสือ ทำให้ตามีบริเวณที่สัมผัสอากาศมากกว่าจึงทำให้ตาแห้งมากกว่า โดยเฉพาะในผู้ที่ใส่เลนส์สัมผัส ฉะนั้นทุก 30 นาที ควรกระพริบตา 10 ครั้งอย่างช้าๆ จะช่วยทำให้อาการ ตาแห้งดีขึ้น การใช้น้ำตาเทียมจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้หากมีอาการตาแห้งมากๆ แต่ไม่ต้องลงทุนถึงขั้นดูซีรีย์เกาหลีโศกๆ ระหว่างเล่นเกม เพื่อเรียกน้ำตาก็ได้

กินง่าย อยู่ง่าย บำรุงสายตา
     ด้วยนิสัยเกมเมอร์ส่วนใหญ่ จะให้ลุกมาออกกำลังกาย หรือใส่ใจในสุขภาพมากขึ้นนั้นคงยากซักหน่อย ผมจึงคิดว่าสิ่งที่ใกล้ตัวเรามากสุดคงจะเป็นการเรื่องการกินมากกว่า
     จากเมนูจานหลักที่เป็นกระเพราะไก่ หรือมาม่า ผู้อ่านอาจจะลองให้แม่ค้าเพิ่มผักที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงสายตาโดยตรงเช่น แครอต, ฟักทอง หรือมะเขือเทศ ลงไปเพิ่มอีกหน่อย หรือถ้าหากเป็นของทานเล่นก็อยากแนะนำพวกส้ม หรือถั่ว ส่วนนมบางยี่ห้อ ก็มีวิตามินเอมากแถมยังราคาประหยัดสุดๆ แต่ถ้าหากเงินถุงเงินถังก็แนะนำ “วีต้า เบอร์รี่ ที่ดื่มเสร็จก็ไปเวลซะ!” 

 

 "ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการเล่นเกม
ขอบคุณสำหรับการติดตาม แล้วพบกับตอนที่ 2 เร็วๆ นี้ครับ^^"

 

 

 

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ